ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - คงเป็นเพราะทนแรงกดดันไม่ไหว ในที่สุด นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่ง หลังจากลงนามในคำสั่งให้มีการเพิกถอนหรือฟ้องขับไล่ผู้ยึดครองที่ดินเขากระโดง 2 แปลง เพียงแค่สัปดาห์เดียว
ที่ดินสองแปลงดังกล่าวนั้นคือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 3466 และโฉนดเลขที่ 8564 บริเวณแยกเขากระโดง ตำบนอิสาณ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นที่ดินที่อยู่ในการครอบครองของนางกรุณา ชิดชอบ ภรรยานายเนวิน ชิดชอบ ประธานบริหารสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จำนวนหนึ่งแปลง (โฉนดเลขที่ 8564 เนื้อที่ 37 ไร่ 1 งาน 65 ตารางวา) และอีกหนึ่งแปลงครอบครองโดยบริษัท ศิลาชัย บุรีรัมย์ (1991) จำกัด (โฉนดเลขที่ 3466 เนื้อที่ 7 ไร่ 1 งาน 55.8 ตารางวา)
บริษัท ศิลาชัย บุรีรัมย์ (1991) จำกัด ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับโรงโม่หิน ซึ่งเป็นธุรกิจหลักดั้งเดิมของตระกูลชิดชอบ ดำเนินงานมาตั้งแต่ยุคของนายชัย ชิดชอบ บิดาของนายเนวิน โดยมีนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ น้องชายของนายเนวิน เป็นผู้ถือครองที่ดินที่บริษัทนี้ตั้งอยู่ สำหรับที่ดินที่บริษัท ศิลาชัย บุรีรัมย์ (1991) ถือครองที่เขากระโดง มีทั้งหมด 5 แปลง
เรียกได้ว่า “นายวีริศ อัมระปาล” ผู้ว่าฯ รฟท. กล้าสวมหัวใจสิงห์ยิงหมัดตรงเข้าใส่ตระกูลชิดชอบ ผู้ทรงอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล อย่างไม่หวั่นเกรง หลังจากรับตำแหน่งผู้ว่าการ รฟท. เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2567 เพียงปีเดียวเท่านั้น โดยหนังสือลาออกของเขา จะมีการเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟท. ในช่วงสิ้นเดือนตุลาคม 2568 คาดว่าจะมีผลทันที
คำสั่งเพิกถอน พ่นพิษรุนแรง
สำหรับการออกคำสั่งที่พ่นพิษร้ายแรงจนเจ้าตัวเองทนไม่ไหวนั้น คือ คำสั่งที่นายวีริศ ลงนามในหนังสือเลขที่ รฟ.อบ. 1000/1792/2568 ลงวันที่ 29 กันยายน 2568 สำนักงานอาณาบาล เรื่อง ขออนุมัติให้ฟ้องคดี ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติว่า การออกโฉนดในที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย บริเวณแยกเขากระโดง ซึ่งเป็นที่สงวนห้ามไม่ให้ออกโฉนด เป็นการออกโฉนดโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จึงให้ฟ้องเพิกถอนหรือขับไล่ผู้ยึดถือครอบครองที่ดินเลขที่ 3466 และเลขที่ 8564 บริเวณแยกเขากระโดง ตำบนอิสาณ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ตามหนังสือที่ ปช 0040 (บร)/1542 ลงวันที่ 12 กันยายน 2568
ก่อนหน้าที่ นายวีริศ จะเซ็นหนังสือฟ้องขับไล่ข้างต้น มีมูฟเม้นท์ที่เป็นไฮไลท์ คือ
หนึ่ง ทางสำนักงานรัฐมนตรี กลุ่มงานเรื่องราวร้องทุกข์ กระทรวงคมนาคม ได้มีหนังสือที่ คค 0100/สรค 1611 ลงวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 และ ที่ คค 0100/สรค 1853 ลงวันที่ 15 สิงหาคม 2568 มีข้อสั่งการให้การรถไฟแห่งประเทศไทย ดำเนินการตามระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการกับที่ดินเขากระโดง
