ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลังจากที่ “ระบอบทักษิณ” พังทลายจากอำนาจลงไปในเวลานี้
และในขณะที่หลายคนเปิดใจยอมรับ “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” ในการก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมกับคัดเลือก “รัฐมนตรีคนนอก” หลายคนที่สร้างความประทับใจเมื่อเปรียบเทียบกับบรรดา “รัฐมนตรีโควตาซุ้มต่างๆ” ก็มีสัญญาณอันน่าเป็นห่วงเกิดขึ้นหลายต่อหลายเรื่องว่า อาจจะเป็นการเริ่มต้นของ “ระบอบใหม่” ที่ไม่ต่างไปจากระบอบทักษิณซึ่งเคยสร้างปัญหาให้กับประเทศไทย
ระบอบใหม่ที่ว่านั้นก็คือ “ระบอบหนู-เน” นำโดย “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” มหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยมาจากธุรกิจก่อสร้าง และเข้ามาสู่เส้นทางด้วยการวางแผนอย่างเป็นระบบ โดยมีคอนเนกชันที่กว้างขวางครอบคลุมในทุกวงการ และมี “นายเนวิน ชิดชอบ” ผู้ที่เต็มไปด้วยเหลี่ยมคูทางการเมืองระดับเอกอุ ชนิดไม่สองรองใครในถนนสายนี้ จนเรียกขานกันในค่ายสีน้ำเงินว่า “ครูใหญ่เน” เป็นหัวใจสำคัญในการทำงานการเมือง
เรียกว่า ถ้าไม่มี “นายเนวิน” ก็ไม่มี “นายกฯ อนุทิน” ในวันนี้ก็คงไม่ผิดไปจากความเป็นจริง และหลังนายเนวินเคยประกาศจะทำให้นายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรีเนื่องในงานวันคล้ายวันเกิดในปีที่ผ่าน ซึ่งก็ประสบความสำเร็จไปแล้ว ในงานวันคล้ายวันเกิดนายเนวินก็ได้หล่นวาทกรรมอันลือลั่นอีกครั้งว่า นายอนุทินจะเป็นนายกรัฐมนตรีอีก 4 ปี
ทั้งนี้ หลังครูใหญ่เนประกาศเจตจำนง ในอีกไม่กี่วันต่อมาคือวันที่ 7 ตุลาคม พรรคภูมิใจไทยก็เปิดบ้านรับบรรดา “บ้านใหญ่” ที่ตบเท้าเข้าพรรคอย่างคับคั่งจากทุกทิศทุกทาง ทั้งจากพรรรวมไทยสร้างชาติ พรรคประชาธิปัตย์ รวมกระทั่งถึงพรรคเพื่อไทย จนมีกลายเป็นที่มาของการเปรียบเปรยชื่อพรรคว่า “ภูมิใจดูด” เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งจะว่าไปก็มิได้ต่างไปจากเมื่อครั้ง “พรรคไทยรักไทย” เปิดเกมดูดกลุ่มก๊วนการเมืองต่างๆ เข้ามาไว้ในสังกัดเป็นจำนวนมาก เพียงแต่ผลลัพธ์สุดท้ายคือ การเลือก สส.จะเหมือนกันหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ในอีก 6-7 เดือนข้างหน้า
เมื่อสถานการณ์ดำเนินไปเยี่ยงนี้ “ระบอบหนู-เน” จึงสร้างความสั่นสะเทือนให้กับ “ระบอบทักษิณ” ที่ยืนหนึ่งในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก และจำต้องเร่ง “ยกเครื่อง” เป็นการใหญ่ ซึ่งนั่นจึงเป็นที่มาของ “แคมเปญยกเครื่องเพื่อไทย ยกเครื่องประเทศไทย” พร้อมทั้งเข็น “อุ๊งอิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร” ขึ้นธรรมาสน์ปลุกขวัญกำลังใจคนเพื่อไทยเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมาเพื่อยืนยันว่า “ตระกูลชินวัตร” ยังไม่ยอมแพ้และจะเดินหน้าส่งท่อน้ำเลี้ยงสนับสนุนผู้ที่ยังคงจงรักภักดีเหมือนเดิม พร้อม “ขายฝัน” ว่าจะมี สส.ถึง 200 คนในการเลือกตั้งปี 2569 โดย “นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” ได้รับการมอบหมายในดำรงตำแหน่ง “ผู้อำนวยการการเลือกตั้งของพรรค”
เป็นการขายฝันที่ต้องบอกว่าเกินจากความเป็นจริงอยู่ไม่น้อย เพราะมีการคาดการณ์ว่า เพื่อไทยจะได้ต่ำกว่าร้อยเสียด้วยซ้ำไป เพราะแม้กระทั่งขณะเปิดแคมเปญ สภาวะเลือดไหลภายในพรรคก็ยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง
