นายประพันธุ์ คูณมี
อดีตวุฒิสมาชิก และกรรมาธิการการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และการโทรคมนาคม วุฒิสภา
ตามที่ปรากฎข่าว เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 ของเมเนเจอร์ออนไลน์ และหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ด้วยเนื้อหาข้อความข่าวในทำนองเดียวกันว่านายพชร นริพทะพันธุ์ ที่ปรึกษาประธาน กสทช. เปิดเผยว่า กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) และมหาวิทยาลัยมหิดล ได้ยืนยันสถานะของ นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. ว่าไม่ได้เป็น“พนักงานของมหาวิทยาลัย” นับแต่วันที่ได้รับเลือกและแต่งตั้งเป็น ประธาน กสทช. และยังกล่าวว่าข้อกล่าวหาของ กรรมาธิการไอซีทีวุฒิสมาชิกและเครือข่ายของสภาองค์กรผู้บริโภคและ กมธ.ไอซีทีวุฒิสมาชิกไม่เป็นความจริง (อ่านข่าว : https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000098412)
โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2568 หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ก็ได้ลงข้อความข่าวในทำนองเดียวกันนี้ด้วย โดยอ้างผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่ “คณะกรรมมาธิการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และการโทรคมนาคม วุฒิสภา(ชุดที่ผ่านมา) ซึ่งมี พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นประธาน ที่สรุปในรายงานว่า นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช.”ขาดคุณสมบัติ“ เพราะยังมีสถานะเป็น”พนักงานมหาวิทยาลัย“ โดยยังตรวจรักษาคนไข้และมิได้ลาออกจากพนักงานของรัฐ ขัดต่อมาตรา 8 พรบ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ.2553 ว่าเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้องนั้น โดยอ้างอิงรายงานของสำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมเผยแพร่หนังสือสำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โดยปกปิดเลขที่หนังสือ วันที่เดือนปี และลายเซ็นผู้ลงนาม ดังปรากฎรายละเอียดตามข่าว
นอกจากนี้ ยังได้ปรากฎข้อเท็จจริงจากการประชุม ที่ นพ.สรณ ได้ชี้แจงเรื่องดังกล่าวต่อเจ้าที่ กสทช.ว่า ตนถูก กมธ.ไอซีที ตั้งตนเป็น“ศาลเตี้ย ”โดยตั้งข้อกล่าวหาเอง สอบสวนเอง และพิพากษาเรื่องนี้เองนั้น
กรณีตามที่ปรากฎข่าวดังกล่าว ข้าพเจ้านายประพันธุ์ คูณมี อดีตสมาชิกวุฒิสภา(2562) และ หนึ่งในกรรมาธิการเทคโนโลยีสารสนเทศการสื่อสารและการคมนาคม วุฒิสภา (ชุดที่ผ่านมา) ที่มีพล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นประธาน กมธ. และเป็นผู้หนึ่งที่ได้รับแต่งตั้งจาก กมธ.ไอซีที ให้เป็นกรรมาธิการสอบหาข้อเท็จจริง เห็นว่าเป็นการกระทำของผู้ใหข้อมูลและการเสนอข่าวที่มีผลทำให้ กมธ.ไอซีที เสียหาย จึงขอเรียนมายังสื่อมวลชนและประชาชนโดยทั่วไปเพื่อทราบว่า กรณีดังกล่าว เป็นเรื่องสืบเนื่องจากการที่ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภูมิศิษฐ์ มหาเวสน์ศิริ รองเลขาธิการคณะกรรมการ กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ได้มีหนังสือร้องเรียนมายังประธานวุฒิสภา เพื่อให้วุฒิสภาตรวจสอบคุณสมบัติของ นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช.ว่าขาดคุณสมบัติตามกฎหมายหรือไม่ และประธานวุฒิสภา (นายพรเพชร วิชิตชลชัย) เมื่อได้รับเรื่องร้องเรียนดังกล่าวแล้ว ก็ได้เห็นชอบตามที่สำนักเลขาวุฒิสภาเสนอ จึงส่งหนังสือถึง กมธ.ไอซีที เพื่อขอให้ กมธ.ของวุฒิสภาตรวจสอบ ดังรายละเอียดตามหนังสือ เอกสารแนบท้าย 1
