ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เรียกว่า ฝีแตกครั้งใหญ่แลยทีเดียว สำหรับความเป็นศูนย์กลางของ “แก๊งแสกมเมอร์-แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ระดับโลกของ “กัมพูชา” ภายใต้การปกครองของ “ตระกูลฮุน” ที่มี “ฮุน เซน” และ “ฮุน มาเนต” เป็นหัวขบวนใหญ่ในการส่งเสริมความเติบโตของเครือข่ายอาชญกรรม
เริ่มจากข่าวความฉาวโฉ่กรณีนักศึกษาเกาหลีใต้ ซึ่งเดินทางไปเที่ยวกัมพูชาในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน ถูกพบเสียชีวิตเพียง 2 สัปดาห์ให้หลัง โดยมีรายงานว่าเขาถูกลักพาตัวและทรมานโดยกลุ่มอาชญากรท้องถิ่น จนประธานาธิบดี อี แจ มยอง แห่งเกาหลีใต้ได้สั่งการให้รัฐบาลใช้ช่องทางการทูตอย่างเต็มรูปแบบเพื่อปกป้องพลเมืองในกัมพูชา และเตรียมส่งชุดเฉพาะกิจเข้าไปยังกัมพูชาเพื่อประสานกับตำรวจท้องถิ่น
ตามต่อด้วย 2 มหาอำนาจโลกคือ “สหรัฐอเมริกา” และ “สหราชอาณาจักร” ผนึกกำลังจัดการเชือดเครือข่ายสแกมเมอร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ครั้งที่สุดเท่าที่เคยมีมา ตามที่กระทรวงการคลัง สหรัฐฯ แถลงเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568 โดยมีสาระสำคัญคือ การตัดขาดฮุยวัน กรุ๊ป (Huione Group) บริษัทการเงินรายใหญ่ในกัมพูชาออกจากระบบการเงินสหรัฐฯ และคว่ำบาตรเครือข่ายปริ๊นซ์ กรุ๊ป (Prince Group) ซึ่งมีธุรกิจโยงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา
ขณะที่ เมื่อไม่นานนี้ องค์การนิรโทษกรรมสากล (Amnesty International) ได้ออกมาระบุอาคาร 53 แห่งที่ถูกใช้เป็นฐานของแก๊งคอลล์เซ็นเตอร์ในกัมพูชา พร้อมกล่าวหารัฐบาล ฮุน เซน ว่ามีเจตนาเพิกเฉยละเลยจนทำให้แก๊งอาชญากรเหล่านี้สามารถปฏิบัติการอยู่ในประเทศ และสะท้อนให้เห็นถึง “ความล้มเหลวของรัฐ” ที่ทำให้อุตสาหกรรมฉ้อโกงมูลค่านับพันๆ ล้านดอลลาร์เฟื่องฟู
ปฏิบัติการของ 3 ชาติข้างต้นสร้างความสั่นสะเทือนให้กับ “ตระกูลฮุน” ที่ปกครองกัมพูชามาอย่างยาวนานเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่อาจปฏิเสธได้ว่า “ตระกูลฮุน” มีส่วนเกี่ยวข้องและรู้เห็นเป็นใจกับการทำให้แก๊งแสกมเมอร์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์เบ่งบานเป็นอย่างมากในกัมพูชา เนื่องด้วยเมื่อมีการโยงใยความสัมพันธ์ของผู้บริหารทั้ง “ฮุยวัน กรุ๊ป” และ “ปริ๊นซ์ กรุ๊ป” ก็ล้วนแล้วแต่สามารถเชื่อมโยงไปที่ “ตระกูลฮุน” และวงศ์วานว่านเครืออย่างไม่อาจแยกออกจากกันได้
ที่สำคัญคือ รายงานว่าด้วยอาชญากรรมข้ามชาติในกัมพูชาปี 2025 ระบุว่า อุตสาหกรรมหลอกลวงทางไซเบอร์ที่นี่มีมูลค่าระหว่าง 19,000-29,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 60% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของกัมพูชาเลยทีเดียว นั่นหมายความว่า ที่ผ่านมาเศรษฐกิจของกัมพูชาอยู่ได้ด้วยรายได้จากแก๊งอาชญากรรมเหล่านี้เป็นหลัก ดังนั้น เมื่อถูกกวาดล้าง