และ สอง การรถไฟฯ ได้มีหนังสือที่ รฟ 1/605/2568 ลงวันที่ 21 มีนาคม 2568 เพื่อขอให้อัยการสูงสุด ดำเนินคดีแทนรฟท. ในการยื่นฟ้องคดีต่อศาลเพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ออกทับซ้อนที่ดินของการรถไฟฯ ขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากผู้ถือเอกสารสิทธิ์ และผู้ยึดถือครอบครองในบริเวณทางแยกเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ ทั้งหมด 995 ราย ซึ่งคำขอดังกล่าวสำนักงานอัยการสูงสุด ได้ส่งเรื่องกลับคืนมายัง รฟท. เนื่องจากรายละเอียดยังไม่ครบถ้วน และแต่ละแปลงคดีพิพาทยังไม่ถึงที่สุด
สรุปคือ อัยการสูงสุด ยังไม่สั่งฟ้องคดีให้ตามที่ รฟท. ร้องขอ
เมื่อการมัดรวมคดีทั้งหมดก้อนใหญ่ทั้ง 995 ราย ที่ขอให้อัยการสูงสุด ดำเนินการฟ้องร้องแทน รฟท. มีอันสะดุด เดินต่อไม่ได้ ทาง รฟท. โดยนายวีริศ จึงออกคำสั่ง รฟท. เดินหน้าดำเนินคดีเอง เพื่อเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ออกโดยมิชอบด้วยกฎหมายในที่ดินสองแปลงดังกล่าว ก่อนที่จะขยายผลไปยังแปลงอื่น ๆ
เปิดคดีตอกย้ำเขากระโดงคือที่ดินรฟท.
ส่วนน้ำหนักในการเพิกถอนโฉนดที่ดินเขากระโดงครั้งนี้ มีคดีตัวอย่างที่ตอกย้ำว่า ที่ดินการรถไฟคือสมบัติของรัฐ ไม่ว่าผู้ใดจะครอบครองมิได้อีกคดีหนึ่ง โดยมีการเปิดเผยคำพิพากษาของศาลจังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ในคดีแพ่งระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (โจทก์) กับ นางประภาวัลย์ เรืองวงษ์งาม (จำเลย) เพื่อขอให้ศาลสั่งเพิกถอนที่ดินโฉนดเลขที่ 120612 และที่ดินตามหนังสือการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 424 ในตำบลเสม็ด อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ เนื่องจากที่ดินทั้ง 2 แปลง อยู่ในเขตที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย และขอให้ค่าเสียหายแก่โจทก์
ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินบริเวณดังกล่าว เมื่อที่ดินพิพาททั้ง 2 แปลง ตามแผนที่พิพาท มีตำแหน่งที่ตั้งอยู่ระหว่างกิโลเมตรที่ 6 ถึง 7 ตามสำเนาแผนที่แสดงตำแหน่งที่ตั้งพื้นที่พิพาท โดยที่ดินตามโฉนดที่เลขที่ 120612 ตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลางทางรถไฟสายแยกไปเขากระโดงไม่เกิน 90 เมตร และที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส.3 เลขที่ 424 ตามสำเนาแผนผัง แสดงระยะห่างจากศูนย์กลางทางแยกเขากระโดง ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงจึงตั้งอยู่ในที่ดินช่วง 4 กิโลเมตรหลังตามแผนที่แสดงเขตที่ดินของกรมรถไฟ
แม้จำเลยมีชื่อเป็นเจ้าของโฉนดและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาททั้ง 2 แปลงตามที่กล่าวอ้าง ก็ไม่อาจใช้ยันโจทก์ได้ตาม พ.ร.บ.จัดวางการรถไฟแลทางหลวง พ.ศ. 2464 มาตรา 6(1) และ (2) พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงมีน้ำหนักให้รับฟังมากกว่าพยานหลักฐานของจำเลย
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาททั้ง 2 แปลง จึงพิพากษาให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 120612 ต.เสม็ด อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ และหนังสือการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 424 ต.เสม็ด อ.เมืองบุรีรัมย์ ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จล.1 พร้อมให้จำเลย รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ขนย้ายทรัพย์สินกับบริวารออกจากที่ดินพิพาท และส่งมอบที่ดินพิพาทให้กับ รฟท. และให้ชำระค่าเสียหายให้ รฟท. เดือนละ 3,268 บาท นับถัดจากวันที่มีคำพิพากษา จนกว่าจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินพิพาท
นี่เป็นอีกคดีที่พิสูจน์ให้เห็นว่า ที่ดินเขากระโดงเป็นที่ดินของการรถไฟฯ สมบัติของแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นการฟ้องขับไล่รายแปลง หรือมัดรวมฟ้องทั้ง 995 คดี ก็หนีความจริงนี้ไปไม่พ้น
เพิกถอนโฉนดเขากระโดง วนในอ่าง
ต้องไม่ลืมเป็นอันขาดว่า ที่ดินเขากระโดงซึ่งตระกูลชิดชอบครอบครอง พร้อมกับชาวบ้านอื่น ประมาณ 850 แปลง จำนวน 5,083 ไร่ โดยเป็นของเครือญาติตระกูลชิดชอบ 20 แปลง เนื้อที่รวมประมาณ 288 ไร่ นั้น เป็นปัญหาคาราคาซังมาตั้งแต่ ปี 2513 หรือ 54 ปีมาแล้ว จนกระทั่งมีการนำคดีขึ้นสู่ศาลยุติธรรม และต่อสู้กันถึงชั้นศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา พร้อมกับมีคำพิพากษาที่เป็นที่สุดถึง 3 ฉบับ ประกอบด้วย
1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 842 - 876/2560
2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8027/2561
และ 3.คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 คดีหมายเลขแดงที่ 1112/2563
ในคำตัดสินของศาลได้วินิจฉัยไว้อย่างชัดแจ้งว่า ที่ดินตามแผนที่แสดงเขตที่ดินของกรมรถไฟแผ่นดินสายนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ตอนแยกที่ย่อยศิลา ตำบลเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ กิโลเมตรที่ 375 + 650 นั้นเป็นส่วนหนึ่งของพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟต่อจากนครราชสีมา ถึงอุบลราชธานี ลงวันที่ 8 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2462
โดยเฉพาะคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8027/2561 มีการระบุข้อเท็จจริงที่เป็นที่ยุติว่า “เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2462 มีประกาศ พ.ร.ฎ.กำหนดเขตร์สร้างทางหลวงต่อจากนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ให้กรมรถไฟหลวงเริ่มลงมือตรวจและวางแนวรถไฟอันแน่นอนช่วงตั้งแต่นครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ให้แล้วเสร็จใน 2 ปี นับจากประกาศ
“... ที่ดินตามแผนที่ที่แสดงเขตที่ดินของกรมรถไฟแผ่นดิน สายนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ตอนแยกไปยังที่ย่อยศิลา ต.เขากระโดง จ.บุรีรัมย์ กิโลเมตรที่ 375-650 เป็นส่วนหนึ่งของ พ.ร.ฎ.กำหนดเขตร์สร้างทางหลวงต่อจากนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2462”
เมื่อศาลสูงสุดชี้ขาดข้อพิพาทชัดเจนแล้วว่าเป็นที่ดินของการรถไฟฯ อย่างแน่นอน ทุกอย่างย่อมต้องเป็นที่ยุติและชัดเจน ไม่ควรมีกระบวนการใดมาขัดขวางได้อีก แต่เมื่อเขากระโดงกลายเป็นที่ดินทำเลทองที่ตระกูลชิดชอบเข้าครอบครอง จึงมีการลุยไฟ ไม่สนใจคำพิพากษาของศาลแม้แต่น้อย
และอันที่จริงแล้ว คำพิพากษาศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขแดง ที่ 582/2566 เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2566 ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาในคดีระหว่าง การรถไฟแห่งประเทศไทย (ผู้ฟ้องคดี) กับ กรมที่ดิน และอธิบดีกรมที่ดิน (ผู้ถูกฟ้องคดี) ตัดสินไว้ชัดเจนแล้วว่า “การรถไฟแห่งประเทศไทย ไม่จำเป็นต้องไปฟ้องเพิกถอนรายแปลง แต่อธิบดีกรมที่ดิน มีอำนาจเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ออกโดยมิชอบได้เอง ตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน”
