xs
xsm
sm
md
lg

ความรู้มิใช่การถือครองความจริง แต่คือการอยู่ในโลกอย่างมีเหตุผลร่วมกับผู้อื่น / Phichai Ratnatilaka Na Bhuket

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"

 ในประวัติศาสตร์ภูมิปัญญาของมนุษย์ เราต่างคุ้นเคยกับมโนทัศน์ที่ว่า “ความรู้” คือการแสวงหาและถือครอง “ความจริง” อันเป็นสากล สถิตดำรงอย่างเที่ยงแท้ และไม่แปรผัน ราวกับเป็นอัญมณีที่เปล่งประกายเจิดจ้าอยู่ในส่วนลึกของจักรวาล รอคอยให้นักคิดผู้ปราดเปรื่องขุดค้นพบและนำมาเจียระไนไว้ในหอคอยแห่งตรรกะอันสูงส่ง ทว่า จะเป็นเช่นไรหากเราลองทบทวนกระบวนทัศน์นี้ใหม่ และมองว่า “ความรู้มิใช่การถือครองความจริง แต่คือการอยู่ในโลกอย่างมีเหตุผลร่วมกับผู้อื่น” 

บทความนี้จะพาท่านสำรวจพรมแดนทางความคิดที่ท้าทายมุมมองดั้งเดิม โดยเสนอว่า สนามแห่งความจริงที่เปล่งประกายและมีชีวิตชีวานั้น หาใช่สูตรคณิตศาสตร์อันเย็นชาหรือบทสรุปเชิงตรรกะที่โดดเดี่ยว แต่คือพื้นที่แห่ง "การเข้าใจร่วม" ซึ่งเป็นดั่งอากาศที่ความจริงใช้หายใจ พื้นที่นี้ไม่ได้ดำรงอยู่ในสุญญากาศทางความคิด แต่ก่อรูปขึ้นในวิถีชีวิตประจำวัน ในการพบปะสนทนา ในความขัดแย้งและการประนีประนอม รวมถึงในความพยายามอันไม่รู้จักสิ้นสุดของมนุษย์ที่จะทำความเข้าใจโลกและตัวตนของเราเอง

มโนทัศน์เรื่อง “การถือครองความจริง” (Possession of Truth) วางรากฐานอยู่บนญาณวิทยาแบบปรนัยนิยม (Objectivism) ที่เชื่อว่าความจริงดำรงอยู่อย่างเป็นอิสระจากผู้สังเกตการณ์ ภารกิจของมนุษย์คือการใช้เครื่องมือทางปัญญา ไม่ว่าจะเป็นเหตุผล ประสบการณ์เชิงประจักษ์ หรือระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์ เพื่อเข้าถึงและ “เป็นเจ้าของ” ความจริงนั้นในรูปขององค์ความรู้ที่สมบูรณ์ มรดกทางความคิดนี้สืบทอดมาจากปรัชญาตะวันตกตั้งแต่ยุคเพลโต ผ่านเดการ์ต จนถึงยุคแห่งการตื่นรู้ทางปัญญา (Enlightenment) ที่มองว่าเหตุผลเป็นเครื่องมือสากลในการไขความลับของธรรมชาติ

อย่างไรก็ตาม แนวคิดนี้ได้สร้างภาพของนักปราชญ์หรือนักวิทยาศาสตร์ในฐานะผู้สังเกตการณ์ที่แยกตัวออกจากโลก ยืนอยู่บนยอดเขาสูง มองลงมายังสรรพสิ่งด้วยสายตาอันปราศจากอคติ เป็นภาพของ “มุมมองจากที่ไหนก็ไม่รู้” (View from Nowhere) ตามที่โธมัส เนเกล (Thomas Nagel) ได้วิพากษ์ไว้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว มนุษย์เราล้วนเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่เราพยายามทำความเข้าใจ เรามิได้เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ แต่เป็นผู้แสดงที่อยู่ในละครแห่งชีวิต

 มาร์ติน ไฮเด็กเกอร์ (Martin Heidegger)  นักปรัชญาเยอรมันได้ชี้ให้เห็นว่า การดำรงอยู่ของมนุษย์คือ “การถูกโยนเข้ามาในโลก” เราไม่ได้เลือกที่จะเกิดมาในยุคสมัยใด วัฒนธรรมใด หรือภาษาใด แต่เราพบตัวเองอยู่ท่ามกลางบริบทที่หล่อหลอมวิธีคิดและมุมมองของเราอยู่แล้ว ความรู้จึงมิอาจเป็นเพียงวัตถุที่ถูกเก็บสะสมไว้ในคลังสมอง หากแต่เป็นกระบวนการอันไม่สิ้นสุดของการ 'อาศัยอยู่ในโลก' อย่างมีปฏิสัมพันธ์