คณะกรรมาธิการได้พิจารณาตามหน้าที่และอำนาจแล้วเห็นว่า กรณีดังกล่าว เป็นไปตามข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ.2562 ข้อ 78 วรรคสอง(17) จึงได้ทำการศึกษา ตรวจสอบข้อเท็จจริง และสรุปเป็นรายงานเสนอต่อประธานวุฒิสมาชิก ดังนั้น การทำหน้าที่ของ กมธ.ไอซีที จึงเป็นการดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมายและอำนาจหน้าที่ตามข้อบังคับ มิใช่เป็นการกระทำ“แบบศาลเตี้ย” ตามที่ นพ.สรณ ประธาน กสทช.กล่าวหาแต่อย่างใด ตรงกันข้ามการกระทำของ นพ.สรณฯต่างหากที่พยายามหลีกเลี่ยง ไม่ให้ความร่วมมือกับ กมธ.โดยไม่มีความกล้าหาญและไม่ยอมตอบชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาในเรื่องที่ตนถูกร้องเรียนแต่อย่างใด อันเป็นการแสดงออกถึงพฤติกรรมที่ไม่เคารพต่อกระบวนการตรวจสอบอันชอบด้วยกฎหมายของวุฒิสภา ทั้งๆที่ กมธ.มีหนังสือเชิญไปหลายครั้ง นพ.สรณฯ ก็เพิกเฉยไม่ยอมมาชี้แจงหรือให้ถ้อยคำใดๆต่อ กมธ. นอกจากนี้ในการพิจารณาสรุปข้อเท็จจริงจากการตรวจสอบ และรายงานผลสอบข้อเท็จจริงของ กมธ.ในกรณีนี้ ก็ได้เผยแพร่และเสนอต่อ ประธานวุฒิสภามาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2567 เป็นเวลาล่วงเลยมาร่วมหนึ่งปีเศษแล้ว แต่ นพ.สรณฯ ก็ไม่เคยเปิดปากโต้แย้งแต่อย่างใด เพิ่งจะมาแสดงความคิดเห็นโต้แย้งและกล่าวหา กมธ.ไอซีที ด้วยข้อความที่ไม่เป็นความจริงและก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่น อันเป็นการกระทำที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ ข้าพเจ้าในฐานะ กมธ.ผู้หนึ่งที่มีส่วนร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริงและร่วมลงมติกับ กมธ.อื่นๆในคณะที่มีความเห็นร่วมกันเป็นเอกฉันท์ว่า นพ.สรณ ฯ มีลักษณะเป็นบุคคลที่ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ.2553 มาตรา 7 ข.(12) มาตรา 8 และมาตรา 26 ประกอบมาตรา 18 และมาตรา20 จึงจำเป็นต้องขอชี้แจงและยืนยันต่อสื่อมวลชนทั้งหลายว่า รายงานการสอบหาข้อเท็จจริง กรณีตรวจสอบคุณสมบัติของ นพ.สรณฯ ปธ.กสทช. เป็นความจริงทุกประการตามรายงานที่ กมธ.ได้เสนอต่อประธานวุฒิสภา และที่ได้เผยแพร่ต่อประชาชน โดย กมธ.ได้พิจารณาจากพยานหลักฐานและข้อเท็จจริง ประกอบกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว เฉพาะอย่างยิ่ง กมธ ได้พิจารณาจากหลักฐานหนังสือทางราชการ ลงนามโดยผู้มีอำนาจลงนามจากหน่วยงานต้นสังกัดที่ให้ความร่วมมือส่งมายัง กมธ ทั้งสิ้น โดยเฉพาะเอกสารหลักฐานสำคัญๆเกี่ยวกับสถานะการเป็น”พนักงานมหาวิทยาลัย“ ของ นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ปรากฎรายละเอียดดังนี้คือ
หนังสือสำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ด่วนที่สุด ที่ อว ๗๘/ล ๐๑๑๔๙ ลงวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๗ เรื่องชี้แจงข้อมูลพร้อมจัดส่งเอกสารที่เกี่ยวข้อง เรียน ประธานคณะกรรมาธิการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และการโทรคมนาคม วุฒิสภา
โดยมหาวิทยาลัยมหิดลได้ชี้แจงข้อเท็จจริงพร้อมจัดส่งเอกสารให้กับ คณะ กมธ.เพื่อใช้ประกอบการพิจารณา กรณีร้องเรียนกล่าวหา นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ปธ.กสทช.ยืนยันเป็นหนังสือว่า
“ข้อมูลเกี่ยวกับการทำหน้าที่ตรวจและรักษาคนไข้ของ นพ.สรณฯ ช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๔ จนถึงวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๖๕ นพ.สรณฯ มีสถานะเป็น ”พนักงานมหาวิทยาลัย” ทำหน้าที่ตรวจและรักษาคนไข้ผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในของคณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ต่อมาตั้งแต่วันที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๕ จนถึงวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๖๕ มีสถานะเป็น “แพทย์ค่าตอบแทนรายชั่วโมง” และช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๕ จนถึงวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๖๖ นพ.สรณฯ จึงไม่พบสถานะการเป็นบุคคลากรของคณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