ศาลยังสั่งให้อธิบดีกรมที่ดิน แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตาม มาตรา 61 วรรคสอง และดำเนินการร่วมกับการรถไฟฯ เพื่อสำรวจแนวเขตที่ดินบริเวณเขากระโดง ให้เสร็จสิ้นภายใน 15 วัน นับจากวันที่คำพิพากษาถึงที่สุด และเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2567 ได้มีการสำรวจเส้นเขตที่ดินเสร็จสมบูรณ์ตามคำพิพากษา แต่ในทางปฏิบัติ อธิบดีกรมที่ดิน กลับมีหนังสือฉบับที่ มท 0516.2(2)/22162 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2567 แจ้ง “ไม่เพิกถอนเอกสารสิทธิ์” และ ยุติการสอบสวน โดยอ้างว่าการรถไฟฯ ไม่สามารถแสดงหลักฐานยืนยันแนวเขตที่ชัดเจนได้ เป็นการยื้อยุดวนไปวนมา
คำอ้างของกรมที่ดินดังกล่าว ขัดต่อคำพิพากษาศาลทุกระดับชั้น ทั้งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 และศาลฎีกา ซึ่งต่างวินิจฉัยตรงกันว่า การไม่มีแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกา ไม่ถือเป็นสาระสำคัญ ที่ทำให้สิทธิ์ของการรถไฟฯสิ้นสุด เพราะมีพยานหลักฐานทางราชการที่สอดคล้องกันครบถ้วน ตั้งแต่เอกสารเวนคืน , แผนที่ราชการ, บัญชีจ่ายค่าทำขวัญ 18 ราย , ภาพถ่ายทางอากาศ , และแผนที่ทหารซึ่งเชื่อมโยงกันอย่างมีเหตุผลและผ่านการรับรองมากว่า 90 ปี
ในสมัยที่นายภูมิธรรม เวชยชัย ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็ทำขึงขังสั่งการให้อธิบดีกรมที่ดิน ออกคำสั่งเพิกถอนโฉนดที่ดินเขากระโดงทั้งหมด แต่เอาเข้าจริงนายภูมิธรรม กลับปล่อยเกียร์ว่าง ไม่ได้ทำอะไรสักอย่างกระทั่งรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นสภาพไป
คดีเขากระโดงที่เปรียบเสมือนการพายเรือในอ่าง หรือการลงเรือน้อยลอยวน อย่างที่นายจุลพงศ์ อยู่เกษ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายถึงกรณีคดีที่ดินเขากระโดง ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 โดยสรุปว่า เรื่องที่ดินเขากระโดงที่จริงควรจบไปนานแล้ว คำพิพากษาทุกศาล ทั้งศาลยุติธรรม และศาลปกครอง ยืนยันว่าที่ดินเขากระโดงเป็นของ รฟท.
แต่ทุกรัฐบาลที่ผ่านมา เหมือนจงใจเตะถ่วงและปล่อยให้เรื่องนี้คาราคาซังอยู่ที่เดิมมานับสิบ ๆ ปี เดี๋ยวการรถไฟฯ ก็ไปร้องกรมที่ดิน เดี๋ยวกรมที่ดิน ก็ตั้งคณะกรรมการ แล้วสรุปว่าไม่เพิกถอน ให้การรถไฟฯ ไปฟ้องศาลเพิกถอนโฉนดเอาเอง การรถไฟฯ ก็ไม่ยอมฟ้องเพิกถอน แต่เดินอ้อมไปฟ้องศาลปกครอง ให้กรมที่ดินเพิกถอนโฉนด
จนถึงตอนนี้ กรมที่ดิน ยังไม่ยอมใช้อำนาจทางปกครองเพิกถอนโฉนดคืนให้กับการรถไฟฯ แล้วรอศาลปกครองว่าจะสั่งให้กรมที่ดินต้องเพิกถอนทั้ง 995 แปลง หรือบางแปลงทันที หรือจะให้ทำอย่างไร ซึ่งถ้าศาลปกครอง สั่งให้กรมที่ดินตั้งกรรมการเพื่อเพิกถอนโฉนด มันก็จะวนไปเหมือนเดิมอีก
“.... เรื่องที่ดินเขากระโดงจะเป็นข้อพิสูจน์อย่างดีเลยว่ารัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน จะบริหารบ้านเมืองภายใต้หลักนิติธรรม หรือใช้ระบบพวกพ้องกันแน่” นายจุลพงศ์ กล่าว
“ภูมิใจไทย การละคร” มวยล้มต้มคนดู?
