xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“ศุภจี” ตีธงถอย “คุมราคายา” “สุขกาย สบายกระเป๋า” แค่ “เหล้าเก่าในขวดใหม่”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -  จุดประเด็นร้อนขึ้นมาทันทีหลังจากนางศุภจี สุธรรมพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะลุยไฟลดค่ายาและเวชภัณฑ์โรงพยาบาลเอกชน เพราะเรื่องนี้ถือเป็น “งานยาก” ที่พูดกันมานมนานแต่ทำไม่ได้จริงสักที โดยมีภาพสะท้อนจากงบค่ารักษาพยาบาล 4 กองทุนสุขภาพ คือ บัตรทอง ประกันสังคม สวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และประกันสุขภาพเอกชน ที่มีแต่เพิ่มขึ้นทุกปี กดเท่าไหร่ก็ไม่ยอมลดลง 

จะว่าไปแล้วเรื่องนี้มีการผลักดันมาตั้งแต่ ปี 2562 โดยภาคประชาชนภายใต้เครือข่ายสภาองค์กรผู้บริโภค หนึ่งในผู้มีบทบาทสำคัญในการทำให้ค่ายา ค่าเวชภัณฑ์ และค่าบริการทางการแพทย์ ได้รับการประกาศให้เป็น “สินค้าควบคุม  โดยคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ กระทรวงพาณิชย์ แต่ทว่ามาตรการที่ออกมายังเป็นเพียงแค่  “การแสดงราคา” หรือ “แจ้งราคา”  ในรูปแบบ QR Code ให้ผู้ป่วยทราบก่อนตัดสินใจเท่านั้น ยังไม่ใช่การ “ควบคุมราคาอย่างแท้จริง” เพราะปัญหาการเรียกเก็บค่ารักษา ค่ายา ค่าเวชภัณฑ์ ในอัตราที่  “สูงเกินจริง”  ยังคงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ทั้งนี้ ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 นั้น นางศุภจี กล่าวถึงประเด็นเรื่องสุขภาพว่าประชาชนมีค่าใช้จ่ายที่มีมูลค่าสูงขึ้นและอาจมีทางเลือกน้อยลง จึงจะมุ่งบรรเทาความเดือดร้อน ลดภาระค่าใช้จ่าย โดยกระทรวงพาณิชย์ ได้ทำข้อตกลงกับโรงพยาบาลเอกชน ในการเปิดเผยราคายาอย่างชัดเจน คนไข้จะทราบราคายาก่อนล่วงหน้า และมีสิทธิเลือกที่จะไปซื้อจากร้านขายยาภายนอกแทนได้ ซึ่งมีการประเมินร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขแล้ว มาตรการนี้คาดว่าจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึง 32,400 ล้านบาท ถือเป็น Quick Big Win

อีกเรื่องคือ  “การควบคุมต้นทุนราคายาและเวชภัณฑ์จำเป็น” เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและป้องกันการตั้งราคาที่เกินความเหมาะสม โดยคาดว่าจะช่วยลดภาระค่าครองชีพประชาชนในหมวดเวชภัณฑ์ได้ถึง 1,100 ล้านบาทต่อปี

 “คุมราคายา” โจทย์ยาก “ศุภจี” ตีธงถอยดีกว่า 

คล้อยหลังจากที่นางศุภจี รัฐมนตรีคนนอกหน้าใหม่ แถลงในสภาว่าจะไป “ควบคุมราคายา” ก็ก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมตามมา โดย นพ.ไพบูลย์ เอกแสงศรี  นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน แสดงความกังวลว่าหากมีการเข้ามาควบคุมราคายาของโรงพยาบาลเอกชน จะส่งผลกระทบต้นทุนของโรงพยาบาล

ขณะเดียวกัน  “ชมรมเภสัชชนบท”  ซึ่งรู้ลึกรู้จริงในเรื่องราคายา โพสต์เฟซบุ๊กว่า การควบคุมราคายา รพ.เอกชน ไม่ใช่เรื่องใหม่ เคยทำมาก่อนแต่ไม่เคยสำเร็จ ดังนั้นอาจจะเป็นความท้าทายที่จะทำให้สำเร็จในรัฐบาลชุดนี้ เพื่อความหวังสมัยหน้าของรัฐบาล