แถมยังคุยโวโอ้อวดเกี่ยวกับ “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” ของพรรคด้วยว่า ถ้าเปิดตัวเมื่อไหร่ จะเรียกเสียง “ว้าว” จากประชาชนอย่างแน่นอน ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานนักก็เกิดกระแสข่าวแพร่สะพัดว่า พรรคเพื่อไทยอาจดึง “ท็อป-วราวุธ ศิลปอาชา” มาเป็น 1 ใน 3 แคนดิเดตของพรรคด้วย ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามีลับลวงพรางอะไรหรือไม่ เพราะก็ต้องยอมรับว่า สถานการณ์ของพรรคชาติไทยพัฒนาก็ไม่สู้ดีนัก ด้วยมีแนวโน้มที่จะมีการย้ายพรรคอยู่ไม่น้อย หรือไม่ก็เป็นการปล่อยข่าวเพื่อดิสเครดิตพรรคชาติไทยพัฒนาที่เดิมก็แย่อยู่แล้ว ให้แย่หนักไปกว่าเดิมอีก เพื่อหวังดูดสส.ให้ย้ายค่าย
ดังนั้น จึงต้องบอกว่า เรื่องนี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เพราะถ้า “ลูกท็อป” ตัดสินใจตามข่าวลือจริง จะตอบคำถาม “นายบรรหาร ศิลปอาชา” ผู้เป็นพ่อได้อย่างไร
นอกเหนือจากเกม “ดูด” ที่ “ระบอบหนู-เน” กำลังเร่งเครื่องเต็มมีพิกัดแล้ว ยังมีสัญญาณอันน่าสะพรึงที่จำต้องบันทึกเอาไว้เพราะในขณะที่อยู่ในอำนาจ รัฐบาลนายอนุทินก็มีการจัดวางกำลังคน การโยกย้ายคนในหลากหลายตำแหน่ง ซึ่งต้องใช้คำว่า “ผิดปกติ” โดยผู้ที่เปิดเผยก็คือ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์” ที่เฝ้าจับตาในเรื่องนี้
ชูวิทย์บอกว่า เมื่อวันที่ 26 กันยายน ก่อนการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา กระทรวงยุติธรรมได้ลงนามหนังสือขอยืมตัว ร.ต.อ. เขมชาติ ประกายหงษ์มณี ผู้อำนวยการกองคดีเทคโนโลยีสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ช่วยราชการที่สำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม
“ร.ต.อ.เขมชาติ เป็นคณะทำงานคนสำคัญใน คดีฮั้ว สว. พูดตามประสาชาวบ้าน เป็นข้าราชการน้ำดี ทำคดีอยู่ดีๆ มีผลงาน ดันถูกเด้งเข้ากรุ งานที่ทำอยู่ ให้เลิกทำ งานใหม่ไปนั่งตบยุง” นายชูวิทย์ ระบุ
นายชูวิทย์ ระบุด้วยว่า บรรดาเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ที่มีส่วนทำคดี ฮั้วสว. และ เขากระโดง ถูกระเบิดลงกระเด็นกระดอนไปคนละทิศคนละทาง คนทำคดี คุมสำนวน ถูกล็อกคอบ้าง ถูกย้ายออกจากหน้าที่เดิมบ้าง ทั้งที่การแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเพิ่งเริ่มวันแรกเมื่อ 29 ก.ย. 2568 ดังนั้นก่อนการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ล่วงหน้า 3 วัน ก็เปิดยุทธการเด็ดหัวดีเอสไอทำคดี ฮั้ว สว. คนสำคัญ
“ทุกวันนี้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอถึงกับนอนผวา หมดกำลังใจทำงาน ต้องรอลุ้นว่าจะถูกยืมตัว กระเด้งออกนอกหน่วยเมื่อไหร่ คนทำงานตามกฎหมายกลับได้รับผลตอบแทนด้วย ระเบิดเด้งฟ้าผ่า ไปทีละคนสองคน ถ้าตรงไปตรงมาอย่างที่พูดจริง ก็ช่วย ใจนิ่ง หากไม่ผิดก็อย่าไปร้อนตัว อย่าไปทำอะไรโฉ่งฉ่าง ถ้าจะทำก็ให้เนียนๆ ยังมีเวลาถมถืดอีกตั้ง 4 เดือน ไม่ใช่ 4 วัน หรือว่าใจจริงส่วนลึกกลัวจะอยู่ไม่ถึง ช้างตายทั้งตัว เอาใบบัวไปปิด” นายชูวิทย์ ระบุ
