ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ขณะนี้ วิวาทะเรื่อง MOU 2543 และ MOU 2544 คือหัวข้อใหญ่ที่ก่อให้เกิดการถกเถียงอย่างกว้างขวางในสังคมไทยอีกครั้ง หลังรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ประกาศว่า จะให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจว่า จะเลิกหรือไม่เลิก พร้อมๆ กับการเลือก สส.ระบบเขต สส.ระบบบัญชีรายชื่อและการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
เรียกว่า เกิดการปะทะกันระหว่างฝ่ายที่ด้วยกับการเลิกและฝ่ายที่เห็นว่า MOU ยังคงเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากกว่าโทษในทุกระนาบ จนประชาชนเกิดความสับสนอลหม่านกับข้อมูลที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย
กระนั้นก็ดี สิ่งที่จำต้องไปแสวงหาความจริงก็คือแล้ว “ฝ่ายกัมพูชา” พึงพอใจกับ MOU ทั้ง 2 ฉบับหรือไม่ เห็นควรให้ยกเลิกเหมือนกันหรือไม่เห็นด้วยกับการที่ฝ่ายไทยจะประกาศยกเลิก ด้วยมีการกล่าวอ้างจาก “ทรงฤทธิ์ โพนเงิน” ผู้เชี่ยวชาญกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง ว่า “ฮุน เซนต้องการยกเลิก MOU43 -44 เหตุเพิ่งรู้ว่ามีเทคโนโลยี LiDAR (ไลดาร์) ที่ตรวจวัดเส้นเขตแดนได้แบบละเอียดในเวลาอันรวดเร็ว ขณะที่ส่วนตัวเขาเองมองว่าไม่อยากให้ยกเลิก MOU43 เพราะมีประโยชน์กับไทยมากกว่า หากยกเลิกMOU43 อาจเปิดช่องให้ชาติมหาอำนาจเข้าแทรกแซง
ไล่เรียงปฏิกิริยาจากฝ่ายกัมพูชาย้อนหลังในช่วงใกล้ๆ ก็คือคำให้สัมภาษณ์ของ “เส็ง ดีนา” โฆษกกระทรวงยุติธรรมกัมพูชา เมื่อวันที่ 30 กันยายนว่า “บันทึกความเข้าใจระหว่างกัมพูชาและไทยว่าด้วยการสำรวจและกำหนดเขตแดนทางบก หรือ MOU 2543 ไม่ใช่สิ่งที่สามารถเพิกถอนหรือยกเลิกได้โดยเพียงฝ่ายเดียว”
แปลกัมพูชาเป็นไทยก็คือ ฝ่ายกัมพูชาพึงพอใจในการดำรงอยู่ของ MOU 2543 มากกว่ายกเลิก ซึ่งนั่นชี้ให้เห็นว่า บันทึกฉบับนี้มีประโยชน์กับฝ่ายกัมพูชาอย่างไม่อาจปฏิเสธความจริงได้
“เส็ง ดีนา” บอกว่า แม้จะใช้ชื่อว่า MOU แต่เอกสารดังกล่าวถือเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศที่มีน้ำหนักทางกฎหมายเช่นเดียวกับสนธิสัญญา โดยได้จดทะเบียนกับสหประชาชาติและประกาศใช้อย่างเป็นทางการตามมาตรา 102 ของกฎบัตรสหประชาชาติ ซึ่งภายใต้กฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศว่าด้วยสนธิสัญญาและหลักนิติศาสตร์ของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรใด ๆ ระหว่างรัฐที่กำหนดพันธกรณีทางกฎหมายที่มีผลผูกพันภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ย่อมมีคุณค่าเช่นเดียวกับสนธิสัญญา ไม่ว่าจะใช้ชื่อว่าอะไรก็ตาม
เส็งยังตั้งข้อสังเกตว่า บันทึกความเข้าใจ 2543 ไม่มีข้อกำหนดเรื่องการหมดอายุหรือบทบัญญัติสำหรับการยุติโดยฝ่ายเดียว
“ดังนั้น บันทึกความเข้าใจ 2543 จึงยังคงมีผลบังคับใช้จนกว่าวัตถุประสงค์ของบันทึกความเข้าใจ คือการสำรวจและกำหนดเขตแดนทางบกระหว่างกัมพูชาและไทยจะสำเร็จลุล่วง ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะถอนตัวไม่ได้หากไม่ได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง” โฆษกกระทรวงยุติธรรมกัมพูชากล่าว