นอกจากนี้ยังแจ้งด้วยว่า นพ.สรณฯ ได้รับค่าตอบแทนในการทำหน้าที่ตรวจและรักษาคนไข้ผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในของคณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ตามระยะเวลาที่ปฎิบัติงานดังกล่าวข้างต้นด้วย หนังสือของส่วนงานราชการต้นสังกัดที่ยืนยันว่า นพ.สรณฯ “เป็นพนักงานมหาวิทยาลัย” ที่ส่งมาถึง ปธ.กมธ.ไอซีที ลงนามโดย ศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเป็นผู้รักษาการตามข้อบังคับมหาวิทยาลัยมหิดล
จากข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานดังกล่าว ยังสอดคล้องกับ หนังสือของกรมสรรพากร ด่วนที่สุดที่ กค.๐๗๐๑/๔๐๐ ลงวันที่ 23 พ.ค.2567 เรื่อง แจ้งผลการค้นข้อมูลภาษีอากร ที่ส่งถึง ประธานคณะกรรมาธิการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และการโทรคมนาคม วุฒิสภา ( พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์) ตามที่ กมธ.ขอให้กรมสรรพากรจัดส่งข้อมูลราย นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ต่อ กมธ. ซึ่งอธิบดีกรมสรรพากรจึงได้จัดส่งข้อมูลเป็นเอกสารมายัง กมธ.ไอซีที โดยสรุปข้อมูลได้ว่า จากการค้นข้อมูลแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา(ภ.ง.ด.๙๐) ปีภาษี ๒๕๖๕ นพ.สรณฯมีเงินได้จาก 1. สำนักงาน กสทช. 2. คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล 3. บริษัท เมอร์ค จำกัด
ต่อมาปีภาษี ๒๕๖๖ นพ.สรณฯ มีเงินได้จาก 1.สำนักงาน กสทช. 2.บริษัท เมอร์ค จำกัด
ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานดังกล่าว ประกอบกับหลักฐานที่นพ.สรณฯ เมื่อได้รับเลือกเป็น ปธ.กสทช.แล้ว ยังยินยอมให้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เสนอชื่อตนเองต่อที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปีของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เพื่อให้ผู้ถือหุ้นเลือกและยอมรับการเป็นกรรมการของบริษัท ธนาคารกรุงเทพฯ อีกด้วย
คณะ กมธ.จึงพิจารณาเห็นว่า นพ.สรณฯ มิได้อุทิศตนทำงานเต็มเวลาและเมื่อได้รับเลือกและได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสมาชิกแล้ว ก่อนหรือภายหลังที่นายกรัฐมนตรีจะนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งนั้น ก็มิได้ลาออกจากกรรมการบริษัทธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และมิได้ลาออกจากการ“เป็นพนักงานมหาวิทยาลัย” ตามเวลาที่ประธานวุฒิสภาแจ้งให้ทราบแต่อย่างใด ทั้งเมื่อก่อนมาสมัครเป็น กรรมการ กสทช.หรือเมื่อได้รับเลือกแล้ว ก็ยังมิได้ลาออกจากการ“เป็นพนักงานมหาวิทยาลัย” แต่อย่างใด เพราะการลาออกจากการเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยนั้น ต้องปฎิบัติตามข้อบังคับมหาวิทยาลัมหิดล ว่าด้วยการบริหารงานบุคคลพนักงานมหาวิทยาลัย พ.ศ.2551 ข้อ 58 และต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของคณะกรรมการบริหารทรัพยากรบุคลเท่านั้น เมื่อพิจารณาตามพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงที่กล่าวมาข้างต้น กมธ.จึงเห็นว่า นพ.สรณฯ มีลักษณะเป็นผู้ที่ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ.๒๕๕๓ มาตรา ๗ ข.(๑๒) มาตรา๘และมาตรา ๒๖ ประกอบมาตรา๑๘ และมาตรา ๒๐ อันเป็นการพิจารณาตามพยานหลักฐาน ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วยความสุจริตตามอำนาจหน้าที่โดยชอบของ กมธ.วุฒิสภาทุกประการ
การที่ นพ.สรณฯ หรือที่ปรึกษาของท่าน ได้ออกมาให้ข่าวและข้อมูลต่อสื่อมวลชน กล่าวหาการทำหน้าที่ของ กมธ.ไอซีที จึงไม่เป็นความจริงทั้งสิ้น และจนถึงปัจนุบันยังไม่ปรากฎหลักฐานใดๆว่าท่านได้ลาออกจากการ”เป็นพนักงานมหาวิทยาลัย“ หรือการที่ท่านอ้างผลการตรวจสอบของกระทรวง อว. ก็ไม่ปรากฎว่าบุคคลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังกล่าว ออกมาแถลงยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าวให้มีน้ำหนักเพียงพอที่จะหักล้างพยานหลักของ กมธ.