ปัญหาสำคัญของการมองความรู้เป็นสมบัติส่วนตนคือการสร้าง "วิกฤตแห่งความโดดเดี่ยวทางปัญญา" เมื่อแต่ละคนถือครองความจริงของตนเอง การสื่อสารและความเข้าใจระหว่างมนุษย์กลายเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เราจะติดอยู่ในกับดักของ “ภาษาส่วนตัว” (Private Language) ที่  ลุดวิก วิทเก็นสไตน์ (Ludwig Wittgenstein)  ได้แสดงให้เห็นว่าเป็นสิ่งที่ขัดแย้งในตัวเอง

ยิ่งไปกว่านั้น การยึดติดกับการถือครองความจริงยังนำไปสู่ความรุนแรงเชิงสัญลักษณ์ (Symbolic Violence) เมื่อผู้ที่อ้างว่าตนครอบครองความจริงใช้อำนาจกดทับผู้อื่นให้ต้องยอมรับ ประวัติศาสตร์เต็มไปด้วยตัวอย่างของการใช้ "ความจริงสัมบูรณ์" เป็นเครื่องมือในการปราบปราม ไม่ว่าจะเป็นการล่าแม่มด การตัดสินคดีของกาลิเลโอ หรือการปฏิวัติวัฒนธรรมในจีน

 กระบวนทัศน์ใหม่ของการอยู่ในโลกอย่างมีเหตุผลร่วมกับผู้อื่น 

การอยู่ในโลกอย่างมีเหตุผลร่วมกับผู้อื่น หมายถึง การที่ความรู้ของเราก่อร่างสร้างตัวขึ้นจากการสนทนา การถกเถียง การต่อรองความหมาย และการแลกเปลี่ยนมุมมองกับเพื่อนมนุษย์ ความมีเหตุผลในที่นี้ จึงไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่เพียงตรรกะภายในปัจเจกบุคคล แต่ขยายขอบเขตไปสู่ “เหตุผลเชิงปฏิสัมพันธ์” ตามแนวคิดของเยอร์เก็น ฮาเบอร์มาส (Jürgen Habermas) ที่ซึ่งความสมเหตุสมผลของคำกล่าวอ้างหนึ่งๆ จะถูกทดสอบและขัดเกลาผ่านกระบวนการทางสังคม

แนวคิดนี้ไม่ได้หมายความว่าความจริงเป็นเรื่องของฉันทมติเสียทั้งหมด หรือว่าทุกมุมมองมีความถูกต้องเท่าเทียมกันในแบบสัมพัทธนิยมสุดโต่ง ตรงกันข้าม มันเป็นการยอมรับว่าความจริงที่มีความหมายและมีชีวิตนั้นเกิดขึ้นจากกระบวนการวิพากษ์ร่วมกัน การทดสอบซึ่งกันและกัน และการแสวงหาจุดร่วมท่ามกลางความหลากหลาย เป็นการเคลื่อนจาก “ความจริงแบบผูกขาด” (Monological Truth) ไปสู่ “ความจริงแบบเสวนา” (Dialogical Truth)

เมื่อความรู้หลุดพ้นจากการเป็นสมบัติส่วนตน มันจึงค้นพบบ้านที่แท้จริงในพื้นที่สาธารณะ ที่ซึ่ง “การเข้าใจร่วม คือสนามที่ความจริงหายใจอยู่ ไม่ใช่ในหอคอยแห่งตรรกะ แต่ในจังหวะของภาษา การกระทำ และชีวิต”

คำเปรียบเทียบนี้งดงามและลึกซึ้งยิ่งนัก 'หอคอยแห่งตรรกะ' คือภาพแทนของความรู้ที่แห้งแล้ง เย็นชา และถูกสตาฟฟ์ไว้ เป็นความจริงที่หยุดนิ่งและปราศจากชีวิตชีวา ในทางกลับกัน 'สนามที่ความจริงหายใจอยู่' คือภาพของระบบนิเวศทางปัญญาที่เปี่ยมด้วยพลวัต