ชมรมเภสัชชนบท เปิดความจริงที่ชี้ให้เห็นเบื้องลึกเบื้องหลังถึงสาเหตุที่ทำให้การควบคุมราคายาทำไม่สำเร็จสักทีว่าตลอด 10–20 ปีที่ผ่านมา “ยา” เป็นสินค้าควบคุม ตาม พ.ร.บ.ควบคุมราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 การรับเป็นเจ้าภาพดำเนินการระหว่างกรมการค้าภายใน กับองค์การอาหารและยา (อย.) ยังมีช่องว่าง เช่น กรมการค้าภายใน ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านยา ขณะที่ ภารกิจ อย.ดูเรื่องคุณภาพ มาตรฐาน ความปลอดภัยไม่ใช่เรื่องราคา

ตลาดยามีโครงสร้างที่ซับซ้อนกว่าสินค้าทั่วไป เทียบกับรายการสินค้าใน พ.ร.บ. ควบคุมสินค้าและบริการ โดยราคาหน้าโรงงาน ไม่ได้เท่ากับราคาที่รพ.ขาย เพราะมี margin อีกหลายชั้น (ผู้นำเข้า, distributor, โรงพยาบาล) แล้วจะคุมตรงไหน ถ้าคุมจากที่ต้นทางรพ.ก็ยังบวก margin ได้ ถ้าคุมปลายทางเอกชนจะอ้างต้นทุนแฝงทั้ง stock, cold chain, R&D ไปจนถึงค่าบริการแพทย์

 แล้วจะเกิดอะไรขึ้น? โรงพยาบาลเอกชนระดับ top 5 คือบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีกำไรจากค่ายาเวชภัณฑ์เป็นอีกรายได้หลัก เมื่อรัฐบังคับคุมราคาจริง จะกระทบโดยตรง และเกิดการ lobby อย่างหนักมาก ซึ่งภาพลักษณะนี้เป็นปกติ ฝ่ายการเมืองรู้ถึง Scenario นี้อยู่แล้ 

 ถ้าจะคุมจริงต้องทำยังไง? ชมรมเภสัชชนบท ถอดบทเรียนและจัดทำข้อเสนอต่อรัฐบาล 4 ข้อ คือ 1.เสนอให้รัฐบาลโดยกรมการค้าภายในและ อย.ใช้กลไกราคากลาง (Reference Pricing) โดย อย. จัดทำ list ยาที่จำเป็น Essential Medicines ส่วนกรมการค้าภายใน กำหนดราคากลางและเพดานกำไร เช่น กำหนดรายการยา generic จำนวน 100 รายการที่แพทย์สั่งใช้กับคนไข้จำนวนมาก ต้องขายไม่เกิน xxxxx % ของราคากลาง reference price

2.รัฐบาลโดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข บังคับใช้ข้อกำหนดอย่างจริงจัง ที่รพ.เอกชนต้องออกทางเลือกให้ใบสั่งยาและให้ผู้ป่วยเลือกซื้อจากร้านยาได้ ส่วนนี้จะทำให้เกิดการแข่งขันในตลาด โดยไม่ต้องไปคุมราคา

3.ราคาที่ฉลาก ประชาชนตรวจสอบได้ว่า ยาตัวนี้มีเพดานราคาเท่าไหร่ ถ้า รพ.ขายแพงกว่ามาก ต้องมีเหตุผลชี้แจง Price Transparency ต้องดำเนินการโดยมีฐานข้อมูลกลาง รวบรวมข้อมูลและให้ผู้ป่วยเข้าถึงเพื่อตรวจสอบได้ด้วยตัวเอง

4.บังคับใช้เป็น Phase โดย ระยะที่ 1 ยาที่ใช้บ่อยที่สุด 100 รายการ ระยะที่ 2 เวชภัณฑ์พื้นฐาน เช่น น้ำเกลือ เข็ม ผ้าก๊อซ ฯลฯ ระยะที่ 3 ยากลุ่มโรคเรื้อรังที่มียา generic แล้ว โดยเฉพาะเบาหวาน ความดัน ไขมัน ข้อนี้จะสะท้อนความรอบคอบและไม่เป็นภาระกระทบกับ supply chain 

