xs
xsm
sm
md
lg

ก็แค่ Balfour II นั่นเอง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร


ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมคบฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่กาซา
มีการฉลองกันอย่างเอิกเกริกทั้งสองฝ่ายคือ การปล่อยตัวประกันทั้งหมดจากฝ่ายฮามาส ที่ยังมีชีวิตอยู่และทยอยส่งร่างไร้วิญญาณของตัวประกันอิสราเอล...กับนักโทษชาวปาเลสไตน์ที่ถูกขังคุกทรมานอยู่ในคุกของอิสราเอล

ตัวประกันชาวอิสราเอล (บางคนมีสองสัญชาติ) ดูท่าทางสมบูรณ์ครบถ้วน เพราะได้รับการดูแลอย่างดีจากฮามาส บางคนให้สัมภาษณ์ว่าได้ผูกมิตรกับผู้คุมฮามาส ถึงกับตัวประกันได้มีโอกาสทำอาหารให้ผู้คุมได้ร่วมรับประทานอาหารด้วย...และบางคนถึงกับกอดและส่งจูบให้กับผู้คุมฮามาสทีเดียว แสดงถึงมิตรไมตรีความเป็นมนุษย์ที่มีให้แก่กัน แม้จะอยู่ตรงข้ามกันก็ตาม แต่ความเป็นมนุษย์ในท่ามกลางห่ากระสุนระเบิดของ IDF ที่ต้องหลบหนีรอดตายเป็นประสบการณ์นาทีชีวิตร่วมกัน

ตรงข้ามกับนักโทษชาวปาเลสไตน์ที่ถูกทรมานในคุกอิสราเอล บางคนออกมาด้วยการเสียดวงตา หรือขาดอาหาร หรือทุพพลภาพจากการถูกทรมานเพื่อสอบสวนแบบแข็งกร้าว และเป็นโรคผิวหนังร้ายแรง บางคนเสียแขนขา...และฝ่ายอิสราเอลห้ามนักโทษปาเลสไตน์ที่ถูกปล่อยออกมาว่า ห้ามการเฉลิมฉลองหรือชุมนุมแสดงความยินดี แต่ให้ญาติมารับตัวไปอย่างเงียบๆ นั่นเอง...นักโทษประหารระดับหัวหน้าฮามาสหลายคนไม่ได้อยู่ในรายชื่อที่จะปล่อยออกมา ซึ่งบางคนติดคุกมานานกว่า 30 ปี

ขอสรุปข้อตกลงสันติภาพ 20 ข้อของทรัมป์ผ่านสายตาของศ.จอห์น เมียร์ไชเมอร์ (แห่งม.ชิคาโก) และศ.เจฟฟรีย์ แซคส์ นักเศรษฐศาสตร์และเป็นชาวยิวคนสำคัญของสหรัฐฯ ที่สอบที่ม.โคลัมเบีย ดังนี้

เดิมจะมี 21 ข้อ ซึ่งข้อที่ 21 ที่ตัดออกไปก็คือเรื่องเวสต์แบงก์ซึ่งทรัมป์ไม่ต้องการให้มีการบุกเข้ายึดครองหรือทำลาย เช่นเดียวกับที่ IDF ทำกับกาซา…แต่ในเมื่อข้อนี้ถูกตัดออกไป (ไม่เช่นนั้นเนทันยาฮูจะไม่ยอมลงนามหยุดยิง) ก็แสดงว่า เขตเวสต์แบงก์จะอยู่ในการตัดสินใจของรัฐบาลอิสราเอลที่จะจำกัดการขยายนิคมหรือบุกเข้ายึดครองได้ตามสบายหรือไม่

ใน 20 ข้อนี้ไม่มีการจัดตั้งและยอมรับรัฐปาเลสไตน์
ไม่มีการกำหนดระยะเวลาในการถอนทหาร IDF ออกจากเขตกาซา…มีแต่เส้นแสดงการถอยร่นของ IDF เริ่มจากยังยึดอยู่ 53% ของกาซา, ร่นถอยมาเหลือ 40%, และสุดท้ายเหลือเพียง 15%ของกาซา

การปลดอาวุธฮามาสจะทำทันทีหลังฮามาสปล่อยตัวประกันหมด...ซึ่งเป็นประเด็นที่หลายฝ่ายไม่เชื่อว่า ฮามาสจะยินดียอมให้ปลดอาวุธตราบเท่าที่ยังไม่มีโรดแมปที่จะสร้างรัฐปาเลสไตน์

การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม (อาหาร, น้ำ, ยา, ไฟฟ้า, แก๊สหุงต้ม) จะเข้าไปเต็มที่ (600 คันต่อวัน) ภายใต้ IDF และจะมีกาชาดสากลและ UNRWA ช่วยแจกจ่าย (ขณะนี้ยังให้เข้าไปน้อยมาก)

ไม่น่าไว้วางใจว่า จอมเล่นกล (Magician) อย่างเนทันยาฮูจะตลบหลังถล่มกาซาอีกครั้ง (และรวมถึงเวสต์แบงก์) หลังจากฮามาสปล่อยตัวประกันออกมาทั้งหมด เพราะเนทันยาฮูมีชื่อเสีย(ง)ในการไม่รักษาคำพูด และละเมิดข้อตกลงมาตลอด

แม้แต่ทรัมป์ที่จะนั่งเป็นประธานของคณะกรรมการสันติภาพ (Peace Board) ก็อยู่ในข่ายไม่น่าไว้วางใจว่า จะทนดูแลได้นานขนาดไหน เพราะมีสมาธิสั้นมากๆ จนไม่สามารถกำกับดูแลได้นาน และมีจุดยืนที่โลเลเปลี่ยนไปมาถี่มาก

มองเหมือนหลายๆ นักวิชาการว่าข้อตกลงนี้เหมือน BalfourDeclaration ที่ประกาศเมื่อ 2 พ.ย. 1917 ท่ามกลางสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยลอร์ด บัลโฟร์ ซึ่งดำรงตำแหน่งรมต.ต่างประเทศอังกฤษ เพื่อตอบแทนต่อข้อเสนอของท่านSir Rothschild ซึ่งเป็นนักการเงินคนสำคัญของอังกฤษที่จะอุดหนุนรัฐบาลอังกฤษในสงครามโลกครั้งที่ 1...โดยชาวยิวในยุโรปได้ก่อตั้งองค์กรไซออนนิสต์เมื่อปี 1897 (20 ปีก่อนประกาศบัลโฟร์) ซึ่งต้องการให้ชาวยิวมีรัฐอิสราเอลในแผ่นดินที่ชาวยิวเคยอาศัยอยู่เมื่อ 4,000 ปีที่แล้ว(ดินแดนนี้ต่อมาได้ตกอยู่ใต้จักรวรรดิต่างๆ จนมาอยู่ในจักรวรรดิออตโตมัน-มีศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศตุรเคียในปัจจุบัน)

การวิเคราะห์ของศ.แซคส์ มองว่า ตะวันตกเป็นนักล่าอาณานิคมตัวฉกาจ ไม่ว่าจะเป็นจักรวรรดิเบลเยียม, ฮอลันดา, โปรตุเกส, สเปน, ฝรั่งเศส จนมาถึงอังกฤษที่มีดินแดนอาณานิคมอยู่ทั่วโลกจนดวงอาทิตย์ไม่ตกดินทีเดียว และสหรัฐฯ ซึ่งคลอดออกมาจากท้องของแม่คือ จักรวรรดิอังกฤษซึ่งมีดีเอ็นเอที่แรงมากในการล่าอาณานิคม อย่างที่เราเห็นมีกองทัพหรือฐานที่มั่นบัญชาการอยู่เกือบ 800 แห่งทั่วโลก

เช่นเดียวกับชาวยิวในยุโรปที่มีดีเอ็นเอแบบตะวันตกที่เป็นนักล่าอาณานิคม เพื่อปล้นสะดมทรัพยากรจากเมืองขึ้นมาจุนเจือประเทศแม่ และแผ่อิทธิพลด้วยการบุกเข้ายึดดินแดนแบบป่าเถื่อน อย่างที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ที่ชาวยุโรปไปปล้นชิงดินแดนจากชาวอินเดียแดงท้องถิ่น รวมทั้งที่แคนาดา (ที่อังกฤษ, ฝรั่งเศสบุกยึดดินแดน) ที่อเมริกากลาง, ใต้, แอฟริกาและเอเชีย รวมทั้งที่ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ต่างตกเป็นเมืองขึ้นของชาวยุโรปทั้งนั้น (ยกเว้นประเทศไทย-แต่ตอนนี้กำลังกังวลกับการขยายนิคมชาวยิวมาที่เมืองปาย, แม่ฮ่องสอน และที่เกาะพะงัน-ทางตอนใต้ของไทย)