เป็นที่รู้กันดีว่า มีสองประเด็นที่สังคมจับจ้องรัฐบาลนายอนุทิน คือ คดีฮั้วสว. และคดีเขากระโดง ดังนั้น นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ ขณะที่เป็นว่าที่รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จึงออกมาการันตีกับสังคมตั้งแต่ยังไม่รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ โดยเน้นย้ำว่าเรื่องคดีเขากระโดงไม่ใช่ “มวยล้มต้มคนดู” จะทำทุกอย่างให้เป็นไปตามกฎหมาย
โดยเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2568 ว่า นายพิพัฒน์ ให้สัมภาษณ์ว่าเมื่อเข้ารับตำแหน่งจะเร่งหารือกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อแก้ไขปัญหาที่ดินเขากระโดงให้เกิดความกระจ่างแจ้งแก่ประชาชนทั้งประเทศ ต้องเร่งพิสูจน์ให้สังคมหายคาใจ หากสามารถฟ้องรายแปลงได้จะดำเนินการทันทีเพื่อให้ที่ดินของชาติกลับคืนมา
จากนั้น เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2568 นายพิพัฒน์ เข้าปฏิบัติหน้าที่วันแรก ให้สัมภาษณ์ว่า เป็นหน้าที่ของ รฟท.ที่จะฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้ครอบครองโฉนดที่ดินเขากระโดงในแต่ละราย ฟ้องเป็นรายแปลง ไม่ได้ฟ้องรวมทั้งหมด และกระทรวงคมนาคม โดย รฟท. จะดำเนินคดีกับผู้ครอบครองทั้ง 995 แปลง
“ไม่ใช่ว่าผมกับท่านนายกฯมาจากพรรคภูมิใจไทย และท่านนายกฯดูแลกระทรวงมหาดไทยและกรมที่ดิน ขณะที่ตัวผมเองดูแลกระทรวงคมนาคมและรฟท. เรื่องนี้จะไม่มีการเอื้อประโยชน์กัน ทุกสิ่งต้องทำตามกฎหมาย” นายพิพัฒน์ กล่าว
จากนั้น เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 นายพิพัฒน์ ยืนยันอีกครั้งหลังรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาว่า รฟท.เดินหน้าฟ้องผู้บุกรุกที่มีเอกสารสิทธิที่ดินเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 5,083 ไร่ จำนวน 995 แปลง โดยจะดำเนินการฟ้องทีละรายจนครบตามกำหนด
คำมั่นสัญญาของนายพิพัฒน์ ซึ่งผ่านการหารือกับนายอนุทิน ที่ว่าจะดำเนินคดีกับผู้บุกรุกที่ดินเขากระโดงอย่างตรงไปตรงมาตามกฎหมาย ไม่มีเอื้อประโยชน์ เพื่อลบล้างข้อกังขาของสังคม เป็นลีลาของภูมิใจไทยการละคร เพราะไม่รู้คำมั่นอีท่าไหนจึงทำให้ผู้ว่าการ รฟท. ถึงกับต้องยื่นหนังสือลาออกแบบด่วนจี๋ไปรษณีย์จ๋า คล้อยหลังจากลงนามคำสั่งฟ้องเพิกถอนโฉนด 2 แปลง ของผู้ทรงอิทธิพลแห่งบุรีรัมย์ เพียงสัปดาห์เดียว
ตัดไฟลาม 12 แปลงงาม “เครือญาติ บ้านใหญ่บุรีรัมย์”
การไล่ฟ้องเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินเขากระโดงทับซ้อนที่ดินการรถไฟฯ นำร่องสองแปลงแรก ก่อนขยายผลไปจนครบ 995 แปลง ซึ่งจะไม่รู้จะเสร็จสิ้นในชาตินี้หรือชาติหน้า แต่เท่ากับว่าเปลวไฟได้ถูกจุดขึ้นแล้วโดยผู้ว่าฯ รฟท. ที่ชื่อ “วีริศ อัมระปาล” ซึ่งหากเขายังคงนั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ต่อไปย่อมทำให้ที่ดินเขากระโดงที่อยู่ในความครอบครองของเครือญาติ บ้านใหญ่บุรีรัมย์ ที่มีอยู่ในมือเน้น ๆ 12 แปลง มีอันต้องหนาว ๆ ร้อน ๆ จึงจำต้องตัดไฟแต่ต้นลม แล้วนายวีริส ก็พ้นจากตำแหน่ง เรียบร้อย “โรงเรียนครูใหญ่เน”