ชมรมเภสัชชนบท ตบท้ายว่า แนวคิดรัฐบาลโดย “รมต.ศุภจี” น่าสนใจ ถูกทิศทางและสอดคล้องกับแนวโน้มสากล แต่ต้องทำแบบรอบคอบและค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้กระทบ supply chain หรือทำให้โรงพยาบาลเอกชน ปรับราคาอย่างอื่นแทน ไม่เช่นนั้นผู้ป่วยอาจไม่เห็นประโยชน์จริงเท่าที่คาดหวัง ความท้าทายคือ 4 เดือนกับการควบคุมราคายา อย่างน้อยระยะที่ 1 เกิดขึ้นก็น่าจะพอทำให้เป็นแรงดีด มีแรงสนับสนุนในการทำงานครั้งหน้าต่อไป

เมื่อ “ชมรมเภสัชชนบท” ให้ความจริงที่เป็นโจทย์ยากเกินกว่าที่คาดคิด และสภาองค์กรของผู้บริโภค ก็ขอเข้าร่วมในการปรึกษาหารือในเรื่องนี้ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และโรงพยาบาลเอกชนด้วย เพื่อให้ความเห็นรอบด้าน แรงต้านและการล็อบบี้อย่างหนักจากฝั่งโรงพยาบาลเอกชนก็ตามมา ซึ่งฝ่ายการเมืองรู้ถึง Scenario นี้ตามคาดหมายอยู่แล้ว

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกประหลาดใจแต่อย่างใด เมื่อรัฐมนตรีพาณิชย์ จะออกมาให้สัมภาษณ์สื่ออีกครั้ง เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2568 ว่าเรื่องยาไม่ได้จะไปควบคุม เพียงแต่ต้องการให้ประชาชนทราบราคาก่อนจ่าย และมีทางเลือกนำใบสั่งยาไปซื้อตามร้านขายยาข้างนอกได้ เพื่อลดการแออัดในการรอคิวในโรงพยาบาลของรัฐ ในส่วนที่กระทรวงพาณิชย์ จะไปควบคุมจริง ๆ คือ สินค้าด้านเวชภัณฑ์ เช่น ผ้าทำแผล สำลี น้ำเกลือล้างแผล หรือแอลกอฮอล์ล้างแผล ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานของการรักษาอาการเจ็บป่วย

คำให้สัมภาษณ์ข้างต้น ทำให้แรงกดดันที่หนักหน่วงจากถ้อยแถลงต่อรัฐสภาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ว่าจะเข้าไป “ควบคุมต้นทุนราคายาและเวชภัณฑ์จำเป็น” พลันเบาหวิวขึ้นมาทันที ฟากฝั่งโรงพยาบาลเอกชน ก็โล่งอกโล่งใจ พร้อมเฮโลเข้าร่วมโครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” อย่างพรักพร้อม

เป็นอีกครั้งที่เห็นได้ชัดว่า กระทรวงพาณิชย์ ยังไม่กล้าแตะเรื่อง “การควบคุมราคายา” เช่นเดิม ทั้งที่ในการแถลงต่อสภาเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 สื่อทุกสำนักต่างรายงานตรงกันชัดเจนว่ารัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ แถลงจะควบคุมทั้งราคายาและเวชภัณฑ์จำเป็น

ทั้งหลายทั้งปวงจึงนำไปสู่ข้อสังเกตที่ว่า เรื่องที่กระทรวงพาณิชย์ ประกาศทำ MOU กับโรงพยาบาลเอกชน กว่า 300 แห่ง เพื่อเปิดเผยราคายา-ให้โอกาสเลือกซื้อนอกโรงพยาบาลเอกชนได้ ภายใต้โครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” เนื้อแท้แล้วไม่มีอะไรใหม่ เพราะกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ มีข้อกำหนดให้โรงพยาบาลเอกชนต้องปฏิบัติเช่นนั้นอยู่แล้วตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมาจนบัดนี้

 การที่กระทรวงพาณิชย์ ตีโป่งโครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” ที่จะเริ่มวันที่ 28 ตุลาคม 2568 นี้ โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะเป็นประธานแถลงคิกออฟโครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” – เหล้าเก่าในขวดใหม่” ที่ทำเนียบรัฐบาล คงเป็นเรื่องที่รัฐบาลคาดหวังว่าจะได้คะแนนนิยม จากการฉวยใช้ความป๊อบปูล่าร์ของนางศุภจี สุธรรมพันธ์ “รัฐมนตรีคนนอก” ที่มีกระแสตอบรับจากสังคมสูง มาทำ marketing politics