ถูกอายัดทรัพย์สิน ก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ของกัมพูชาที่กำลังย่ำแย่จากการที่ไทยปิดด่านชายแดนมุ่งหน้าสู่หุบเหวแห่งความหายนะอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ โดยเฉพาะบรรดา “แรงงาน” ที่กลับจากประเทศไทย ที่นอกจากไม่มีสถานประกอบการรองรับที่เพียงพอแล้ว โรงงานหลายต่อหลายแห่งที่เข้าไปลงทุนในกัมพูชาก็มีแนวโน้มจะถอนตัวออกจากประเทศนี้ในไม่ช้าเพราะเผชิญกับต้นทุนการส่งออกที่สูงลิบลิ่ว
อย่างไรก็ดี การลงดาบปราบแก๊งสแกมเมอร์เครือข่าย “ตระกูลฮุน” ของสหรัฐฯและอังกฤษเป็นที่อึกทึกครึกโครมระดับโลก ก็นำมาซึ่งคำถามกับประเทศไทย โดยเฉพาะรัฐบาลไทยและบรรดาผู้มีอำนาจไทยว่า รู้เห็นเป็นใจและมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่ อย่างไร เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า นักการเมือง(บางคน) ผู้นำกองทัพ(บางคน) และบรรดาบิ๊กข้าราชการ(บางคน) ของไทย มีความคุ้นเคย มีความสัมพันธ์อันดี และมีความเกี่ยวข้องกันในเชิงการทำมาหากินอยู่ไม่น้อย
ทั้งนี้ เป็นที่รับรู้กันว่า ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชานั้นมากมายมหาศาลเพียงใดนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยมีวิวัฒนาการตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ไล่มาตั้งแต่การค้าของเถื่อน-ของหนีภาษี การค้าอาวุธสงคราม การลักลอบตัดไม้ ขบวนการยาเสพติด ฯลฯ จากนั้นในช่วง 1-2 ทศวรรษหลังก็ขยับขยายมาเป็นการเปิดกาสิโนตลอดแนวชายแดน และกลายมาเป็นศูนย์กลางของแก๊งแสกมเมอร์-แก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างที่เห็นในปัจจุบัน
ยิ่งบรรดา “บิ๊กๆ” ที่เคยมีอำนาจตลอดแนว “ชายแดนบูรพา” ด้วยแล้ว ยิ่งเต็มไปด้วยข้อสงสัย เพราะอยู่ในอำนาจมาอย่างยาวนานแบบ “รุ่นสู่รุ่น” แถมเมื่อเข้าสู่การเมือง ก็ยืนระยะอยู่ในอำนาจเกือบ 1 ทศวรรษ
ที่ต้องขีดเส้นใต้เป็นพิเศษก็คือ เป็นช่วงเวลาแห่งการเติบโตของแก๊งแสกมเมอร์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศกัมพูชาอย่างพอดิบพอดีอีกต่างหาก
ก็ไม่รู้ว่า บรรดา “ติ่ง” ที่หลับหูหลับตาเชียร์จะ “คิดได้” กันบ้างหรือไม่
ขณะที่รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูลเอง ก็ถูกตั้งคำถามเช่นกัน เพราะเงียบผิดสังเกต ทั้งๆ ที่ควรจะสำแดงตนเป็น “หัวหอก” ในการจัดการเสียด้วยซ้ำไปเพราะไทยกำลังมีปัญหากับรัฐบาลของฮุน มาเนต กระทั่งโลกโซเซียลถึงขั้นประกาศตามหานายอนุทิน ให้เข้ามาจัดการแก๊งสแกมเมอร์และทุนเทาอย่างเร่งด่วน นายอนุทิน จึงมีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 341/2568 แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยีฯ โดยนั่งเป็นประธาน คุมระดับนโยบายเอง และมอบหมายให้ “พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ” ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี คุมส่วนปฏิบัติการ