ที่ดิน 12 แปลง ซึ่งเป็นข้อมูลสุดร้อนแรงเมื่อครั้งที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชาติ ได้อภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2565 เปิดให้เห็นข้อมูลการถือครองโฉนดที่ดิน ของเครือญาติ บ้านใหญ่บุรีรัมย์ ซึ่งพาดพิง นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในสมัยนั้น โดยโฉนดที่ดินที่อยู่ในเขตที่ดินของการรถไฟฯ เขากระโดง รวม 12 แปลง เนื้อที่รวม 179 ไร่ 1 งาน 43.3 ตารางวา ประกอบด้วย
1.โฉนดเลขที่ 3466 เนื้อที่ 7 ไร่ 1 งาน 55.8 ตารางวา ถือครองโดย บริษัท ศิลาชัย บุรีรัมย์ (1991) จำกัด และที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่ตั้งของบ้านพักของนายศักดิ์สยาม
2.โฉนดเลขที่ 8564 เนื้อที่ 37 ไร่ 1 งาน 65 ตารางวา ถือครองโดย นางกรุณา ชิดชอบ
3.โฉนดเลขที่ 3742 เนื้อที่ 9 ไร่ 2 งาน 53 ตารางวา ถือครองโดย บริษัท ศิลาชัย บุรีรัมย์ (1991) จำกัด
4.โฉนดเลขที่ 3743 เนื้อที่ 13 ไร่ 3 งาน 69 ตารางวา ถือครองโดย บริษัท ศิลาชัย บุรีรัมย์ (1991) จำกัด
5.โฉนดเลขที่ 3476 เนื้อที่ 14 ไร่ 3 งาน 80 ตารางวา ถือครองโดย บริษัท ศิลาชัย บุรีรัมย์ (1991) จำกัด
6.โฉนดเลขที่ 2847 เนื้อที่ 10 ไร่ 18 ตารางวา ถือครองโดย บริษัท ศิลาชัย บุรีรัมย์ (1991) จำกัด
7.โฉนดเลขที่ 3477 เนื้อที่ 37 ไร่ 1 งาน 22.4 ตารางวา ถือครองโดย นายไชยชนก ชิดชอบ และให้บริษัท เค. 2009 ลิซ จำกัด เช่า 30 ปี (1 เม.ย.2554-31 มี.ค.2584) (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งสนามฟุตบอลช้างอารีนา)
8.โฉนดเลขที่ 24091 เนื้อที่ 28 ไร่ 1 งาน 8.2 ตารางวา ถือครองโดย นายไชยชนก ชิดชอบ และให้ บริษัท เค. 2009 ลิซ จำกัด เช่า 30 ปี (1 เม.ย. 2554 - 31 มี.ค. 2584) ให้ บริษัท บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด สปอร์ตโฮเทล จำกัด เช่าช่วงต่อ (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งโรงแรม)
9.โฉนดเลขที่ 9160 เนื้อที่ 6 ไร่ 1 งาน 96 ตารางวา ถือครองโดย นายไชยชนก ชิดชอบ และให้ บริษัท เค 2009 ลิซ จำกัด เช่า 30 ปี (1 เม.ย.2554-31 มี.ค. 2584) (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งตลาดนัด)
10.โฉนดเลขที่ 3285 เนื้อที่ 3 ไร่ 3 งาน 30.6 ตารางวา ถือครองโดย บริษัท เค. มอเตอร์สปอร์ต จำกัด
11.โฉนดเลขที่ 30222 เนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน 24.3 ตารางวา ถือครองโดย บริษัท เค. มอเตอร์สปอร์ต จำกัด
12.โฉนดเลขที่ 115572 เนื้อที่ 8 ไร่ 3 งาน 21 ตารางวา ถือครองโดย นายไชยชนก ชิดชอบ และให้ บริษัท เค 2009 ลิซ จำกัด เช่า 30 ปี (1 เม.ย. 2554-31 มี.ค. 2584) (ทางเข้าสนามแข่งรถ)
ฉะนี้แล้ว สังคมจะยังเชื่ออยู่หรือไม่ว่ากรณีที่ดินเขากระโดง รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล จะยินดีให้มีการดำเนินการตามกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา ไม่เอื้อประโยชน์แก่ผู้ใด แต่ถึงกระนั้น คดีเขากระโดง ผู้ทรงอิทธิพลแห่งบุรีรัมย์อาจยื้อเวลาได้ด้วยอำนาจและการเมือง แต่ไม่อาจลบล้างความจริงที่ศาลตัดสินไว้อย่างชัดเจนแล้ว นั่นคือ ที่ดินเขากระโดงเป็นที่ดินของการรถไฟฯ สมบัติของแผ่นดิน