ความจริงไม่ได้ถูกค้นพบในสมการที่สมบูรณ์แบบเสมอไป แต่มันถูก “สร้าง” ขึ้นผ่านภาษาที่เราใช้ร่วมกัน ภาษาไม่ใช่เพียงเครื่องมือโปร่งใสที่ใช้ชี้ไปยังความจริงภายนอก แต่เป็นตัวกลางที่หล่อหลอมวิธีคิดและโลกทัศน์ของเรา  ฮันส์-เกออร์ก กาดาเมอร์ (Hans-Georg Gadamer)  นักปรัชญาเยอรมันได้เสนอแนวคิดเรื่อง “การหลอมรวมของขอบฟ้า” (Fusion of Horizons) ว่าความเข้าใจเกิดขึ้นเมื่อขอบฟ้าทางความหมายของผู้พูดและผู้ฟังมาบรรจบกัน

ความจริงเผยตัวตนผ่านเรื่องเล่า อุปมาอุปไมย บทกวี และการสนทนาที่เปิดกว้าง มันมีชีวิตอยู่ในจังหวะของการถามและการตอบ ในความเงียบระหว่างบทสนทนา และในความพยายามที่จะแปลความรู้สึกที่ซับซ้อนให้ออกมาเป็นถ้อยคำ ลองนึกถึงคำว่า “รัก” คำเดียวนี้แฝงไว้ด้วยความหมายนับพัน ตั้งแต่ความรักของแม่ที่มีต่อลูก ความรักหวานชื่นของคู่รัก ไปจนถึงความรักชาติหรือความรักในธรรมชาติ ความจริงของ “รัก” ไม่ได้อยู่ในคำนิยามในพจนานุกรม แต่อยู่ในประสบการณ์ที่ถูกถ่ายทอดผ่านบทกวี เพลง นวนิยาย และเรื่องเล่าในชีวิตประจำวัน

ภาษายังเป็นสนามของการต่อสู้ทางความหมาย คำว่า “ความยุติธรรม” “เสรีภาพ” หรือ “ประชาธิปไตย” ไม่มีความหมายตายตัว แต่เป็นพื้นที่ของการต่อรองและการนิยามใหม่อยู่เสมอ ความจริงจึงไม่ใช่สิ่งที่ถูกค้นพบ แต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นผ่านการใช้ภาษาร่วมกันของเรา

ความรู้ที่แท้จริงไม่ได้อยู่แค่ในความคิด แต่ฝังลึกอยู่ในการกระทำของเรา อริสโตเติลแบ่งความรู้ออกเป็นสามประเภท ได้แก่ ความรู้เชิงทฤษฎี (Episteme) ความรู้เชิงปฏิบัติ (Techne) และปัญญาเชิงปฏิบัติ (Phronesis) ความรู้ประเภทหลังนี้คือความสามารถในการตัดสินใจและกระทำอย่างเหมาะสมในสถานการณ์เฉพาะหน้า ซึ่งไม่อาจถูกลดทอนให้เหลือเพียงกฎเกณฑ์ตายตัว

ความเข้าใจในเรื่อง 'ความยุติธรรม' จะไม่มีความหมายเลยหากปราศจากการกระทำที่ยุติธรรม ความเข้าใจใน “ความรัก” จะว่างเปล่าหากปราศจากการแสดงออกซึ่งความรัก  พอล ริเกอร์ (Paul Ricoeur)  นักปรัชญาฝรั่งเศสได้กล่าวว่า “ตัวตนคือสิ่งที่ถูกเล่า” (The self is narrated) แต่เราอาจเพิ่มเติมได้ว่า "ตัวตนคือสิ่งที่ถูกกระทำ" (The self is enacted) ด้วยเช่นกัน

ความจริงจึงถูกยืนยันและทำให้เป็นจริงผ่านการปฏิบัติร่วมกันในสังคม ผ่านจารีตประเพณี ผ่านการทำงานร่วมกัน และผ่านการเผชิญหน้ากับปัญหาของโลกร่วมกัน ในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ ความจริงไม่ได้เกิดจากการสังเกตของนักวิทยาศาสตร์คนเดียว แต่เกิดจากการทดลองซ้ำ การตรวจสอบโดยเพื่อนร่วมงาน และการถกเถียงในชุมชนวิทยาศาสตร์ แม้แต่ความจริงทางวิทยาศาสตร์ที่ดูเหมือนเป็นปรนัยที่สุด ก็ยังต้องอาศัยการปฏิบัติร่วมกันของชุมชนผู้เชี่ยวชาญ