ส่วนโรงพยาบาลเอกชน ก็ได้หน้าไปตาม ๆ กัน เพราะรู้อยู่แล้วว่าคนไข้ที่เลือกใช้บริการโรงพยาบาลเอกชน เกือบทั้งร้อยล้วน “จ่ายครบ จบที่เดียว” น้อยนักที่จะเอาใบสั่งยาจากโรงพยาบาลเอกชนไปซื้อหายาจากร้านขายยาภายนอก  

อย่างไรก็ตาม สำหรับ 9 เครือโรงพยาบาล จากทั้งหมด 11 เครือ และ 1 โรงพยาบาล ที่เข้าร่วมโครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” กว่า 300 แห่ง ประกอบด้วย โรงพยาบาลในเครือ BDMS (ดุสิตเวชการ อาทิ รพ.กรุงเทพ รพ.พญาไท เป็นต้น) เครือโรงพยาบาลธนบุรี เครือ BCH (กลุ่มโรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ และโรงพยาบาลการุญเวช) เครือบางปะกอก-ปิยะเวช เครือรามคำแหง-วิภาราม เครือ PCL (พริ๊นซิเพิล) เครือจุฬารัตน์ เครือนวมินทร์ และเครือสินแพทย์ และโรงพยาบาลหัวเฉียว เป็นต้น

 รพ.เอกชนต้อง “แจ้งราคายา” เรื่องเก่าเล่าใหม่ 

อย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้นแล้วว่า เรื่องการควบคุมราคายา มีการผลักดันกันมาตั้งแต่ปี 2562 และถึงที่สุดก็ได้มาแต่เพียง “การแสดงราคาและทางเลือก” เท่านั้น

ทั้งนี้ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เข้ามาติดตามดูแลควบคุมราคายาและเวชภัณฑ์ ภายใต้ พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ในช่วงปลายรัฐบาลยุค คสช. ซึ่งมีนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยกระทรวงพาณิชย์ เข้าไปติดตามดูแล และกำหนดให้ยาและเวชภัณฑ์ เป็นสินค้าควบคุมตามประกาศของคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปัจจุบัน

ภายใต้ประกาศดังกล่าว มาตรการที่บังคับใช้สำหรับสินค้าและบริการควบคุม ประกอบด้วย 1.ยารักษาโรค เวชภัณฑ์เกี่ยวกับการรักษาโรค และบริการรักษาพยาบาล บริการทางการแพทย์ และบริการอื่นของสถานพยาบาล ถูกกำหนดให้เป็นสินค้าและบริการควบคุม โดย กกร. ซึ่งมีการต่ออายุการควบคุมอย่างต่อเนื่องทุกปี (ล่าสุดมีการต่ออายุจนถึงปี 2569)

2.การแจ้งราคา โรงพยาบาลเอกชน ผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้จำหน่าย ต้องแจ้งราคาซื้อและราคาจำหน่ายยาและเวชภัณฑ์ รวมถึงอัตราค่าบริการทางการแพทย์บางรายการ ให้แก่กรมการค้าภายใน

3.การแสดงราคาและทางเลือก โรงพยาบาลต้องแสดง QR Code หรือช่องทางอื่น เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบราคาซื้อ-ขายยาและเวชภัณฑ์ได้ โดยโรงพยาบาลต้องประเมินค่ารักษาเบื้องต้นให้ผู้ป่วยทราบเมื่อร้องขอ และโรงพยาบาลต้องออกใบสั่งยาที่ชัดเจน เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถนำใบสั่งยาไปซื้อยานอกโรงพยาบาลได้ หากไม่ประสงค์จะซื้อจากโรงพยาบาล

มาตรการดังกล่าวไม่มีการกำหนด “เพดานราคาขาย” (Price Cap) โดยตรง แต่ใช้มาตรการ “ควบคุมการแจ้งราคา” และ “สร้างความโปร่งใส” เพื่อป้องกันการคิดราคาสูงเกินควร และเพิ่มอำนาจให้ผู้บริโภคในการตัดสินใจและร้องเรียนได้ง่ายขึ้น

สำหรับรายการและจำนวนยา เวชภัณฑ์ และค่าบริการทางการแพทย์ที่ต้องแจ้งราคาตามประกาศของ กกร. มีจำนวนหลายหมื่นรายการ โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มหลัก ๆ ดังนี้