ที่เทียบแผนสันติภาพทรัมป์ 20 ข้อกับประกาศบัลโฟร์ เพราะจะมีองค์กรสูงสุดเป็นตะวันตก นำโดยทรัมป์และโทนี แบลร์ และปฏิเสธชาวท้องถิ่น (ชาวกาซาหรือฮามาส) ไม่ให้มีส่วนสำคัญในการปกครองตนเองแต่อย่างใด ก็เท่ากับเป็นเมืองขึ้นของยุโรป-สหรัฐฯ นั่นเอง...ตัวแทนเทคโมแครตจากตะวันออกกลางก็จะต้องได้รับการคัดเลือกจากชาวตะวันตกทั้งหมด...รวมทั้งกองกำลังรักษาสันติภาพ ซึ่งตอนนี้มีผู้นำอินโดนีเซียเสนอให้มา 20,000 คนก็ยังเลื่อนลอย และโครงสร้างการปกครองกาซาก็ยังไม่มีอะไรเป็นกรอบที่ชัดเจน...นอกจากเริ่มมีการพูดถึง การสร้างเมืองใหม่ขึ้นมาจากสุสานหินที่ถูก IDF ถล่มจนเต็มไปด้วยสารพิษของระเบิดและฟอสฟอรัสขาว เป็นต้น

การสร้างเมืองใหม่นี้ดูจะได้รับความสนใจมาก จากนายสตีฟ วิทคอฟฟ์ (ทูตพิเศษประจำตะวันออกกลาง-ซึ่งเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เกาะแมนฮัตตัน-เพื่อนร่วมก๊วนกอล์ฟของนายทรัมป์) และนายจาเร็ด คุชเนอร์ ซึ่งเป็นลูกเขยนายทรัมป์ และเป็นเจ้าของข้อตกลงแห่งศตวรรษ (Deal of the Century) นั่นคือ Abraham Accord ที่ต้องการให้ประเทศอาหรับทุกประเทศเปิดสัมพันธ์การทูตกับอิสราเอล เพื่อทำให้ภูมิภาคตะวันออกกลางเป็น Peace Zone ไม่ใช่ War Zone ซึ่งจะต้องมีการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ และโครงการต่างๆ มากมาย ซึ่งนายจาเร็ด คุชเนอร์ ก็เป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เช่นเดียวกับพ่อของเขา และพ่อตาของเขา

ทั้งจาเร็ด คุชเนอร์ และสตีฟ วิทคอฟฟ์ กำลังทำแผนระดมการลงทุนสร้างเมืองใหม่จากเงินทุนของฝ่ายประเทศอาหรับนั่นแหละ

ดินแดนกาซาในแผนของทรัมป์ และพวกก็จะกลายเป็นเมืองใหม่ซึ่งจะต้องมีผลตอบแทนการลงทุนเป็นตัวเงินที่คุ้มค่า

แต่ไม่มีหลักประกันใดๆ ว่าใครจะเป็นผู้อาศัยอยู่ในเมืองใหม่นี้ จะมีชาวปาเลสไตน์อาศัยอยู่กี่คน? ในสถานะใด?? หรือจะมีความสงบแบบถาวรเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่?

แล้วชาวปาเลสไตน์ที่ถูกไล่ล่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไปเป็นแสนๆ คน (ตัวเลขจากสื่อการแพทย์ Lancet ประมาณการว่า ชาวปาเลสไตน์ที่ตายอยู่ในซากปรักหักพังอาคารต่างๆ จะต้องมีจำนวนมากมายหลายเท่าจากจำนวน 6 หมื่นกว่าคน ที่กระทรวงสาธารณสุขของกาซาเขาได้ทำบัญชีนับศพจากเท่าที่เก็บได้เท่านั้น) จะปล่อยไปเฉยๆ ได้หรือไม่ ขณะที่ชาวโลกได้เห็นอยู่เต็มตาทุกนาทีตลอด 2 ปีเต็มที่ผ่านมา หน้าจอทีวี (ไม่มีการหลบซ่อน แอบฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แบบที่นาซีทำกับชาวยิวที่ Auschwitz)ซึ่งความผิดต่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์นี้จะต้องขึ้นศาลทั้ง ICJ และ ICC ที่สหรัฐฯ เองก็จะตกเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในการกระทำอำมหิตร่วมกับผู้นำอิสราเอลด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น