ท้ายที่สุด ความจริงผูกพันอยู่กับบริบทของชีวิตมนุษย์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ ความปรารถนา ความเจ็บปวด และความหวัง มันไม่ใช่สิ่งเหนือโลก แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในโลก ท่ามกลางกระแสธารแห่งประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม  เมอร์โล-ปองตี (Maurice Merleau-Ponty) นักปรัชญาฝรั่งเศสได้เสนอแนวคิดเรื่อง “ร่างกายที่มีชีวิต” (Lived Body) ว่าความรู้ของเราไม่ได้มาจากจิตใจที่แยกจากร่างกายเท่านั้น แต่มาจากการที่เรามีร่างกายที่อยู่ในโลกและสัมผัสกับโลก

ความจริงจึงไม่ใช่บทสรุปสุดท้าย แต่เป็นการเดินทางที่ไม่สิ้นสุด เป็นการเต้นรำไปตามจังหวะของชีวิตที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เมื่อเด็กถามว่า "ทำไมท้องฟ้าถึงเป็นสีฟ้า" คำตอบทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการกระเจิงของแสงอาจถูกต้อง แต่ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด ความจริงยังอยู่ในความตื่นตาตื่นใจของเด็ก ในบทกวีที่บรรยายถึงท้องฟ้า และในความทรงจำของวันที่เรานอนมองท้องฟ้ากับคนที่เรารัก

หากความจริงเกิดขึ้นในพื้นที่ของการเข้าใจร่วม เราจำเป็นต้องสร้าง “พื้นที่แห่งการพบกัน” (Space of Encounter) ที่ความแตกต่างสามารถมาพบกันได้อย่างสร้างสรรค์ นี่ไม่ใช่การลบล้างความขัดแย้ง แต่เป็นการเปลี่ยนความขัดแย้งให้กลายเป็นพลังของการสร้างสรรค์

 เอ็มมานูเอล เลวินาส (Emmanuel Levinas) นักปรัชญาฝรั่งเศส-ลิทัวเนีย ได้เสนอว่า การพบกับ “ผู้อื่น” (The Other) คือจุดเริ่มต้นของจริยธรรมและความจริง ใบหน้าของผู้อื่นเรียกร้องให้เราตอบสนองและรับผิดชอบ มันทำลายความมั่นใจในตัวตนและความจริงของเราเอง และเปิดพื้นที่ให้กับความเป็นไปได้ใหม่ ๆ

ในบริบทของสังคมพหุวัฒนธรรม การสร้างพื้นที่แห่งการพบกันจึงมีความสำคัญยิ่ง มันหมายถึงการสร้างเวทีสาธารณะที่เสียงแห่งความหลากหลายสามารถถูกรับฟังได้ ที่ความแตกต่างของมุมมองสามารถถูกนำเสนอและถกเถียงได้ โดยไม่มีฝ่ายใดผูกขาดความจริง นี่คือหัวใจของประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ (Deliberative Democracy) ที่ไม่ใช่แค่การนับคะแนนเสียงข้างมาก แต่เป็นการแสวงหาความเข้าใจร่วมกันผ่านการสนทนาอย่างมีเหตุผล

ในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลข่าวสารไหลเวียนอย่างรวดเร็ว เราเผชิญกับความท้าทายใหม่ในการสร้างความเข้าใจร่วม  ฌ็อง โบดริยาร์ (Jean Baudrillard)  ได้เตือนถึง “ภาวะเหนือจริง” (Hyperreality) ที่ความจริงและการจำลองปะปนกันจนแยกไม่ออก ขณะที่  ชอมสกี้ (Noam Chomsky)  ชี้ให้เห็นถึงการผลิตความยินยอม (Manufacturing Consent) ผ่านสื่อมวลชน

โซเชียลมีเดียสร้าง “ห้องเสียงสะท้อน” (Echo Chambers) ที่คนมีแนวคิดคล้ายกันมารวมตัวและตอกย้ำความเชื่อของตนเอง ขณะเดียวกันก็สร้าง “ฟองสบู่ตัวกรอง” (Filter Bubbles) ที่คัดกรองข้อมูลให้เราเห็นเฉพาะสิ่งที่สอดคล้องกับความเชื่อเดิมของเรา สิ่งนี้ท้าทายแนวคิดเรื่องการสร้างความเข้าใจร่วม เพราะเราอาจไม่ได้อยู่ในพื้นที่สาธารณะเดียวกันอีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีดิจิทัลก็เปิดโอกาสใหม่ในการสร้างพื้นที่ของการเข้าใจร่วมเช่นกัน วิกิพีเดียเป็นตัวอย่างของการสร้างความรู้ร่วมกันในระดับโลก ขบวนการโอเพนซอร์สแสดงให้เห็นถึงพลังของการทำงานร่วมกันโดยไม่ต้องมีผู้ควบคุมจากส่วนกลาง การเคลื่อนไหวทางสังคมใช้โซเชียลมีเดียในการสร้างความตระหนักและระดมพลังเพื่อการเปลี่ยนแปลง