1.รายการยา ในระยะเริ่มต้นของการควบคุม (พ.ศ. 2562) ได้กำหนดให้แจ้งราคาของยาตามบัญชีเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตมีสิทธิทุกที่ (UCEP) ประมาณ 3,892 รายการ ยาตามรหัสบัญชีข้อมูลยาและรหัสยามาตรฐานไทย (TMT) ในการดำเนินการจะมีการขยายผลให้ครอบคลุม ซึ่งในภาพรวม บัญชียาทั้งหมดมีประมาณ 32,000 รายการ

2.รายการเวชภัณฑ์ตามบัญชี UCEP ประมาณ 792 รายการ เวชภัณฑ์พื้นฐาน มีการเน้นให้แจ้งราคาของเวชภัณฑ์พื้นฐานที่ใช้บ่อย เช่น น้ำเกลือ เข็มฉีดยา ผ้าก๊อซ

3.ค่าบริการทางการแพทย์ 5,286 รายการ

ทั้งนี้ เพื่อมุ่งเน้นในการสร้างความโปร่งใส ด้วยการให้โรงพยาบาลเอกชนแจ้งข้อมูลราคาทั้งยา เวชภัณฑ์ และค่าบริการทางการแพทย์ กรณีพบความไม่ถูกต้อง สามารถร้องเรียนผ่านสายด่วน 1569 และช่องทางอื่น ๆ ซึ่งนับตั้งแต่เริ่มมาตรการในปี 2562 จนบัดนี้ มีการร้องเรียนเบื้องต้นกว่า 100 ราย ส่วนใหญ่เป็นเรื่องค่ารักษาพยาบาลและค่ายาแพงเกินไป

ขณะเดียวกัน นพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อ ว่าตามพ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 มีข้อกำหนดว่าสถานพยาบาลเอกชนจะต้องแจ้งราคาค่าบริการและค่ายาให้กับผู้รับบริการได้รับทราบในที่สามารถเห็นได้ชัด ถ้าไม่ปฏิบัติถือว่ามีโทษทั้งจำและปรับ และมติคณะกรรมการสถานพยาบาล ให้สามารถไปซื้อยาข้างนอกรพ.ได้ แต่ไม่ได้ไปควบคุมเรื่องราคายา

ตามกฎหมายข้างต้น หากสถานพยาบาลเอกชนแห่งใดไม่ติดป้ายแสดงอัตราค่ารักษาพยาบาล ยา เวชภัณฑ์ ค่าบริการทางการแพทย์ ค่าบริการอื่น ๆ และสิทธิของผู้ป่วย ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และหากเรียกเก็บค่ารักษาเกินอัตราที่แสดง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ศุภจี สุธรรมพันธ์
 ทางด้าน  ภก.สุภัทรา บุญเสริม  เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) กล่าวถึงการกำหนดราคากลางของยาที่จำหน่ายในประเทศไทยว่า จะมีคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ที่ อย. เป็นเลขานุการ ทำหน้าที่กำหนดราคากลางยา เพื่อเป็นเครื่องมือของรัฐในการควบคุมการจัดซื้อยาอย่างเหมาะสมและเป็นธรรมตามสภาพการแข่งขันของตลาดยา แต่ไม่ใช่ยาทุกตัวจะมีการกำหนดราคากลาง ส่วนใหญ่จะเป็นยาที่อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติและยาที่สำคัญ อย.และคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดราคาของภาคเอกชนโดยตรง แต่ก็สามารถนำราคากลางที่กำหนดไปเป็นราคาเปรียบเทียบกับโรงพยาบาลเอกชนได้

 คุมราคายา-เวชภัณฑ์ ค่ารักษาพยาบาล ล้มเหลว 

 น.ส.สารี อ๋องสมหวัง  เลขาธิการสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค ตัวแทนภาคประชาชนซึ่งเคลื่อนไหวผลักดันเรื่องการควบคุมราคายาและค่ารักษาพยาบาลมาอย่างต่อเนื่อง ให้สัมภาษณ์สื่อหลายสำนักว่า ที่ผ่านมามีภาคประชาชนร้องเรียนการเข้ารับบริการจากโรงพยาบาลเอกชนด้วยประเด็นที่เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายในการเข้ารับบริการ อาทิ ค่ายา ค่ายา ค่าห้องพัก ค่าวัสดุทางการแพทย์ ค่าตอบแทนแพทย์ ที่มีราคาแพง