คณะกรรมการฯ ที่ตั้งขึ้นมาล่าสุดนี้ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นแต่เพียงการ “แก้เกี้ยว” ลดกระแสกดดัน แต่คาดหวังผลงานอะไรได้ยาก เพราะอันที่จริงเรื่องนี้มีหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง และมีคณะกรรมการไม่รู้กี่ชุดต่อกี่ชุด แต่ปัญหาสแกมเมอร์หลอกลวงผู้คนก็ยังไม่ลดน้อยถอยลงอย่างมีนัยสำคัญแต่อย่างใด
ไม่นับความตกลงในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยพิเศษ วันที่ 10 กันยายน 2568 ณ จังหวัดเกาะกง กัมพูชา “ข้อ 3.การปราบปรามอาชญกรรมออนไลน์ หรือสแกมเมอร์ ได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ของทั้งสองฝ่ายตั้งคณะทำงานภายใน 1 สัปดาห์ เพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการร่วมกัน ทั้งนี้ ฝ่ายไทยได้ส่งมอบข้อมูลและพิกัดที่ตั้งของสแกมเซนเตอร์ กว่า 60 แห่ง ในกัมพูชา ให้ฝ่ายกัมพูชาไปดำเนินการปราบปรามขั้นเด็ดขาด ซึ่งเป็นสิ่งที่คณะทำงานทั้งสองฝ่ายจะหารือกัน ….” แต่วันเวลาผ่านมาร่วมเดือนก็ยังไม่เห็นผลงานความคืบหน้าเช่นกัน
เปิดเบื้องลึกสหรัฐฯ-อังกฤษปฏิบัติการ
ล้างบาง “ฮุยวัน-ปรินซ์กรุ๊ป”
ส่วนการลงมือที่เป็น “ของจริง” เล่นใหญ่สมฐานะมหาอำนาจของโลก นั่นคือ ความร่วมมือของสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร จัดการเชือดเครือข่ายสแกมเมอร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ครั้งที่สุดเท่าที่เคยมีมา ตามที่กระทรวงการคลัง สหรัฐฯ แถลงเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568 โดยมีสาระสำคัญคือ การตัดขาดฮุยวัน กรุ๊ป (Huione Group) บริษัทการเงินรายใหญ่ในกัมพูชาออกจากระบบการเงินสหรัฐฯ และคว่ำบาตรเครือข่ายปริ๊นซ์ กรุ๊ป (Prince Group) ซึ่งมีธุรกิจโยงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา
รายงานของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ มีการพบหลักฐานก่อนหน้านี้ว่าฮุยวัน กรุ๊ป ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในกัมพูชา เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินให้กับเกาหลีเหนือ และขบวนการหลอกลวงออนไลน์ มูลค่าการฟอกเงินผ่านฮุยวัน กรุ๊ป ช่วงเดือนสิงหาคม 2021 ถึงเดือนมกราคม 2025 อาจสูงถึง 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เชื่อมโยงกับการจารกรรมไซเบอร์ของเกาหลีเหนือ อย่างน้อย 37 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ฟอกเงินที่ได้จากเหยื่อฉ้อโกงการลงทุนอย่างน้อย 36 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และฟอกเงินจากการหลอกลวงออนไลน์อื่นๆ ราว 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน กระทรวงการคลัง สหรัฐฯ ยังได้ประกาศคว่ำบาตรบุคคลและนิติบุคคลที่มีความเชื่อมโยงกับปรินซ์ กรุ๊ป รวมทั้งสิ้น 146 ราย ทั้งนายเฉิน จื้อ (Chen Zhi) ผู้ก่อตั้งและประธานปริ๊นซ์ กรุ๊ป กลุ่มผู้บริหารระดับสูง