แต่อย่างใด หนังสือที่ท่านอ้างถึงเป็นเพียงข้อกล่าวอ้างที่เลื่อนลอย หากท่านเห็นว่ารายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงของ กมธ.เป็นเท็จหรือทำให้ท่านเสียหาย ข้าพเจ้าขอเรียนเชิญให้ท่านควรรีบใช้สิทธิทางศาลฟ้องคดีต่อผู้ที่กล่าวความเท็จนั้นได้ ข้าพเจ้ายินดีนำข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานแสดงต่อศาลเพื่อพิสูจน์ความจริงได้ตลอดเวลา ท่านไม่ควรปล่อยเรื่องนี้ผ่านมาร่วมปีเศษ และดำรงตำแหน่ง ปธ.กสทช.โดยไร้ความสง่างาม จึงหวังว่าท่านคงกล้าจะพิสูจน์ความจริงเรื่องนี้ต่อศาลต่อไป หากรายงานของ กมธ.เป็นความจริง ท่านก็สมควรที่จะพิจารณาตนเองลาออกจากตำแหน่งโดยทันที เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อ กสทช. และประโยชน์ของบ้านเมืองอยู่ต่อไป
ส่วนที่ท่านอ้างความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ชี้ว่าอำนาจในการตรวจสอบคุณสมบัติท่าน เป็นของ คณะกรรมการสรรหา กสทช.นั้นข้าพเจ้าขอเสนอให้ท่านได้โปรดเสนอหนังสือ หรือพยานหลักฐานที่แสดงว่า กฤษฎีกาได้มีความเห็นเช่นนั้นจริงมาแสดงต่อสื่อมวลชนด้วยมิเช่นนั้นข้อกล่าวอ้างของท่านก็จะเป็นสิ่งที่เลื่อนลอย ไม่มีพยานหลักฐานให้รับฟังได้แต่อย่างใด เพราะกรณีความเห็นของกฤษฎีกาในเรื่องนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้มีหนังสือที่ นร ๐๙๐๙/๑๑๗ ลงวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๖๗ ตอบเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในเรื่องที่ขอหารือประเด็นการดำรงตำแหน่งประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ของศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์ สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ โดยได้ระบุไว้ชัดเจนในข้อความตอนท้ายของหนังสือดังกล่าวว่า
“อนึ่ง โดยที่สำนักงานเลขาวุฒิสภาทำหน้าที่เป็นหน่วยธุรการในการดำเนินการสรรหาและคัดเลือกกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เมื่อมีเหตุต้องมีการเลือกและแต่งตั้งกรรมการ รวมทั้งต้องเป็นผู้ตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของบุคคลซึ่งจะได้รับการเสนอชื่อเพื่อคัดเลือกและแต่งตั้งดังกล่าว ดังนั้น สมควรส่งเรื่องไปยังสำนักเลขาธิการวุฒิสภาเพื่อดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไปโดยด่วนที่สุด เพื่อมิให้มีปัญหาข้อกฎหมายอื่นที่อาจเกิดขึ้น หากปรากฎมีข้อร้องเรียนดังกล่าวเกิดขึ้นจริง” ซึ่งหนังสือจากสำนักงานกฤษฎีกาดังกล่าว ลงนามโดย นายธนาวัฒน์ สังข์ทอง รองเลขาธิการ ปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ปรากฎตามเอกสารแนบ 2.
จากข้อเท็จจริงดังกล่าว ย่อมชี้ชัดว่า กรณีเรื่องการขาดคุณสมบัติของ นพ.สรณฯ ได้มีเรื่องส่งมาถึงสำนักนายกรัฐมนตรีแล้ว และเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้เคยมีหนังสือหารือเรื่องดังกล่าวนี้ ต่อคณะกรรมการกฤษฎีกามาก่อน ดังปรากฎตามหนังสือตอบที่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงข้างต้นและสำนักงานกฤษฎีกาก็ตอบข้อหารือมาโดยชัดเจนว่า อำนาจในการพิจารณาตรวจสอบเรื่องคุณสมบัติของ นพ.สรณฯ เป็นอำนาจของวุฒิสภา หาใช่เป็นอำนาจพิจารณาของคณะกรรมการสรรหาแต่อย่างใดไม่ ข้อกล่าวอ้างของ นพ.สรณฯ จึงไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
เพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะ เพื่อความเข้าใจในข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายเกี่ยวข้องที่ถูกต้อง และเพื่อความเข้าใจต่อหน้าที่และอำนาจในการดำเนินการของ กมธ.ไอซีที ที่ได้ดำเนินการในกรณีการตรวจสอบข้อเท็จจริง เรื่อง นพ.สรณฯ ถูกร้องเรียนว่าขาดคุณสมบัติในการเป็น กรรมการ กสทช. ดังกล่าว ข้าพเจ้าจึงเรียนมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
นายประพันธุ์ คูณมี อดีตวุฒิสมาชิกและ กรรมาธิการการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และการโทรคมนาคม วุฒิสภา
17 ตุลาคม 2568