การเปลี่ยนมุมมองจาก “การถือครองความจริง” มาสู่ “การร่วมสร้างความเข้าใจ” ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงทางทฤษฎี แต่ต้องนำมาสู่การปฏิบัติในชีวิตประจำวัน นี่หมายถึงการปลูกฝังทัศนคติและทักษะใหม่ๆ หลายประการ

 ประการแรก คือการพัฒนา “ความอ่อนน้อมทางปัญญา” (Intellectual Humility) การยอมรับว่าสิ่งที่เรารู้มีขอบเขตจำกัด และเราอาจผิดได้เสมอ นี่ไม่ใช่การปฏิเสธความรู้หรือตกอยู่ในความสงสัยแบบสุดโต่ง แต่เป็นการเปิดใจรับฟังมุมมองอื่นและพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดเมื่อมีเหตุผลที่ดีพอ

ประการที่สอง คือการฝึกฝน “การฟังอย่างลึกซึ้ง” (Deep Listening) ไม่ใช่แค่การรอให้ผู้อื่นพูดจบเพื่อที่เราจะได้พูด แต่เป็นการพยายามเข้าใจโลกทัศน์และประสบการณ์ที่อยู่เบื้องหลังคำพูดของผู้อื่น การฟังด้วยความเมตตาและความอยากรู้อยากเห็น แทนที่จะฟังเพื่อตัดสินหรือโต้แย้ง

ประการที่สาม คือการสร้าง “พื้นที่ปลอดภัย” (Safe Spaces) สำหรับการสนทนา ที่ผู้คนสามารถแสดงความคิดเห็นได้โดยไม่กลัวการถูกตัดสิน ที่ความผิดพลาดถูกมองว่าเป็นโอกาสในการเรียนรู้ ที่ความแตกต่างถูกต้อนรับและเฉลิมฉลอง 

การเปลี่ยนมุมมองจาก “การถือครองความจริง” มาสู่ “การร่วมสร้างความเข้าใจ” คือการปฏิวัติทางความคิดที่สำคัญยิ่งในยุคสมัยของเรา มันเชื้อเชิญให้เราก้าวลงจากหอคอยงาช้างแห่งความรู้ส่วนตน มาสู่ลานกว้างแห่งการสนทนาและความร่วมมือ มันสอนให้เราตระหนักว่า ความรู้ที่ทรงคุณค่าที่สุดไม่ใช่ความรู้ที่แบ่งแยกเราออกจากกันด้วยคำตอบสุดท้าย แต่คือปัญญาที่เชื่อมร้อยเราเข้าไว้ด้วยกันผ่านคำถามที่เปิดกว้างและจริงใจ

ในโลกที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครคนใดหรือกลุ่มใดสามารถอ้างว่าตนมีคำตอบทั้งหมดได้ ปัญหาใหญ่ๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ความเหลื่อมล้ำ หรือการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ล้วนต้องการความร่วมมือและการแบ่งปันความรู้จากหลากหลายสาขาและมุมมอง

 เพราะท้ายที่สุดแล้ว “ความจริง” อาจไม่ใช่ดวงดาวที่อยู่ไกลโพ้นให้เราเฝ้ามอง แต่คือลมหายใจอุ่น ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างเรา เมื่อเรากล้าที่จะรับฟัง เรียนรู้ และใช้ชีวิตอย่างมีความหมายร่วมกันในโลกใบนี้อย่างแท้จริง ความจริงไม่ใช่อนุสาวรีย์ที่ตั้งตระหง่านในความโดดเดี่ยว แต่เป็นสายน้ำที่ไหลผ่านชีวิตของเราทุกคน ก่อรูปและเปลี่ยนแปลงไปตามภูมิประเทศแห่งประสบการณ์มนุษย์ และในการไหลเวียนนั้นเอง ความจริงจึงมีชีวิตและหายใจ พร้อมที่จะเติบโตและงอกงามต่อไปในวันพรุ่งนี้ 


กำลังโหลดความคิดเห็น