และบริษัทที่ใช้เป็นฉากบังหน้า ทั้งที่จดทะเบียนในกัมพูชา ฮ่องกง สิงคโปร์ หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ทางการสหรัฐฯ ระบุว่า เครือข่ายธุรกิจ Prince Group ในกัมพูชามีทั้งธุรกิจบันเทิง อสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจการเงินในกัมพูชา ซึ่งเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่ทำหน้าที่ก่อสร้าง ดำเนินการ และจัดการฐานของขบวนการสแกมเมอร์ขนาดใหญ่ระดับอุตสาหกรรม ถือเป็นการค้าทาสในโลกสมัยใหม่ที่มีคนทั่วโลกตกเป็นเหยื่อรวมถึงพลเมืองอเมริกัน โดย Prince Group ได้สร้างเครือข่ายธุรกิจทั่วโลก เพื่อฟอกเงินผิดกฎหมายให้กลายเป็นเงินถูกกฎหมาย มีเครือข่ายในลาว ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ หมู่เกาะเคย์แมน ปาเลา หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน
กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ให้ข้อมูลว่า ขบวนการหลอกลวงออนไลน์ที่มีฐานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้พลเมืองอเมริกันสูญเสียเงินจำนวนมากไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 3.2 แสนล้านบาทเมื่อปีที่ผ่านมา
ในวันเดียวกันนี้ สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ยังเผยแพร่ข้อมูลจากกระทรวงยุติธรรม สหรัฐฯ ที่ยื่นฟ้องริบทรัพย์นายเฉิน จื้อ ผู้ก่อตั้งและประธานกลุ่มปริ๊นซ์ กรุ๊ป เป็นบิตคอยน์ มูลค่าประมาณ 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเกือบ 5 แสนล้านบาท ถือเป็นการริบทรัพย์ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ
ตามรายงานคำฟ้องต่อศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ในเขตบรุกลิน เมืองนิวยอร์ก เพื่อดำเนินคดีกับนายเฉิน จื้อ หรือที่รู้จักกันในนาม “Vincent” อายุ 37 ปี สัญชาติสหราชอาณาจักรและกัมพูชา ผู้ก่อตั้งและประธานกลุ่มบริษัท Prince Holding Group (Prince Group) ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทธุรกิจข้ามชาติขนาดใหญ่ในกัมพูชา ระบุข้อหาคบคิดฉ้อโกงทางอิเล็กทรอนิกส์และคบคิดฟอกเงิน โดยการสั่งการให้กลุ่มบริษัทปริ๊นซ์ กรุ๊ป ดำเนินการศูนย์หลอกลวงโดยการบังคับใช้แรงงานกัมพูชาและชาติอื่นให้ปฏิบัติการหลอกลวงเหยื่อให้ลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล ที่เรียกกลโกง “เชือดหมู” (Pig butchering) ซึ่งโกงเงินหลายพันล้านเหรียญจากผู้เสียหายในสหรัฐฯ และทั่วโลก ขณะนี้จำเลยอยู่ระหว่างการหลบหนี
ข้อกล่าวหาในคำฟ้องและคำร้องขอริบทรัพย์สิน ระบุด้วยว่า ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา จำเลยเป็นผู้ก่อตั้งและประธานกลุ่มบริษัท Prince Group ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทในกัมพูชาที่ดำเนินธุรกิจหลากหลายในกว่า 30 ประเทศ