และแม้กระทรวงพาณิชย์ ประกาศให้ค่ารักษาพยาบาลเป็นบริการที่ควบคุม แต่ไม่ได้ผล เพราะไม่มีการกำหนดราคากลางค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งมาตรการกำกับราคายา เวชภัณฑ์ และวัสดุทางการแพทย์ เป็นเพียงต้องแจ้งราคาให้ผู้ใช้บริการทราบก่อนเท่านั้น มาตรการแบบเดิมจึงไม่ประสบความสำเร็จในการคุมราคา ดังนั้น ต้องมีมาตรการที่ชัดเจน เช่น กำหนดราคากลางในการควบคุมค่ารักษาพยาบาล ลดค่าธรรมเนียมแพทย์ กำหนดผลตอบแทนต่อต้นทุนราคายาที่ตรวจสอบได้

ทางด้าน นพ.ขวัญประชา เชียงไชยสกุลไทย  อนุกรรมการด้านบริการสุขภาพ สภาผู้บริโภค เปิดเผยว่า ข้อมูลในช่วงปี 2565-2568 สภาผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลแพงจากโรงพยาบาลเอกชน จำนวน 40 เรื่อง มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 25 ล้านบาท

 สำหรับกรณีตัวอย่างเรื่องร้องเรียนที่แสดงให้เห็นว่าเวชภัณฑ์มีราคาสูงเกินจริง อาทิ น้ำเกลือ 1,000 มิลลิลิตร จากราคาท้องตลาดเพียง 45 บาท ถูกคิดในราคา 919 บาท เพิ่มขึ้นกว่า 1,900%, พลาสเตอร์ปิดแผลขนาด 6 เซนติเมตร ซึ่งราคาทั่วไปแผ่นละ 25 บาท กลับถูกเรียกเก็บถึง 224 บาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 700%, ถุงมือยางทางการแพทย์จากราคาท้องตลาด 2.5 บาทต่อชิ้น เพิ่มเป็น 17 บาท (580%), สำลีก้อนขนาดเล็กจาก 0.10 บาท เพิ่มเป็น 7 บาทต่อก้อน (6,900%) ซึ่งสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างด้านราคาค่ารักษาและเวชภัณฑ์ที่ไม่มีการควบคุม 

สภาผู้บริโภค ได้ยื่นข้อเสนอสำคัญต่อ คณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม, อนุกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภค และ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อหามาตรการควบคุมที่เป็นรูปธรรม และให้เกิดการคุ้มครองสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพ ในราคาที่เป็นธรรมในสองเรื่องหลัก

 หนึ่ง   ขอให้คณะกรรมการว่าด้วยสินค้าและบริการ (กกร.) ออกประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการตามมาตรา 25 (1)(2) และ (5) เพื่อให้ครอบคลุมถึงการกำหนดราคาซื้อหรือราคาจำหน่ายยารักษาโรค เวชภัณฑ์ หรือค่าบริการ ค่ารักษาพยาบาล บริการทางการแพทย์และบริการอื่นของสถานพยาบาล หรือ กำหนดอัตรากำไรสูงสุดต่อหน่วยของยารักษาโรค เวชภัณฑ์ หรือค่าบริการ รักษาพยาบาล บริการทางการแพทย์ และบริการอื่นของสถานพยาบาลแทนการแจ้งราคาซื้อ และ ราคาจำหน่าย เพียงอย่างเดียว

และ  สอง  ขอให้มีผู้แทนจากผู้บริโภคเข้าเป็นคณะกรรมการว่าด้วยสินค้าและบริการ (กกร.)

นอกจากนี้ อนุกรรมการด้านบริการสุขภาพ กำลังศึกษาเพื่อพิจารณาเสนอแก้ไขกฎหมาย ร่าง พ.ร.บ. สถานพยาบาล ภาคประชาชน ให้มีการกำหนดเพดานค่ารักษา ค่ายาและเวชภัณฑ์ คุมกำไรค่ารักษา ค่ายา และเวชภัณฑ์ต่อหน่วย เพื่อสร้างความเป็นธรรมต่อผู้บริโภค

 การผลักดันให้มีมาตรการควบคุมค่ารักษาพยาบาล ค่ายา ค่าเวชภัณฑ์ ฯลฯ อย่างจริงจัง เห็นผลเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานพยาบาลเอกชน ดูทรงแล้วคงต้องรอกันยาวไป 


กำลังโหลดความคิดเห็น