จากนั้น ก็สัญญาณอันน่าสะพรึงสัญญาณที่สองก็ตามมา เมื่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม อนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอแต่งตั้ง “นายชนินทร์ แก่นหิรัญ” เป็นกรรมการในคณะกรรมการการบินพลเรือน แทนกรรมการเดิมที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ เนื่องจากลาออก
ความน่าสนใจของนายชนินทร์อยู่ตรงที่เขาเป็นที่รู้จักในฐานะทนายความผู้รับผิดชอบคดีเขากระโดง รวมถึงเป็นทนายความที่ได้รับมอบอำนาจจาก แรนโช ชาญวีร์ รีสอร์ท แอนด์ คันทรี คลับ อีกด้วย
ขณะเดียวกันเมื่อตรวจสอบข้อมูลย้อนหลัง นายชนินทร์ยังเคยให้สัมภาษณ์โดยยอมรับว่า เป็นทนายความครอบครัว “ชิดชอบ” และทนายความของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล มานานกว่า 20 ปี ได้รับความไว้วางใจให้ทำคดี และให้คำปรึกษามาโดยตลอด
ตรงนี้ หมายความว่า “ระบอบหนู-เน” กำลังวาง “คนของตัวเอง” เข้ามาในแก่นแกนของอำนาจมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังก่อนหน้านี้ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง สว.มาแล้ว ซึ่งจะว่าไป ก็อดทำให้นึกถึง “ระบอบทักษิณ” ที่ส่งคนเข้าไปในองค์กรอิสระต่างๆ เช่น กกต.จนเกิดกรณี “3 หนา 5 ห่วง” อันลือลั่น เป็นต้น
สัญญาณถัดมาก็คือการที่ “นายวีริศ อัมระปาล” ผู้ว่าการ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่ง หลังจากลงนามในคำสั่งให้มีการเพิกถอนหรือฟ้องขับไล่ผู้ยึดครองที่ดินเขากระโดง 2 แปลง เพียงแค่สัปดาห์เดียว
ความน่าสนใจของการลาออกครั้งนี้อยู่ตรงประเด็นที่ว่า ที่ดินทั้งสองแปลงที่ รฟท.จะดำเนินการฟ้องขับไล่ เบื้องต้นเป็นที่ดินอยู่ในการครอบครองของนางกรุณา ชิดชอบ (ภรรยานายเนวิน ชิดชอบ ประธานบริหารสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด) 1 แปลง และบริษัท ศิลาชัย บุรีรัมย์ (1991) จำกัด 1 แปลง อีกทั้งการลาออกในครั้งนี้เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมืองในรัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งมาจากพรรคภูมิใจไทย
"วัส ติงสมิตร" นักวิชาการอิสระ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ออกมาโพสต์ข้อความเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า “คาดการณ์ว่าการลาออกครั้งนี้น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่นายวีริศได้ลงนามอนุมัติให้ฟ้องเพิกถอนหรือขับไล่ผู้ครอบครอง ที่ดินเขากระโดง 2 แปลง (เลขที่ 3466 และ 8564) ที่จังหวัดบุรีรัมย์ ในวันเดียวกับที่ยื่นใบลาออก ที่ดิน 2 แปลงนี้เป็นไปตามมติของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และมีชื่อของบุคคลในตระกูลใหญ่ในพื้นที่ถือครองอยู่ การลาออกหลังจากเซ็นฟ้องนี้ถือเป็นความฉลาดและปลอดภัยในทางกฎหมายสำหรับผู้ว่าการรถไฟฯ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกดำเนินคดีอาญาฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในการเรียกที่ดินของรัฐคืนตามคำวินิจฉัยขององค์กรอิสระและองค์กรตุลาการ”
ดังนั้น จึงต้องติดตามการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลนายอนุทิน ภายใต้ “ระบอบหนู-เน” อย่างใกล้ชิด ด้วยเชื่อเหลือเกินว่า หลังจากนี้จะมีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับการทำงานการเมืองของพรรคที่กำลังเร่งเครื่องดูดเต็มพิกัดเพื่อมุ่งหวังจะใช้เป็นฐานในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในปีหน้า 2569.