“นายเฉินเป็นผู้นำของหนึ่งในขบวนการฉ้อโกงการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และเป็นผู้ผลักดันอุตสาหกรรมผิดกฎหมายที่กำลังแพร่ระบาดในระดับโลก” โจเซฟ โนเซลลา อัยการสหรัฐฯ กล่าว
เขายังเผยว่า โครงการหลอกลวงการลงทุนของกลุ่มปรินซ์ได้สร้างความสูญเสียมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ และความทุกข์ยากอย่างนับไม่ถ้วนต่อเหยื่อทั่วโลก ซึ่งรวมถึงในนิวยอร์ก โดยอาศัยแรงงานจากการค้ามนุษย์ที่ถูกบังคับให้ทำงานโดยไม่สมัครใจ
ด้านสหราชอาณาจักร ได้สั่งอายัดทรัพย์สินและสั่งห้ามเดินทาง ทั้งนายเฉิน จื้อ, ภรรยา และองค์กรต่าง ๆ ในเครือ โดยยึดคฤหาสน์มูลค่า 12 ล้านปอนด์ ในลอนดอนเหนือ และทรัพย์สินอื่น ๆ ในสหราชอาณาจักร ที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินของเครือข่ายนี้ได้สำเร็จ
การผนึกกำลังของสหราชอาณาจักรและสหรัฐฯ ในครั้งนี้ ถือเป็นการสร้างแบบแผนใหม่ในการบังคับใช้กฎหมายข้ามประเทศ ที่รวมข้อมูลข่าวกรองทางการเงิน การคว่ำบาตร และมาตรการต่อต้านการค้ามนุษย์เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อมุ่งเป้าจัดการกับการเงินที่ผิดกฎหมายจากต้นตอ โดยโจมตีพร้อมกันในหลายมิติ ทั้งระดับผู้นำ บริษัทบังหน้า กระเป๋าเงินดิจิทัล และช่องทางการฟอกเงิน
ทุนเทา-ทุนดำ ค้ำจุน “ฮุน เซน”
เจาะลึกถึง “Huione Group” เครือข่ายธุรกิจการเงินบิ๊กเบิ้มของกัมพูชา มีความสัมพันธ์แนบชิดกับ “ตระกูลฮุน” ผู้นำกัมพูชา โดย “ฮุน โต (Hun To)” ผู้บริหารคนสำคัญของฮุยวัน ดำรงตำแหน่งกรรมการของ Huione Pay บริษัทในเครือของ Huione Group เป็นลูกพี่ลูกน้องของ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และเป็นหลานชายของสมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรี และประธานวุฒิสภากัมพูชา
กลุ่มฮุยวัน มีธุรกิจในเครือ อาทิ Huione Pay PLC บริการชำระเงิน, Huione Crypto แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล และ Haowang Guarantee ค้าขายออนไลน์ที่ขายสินค้าและบริการผิดกฎหมาย โดยสองบริษัทหลังมีข้อกล่าวหาเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินระดับโลกผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ
ทั้งนี้ เมื่อเดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งชาติกัมพูชา ได้เพิกถอนใบอนุญาตของ Huione Pay เนื่องจากการละเมิดกฎระเบียบ
ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 กระทรวงการคลัง สหรัฐฯ ประกาศขึ้นแบล็กลิสต์ Huione Group เครือบริษัทการเงินกัมพูชา ฐานเป็นศูนย์กลางฟอกเงินแก๊งคอลเซ็นเตอร์และกลุ่มอาชญากรข้ามชาติ โดยมีมูลค่าการฟอกเงินรวมกว่า 4 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 140,000 ล้านบาท
ข้อมูลจากบริษัท Elliptic ระบุว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์บล็อกเชน เคยรายงานว่า Huione Guarantee กลายเป็นตลาดอาชญากรรมที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยมูลค่าธุรกรรมรวมกว่า 27,000 ล้านดอลลาร์
ส่วน เฉิน จื้อ (Chen Zhi ), ฉิน จื้อ หรือ วินเซนต์ ในวัย 38 ปี เป็นชาวจีนสองสัญชาติ คือสหราชอาณาจักรและกัมพูชา หลังได้สัญชาติกัมพูชาเมื่อปี 2014 ในปีถัดมา 2015 เขาเข้าลงทุนทำธุรกิจในกัมพูชา โดยก่อตั้ง Prince Group พร้อมขยายฐานธุรกิจและอุตสาหกรรมไปตามเมืองต่าง ๆ ของกัมพูชา
เฉิน จื้อ มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับระดับนำในกัมพูชา โดยเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2024 กษัตริย์นโรดม สีหมุนี แห่งกัมพูชา ออกพระราชกฤษฎีกาแต่งตั้งให้ “เฉิน จื้อ” รับบรรดาศักดิ์ “เนี๊ยก อ็อกเญีย ("ឧកញ៉ា")” หรือ “ออกญา” มีตำแหน่งเทียบเท่ารัฐมนตรี เขายังมีฐานะเป็นที่ปรึกษาของ ฮุน เซน ประธานวุฒิ สภากัมพูชา และที่ปรึกษาของ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา อีกด้วย
เครือ Prince Group ดำเนินธุรกิจมากกว่า 30 ประเทศทั่วโลก มีโครงการดำเนินธุรกิจต่าง ๆ มากกว่า 100 แห่งทั่วโลก อาทิ โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 52 โครงการ ที่เมืองกัมปงสะปือ พนมเปญ สีหนุ และบริเวณท่าเรือสีหนุวิลล์ ธุรกิจด้านการบริการ 26 แห่ง ทั้งที่จดทะเบียนในกัมพูชา ใต้หวัน สิงคโปร์ และอื่น ๆ ธุรกิจด้านสินทรัพย์ พาณิชย์นาวี รวมทั้งตั้งธนาคารพาณิชย์ Prince Bank ในกัมพูชา
นอกจากนั้น ยังมีอุตสาหกรรมด้านการบิน โทรคมนาคม การท่องเที่ยว โลจิสติกส์ เทคโนโลยี อาหารและเครื่องดื่ม ในปี 2021บริษัท Prince Holding Group มีที่ดินอยูในกัมพูชา รวม 47.5 ล้านตารางกิโลเมตร และมีสินทรัพย์ประมาณ 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
Prince Group ยังจดทะเบียนในหมู่เกาะเคย์แมน เพื่อทำธุรกรรมอำพรางที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน และหมุนวนกลับมาเป็นทุนสนับสนุนธุรกิจในทางเปิดเผยผ่าน Prince Holding Group, Prince Bank และ Prince Huan Yu Real Estate Cambodia Group Co. Ltd. เป็นต้น
มีรายงานว่า กลุ่มทุนเงาที่อยู่เบื้องหลัง Prince Group อาจไม่ได้มีเพียง เฉิน จื้อ เท่านั้น แต่ยังมีคนอื่น ๆ ที่สำคัญคือ “ชิว กัวซิง” (Qui Guoxing) อดีตประธานกรรมการบริหารบริษัท Prince Real Estate Group และประธานมูลนิธิ Cambodia Prince Real Estate Charity Foundation หรือ Prince Foundation และประธานบริษัท Fujien Minjian Cambodia Industrial
ถึงตรงนี้ ต้องบอกว่า แก๊งอาชญากรรมข้ามชาติระดับโลกที่ลอยนวลมานมนานกำลังถูกไล่ล่า งานนี้ตระกูลผู้นำกัมพูชาที่มีสัมพันธ์แนบแน่นกับทุนเทา-ทุนดำ สะเทือนหนักแน่ ส่วนฝั่งประเทศไทย “ใคร” ที่เข้าไปมีเอี่ยวกับเรื่องนี้ คงต้องร้อนๆ หนาวๆ ไปตามๆ กัน เพราะมีสิทธิที่ “เส้นเงิน” จะลากไปถึงได้ ยิ่งในยามที่ “ตระกูลฮุน” หลังชนฝาด้วยแล้ว ความแค้นที่อัดอั้นอยู่ในใจ อาจส่งผลให้มีรายการแฉใหญ่เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ก็ได้ ใครจะไปรู้.