การที่ “เส็ง ดีนา” ออกมาป่าวประกาศเช่นนั้น ย่อมได้รับ “ไฟเขียว” จากทางรัฐบาล “ฮุน มาเนต” รวมถึงผู้มีอำนาจตัวจริงอย่าง “ฮุน เซน” อย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้น คงไม่กล้าออกมาแถลงการณ์ในนามของกระทรวงยุติธรรมกัมพูชา ซึ่งหมายความว่า กัมพูชาไม่ต้องการยกเลิก MOU
ขณะที่เมื่อสืบค้นข้อมูลย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ในช่วงปี 2553 คือในช่วงที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีท่าทีที่จะเดินหน้ายกเลิก MOU 2543 สำนักข่าวเกียวโดและเอพีรายงานว่า ฮุน เซน ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ส่งจดหมายถึงประธานการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญและคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาติเพื่อประฯมการกระทำของนายอภิสิทธิ์
โดยเนื้อหาในจดหมายที่ส่งถึงองค์การสหประชาชาติหรือ UN ฮุน เซน ได้กล่าวย้ำถึงข้อพิพาทชายแดนที่ได้รับการพิจารณาชี้ขาดให้ได้รับการดูแลจากกัมพูชาโดยศาลโลกเมื่อปี 2505 และโดยองค์กรอื่นๆ ในปี 2477 ซึ่งในการละเมิดคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือ ICJ ปัจจุบันประเทศไทยยังคงกำลังทหารในพื้นที่ วัดแก้วสิขเรศวร(Keo Sikha Kiri Svara) ซึ่งอยู่ห่างจากปราสาทพระวิหารเพียง 300 เมตร ภายในอาณาเขตของกัมพูชา อีกทั้ง การขู่ว่าจะใช้กำลังทหารยังถือเป็น"การละเมิดอย่างเปิดเผยต่อกฎบัตรUN" ข้อ 2.3 และ 2.4 อีกด้วย
และความหวังเพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรงต่อกัมพูชา ฮุน เซนยัง ยังได้ถามต่อ นาย อาลี อับดุสซาลาม เตรกี (Dr. Ali Abdussalam Treki) ประธานสมัชชาฯ และ นายวิทาลี ชูร์คิน(Vitaly Churkin) ประธานคณะมนตรีความมั่นคง-แห่งสหประชาชาติ เพื่อขอทำจดหมายเวียนแก่สมาชิกUN ทุกคน เกี่ยวกับข้อมูลในข้อพิพาทพื้นที่ชายแดน
ขณะที่ “ฮุน มาเนต” ผู้ลูกเองก็อ้างเรื่อง MOU 2543 อยู่บ่อยครั้งเช่นกัน ยกตัวอย่างเมื่อครั้งมีการปะทะกัน ฮุน มาเนต ได้จดหมายถึงกล่าวส่งถึง เอกอัครราชทูตอาซิม อิฟติคาร์ อาหมัด ผู้แทนถาวรปากีสถานประจำสหประชาชาติ และประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ประจำเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2568 ประณามปฏิบัติการของไทยว่าละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ และกฎบัตรสหประชาชาติและอาเซียน
พร้อมทั้งยังได้ชี้ให้เห็นถึงความตึงเครียดที่เกิดขึ้นยาวนานตามแนวชายแดน และอ้างถึงอนุสัญญาฝรั่งเศส-สยาม พ.ศ. 2447 สนธิสัญญา พ.ศ. 2450 และบันทึกความเข้าใจ พ.ศ. 2543 (MOU-2000) ว่าเป็นพื้นฐานทางกฎหมายในการอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนของกัมพูชา รวมทั้งกล่าวโทษประเทศไทยว่าจัดทำแผนที่ใหม่ฝ่ายเดียว ซึ่งขัดต่อกรอบกฎหมายเหล่านั้น
ส่วนฝั่งไทย กลุ่มที่ถือว่า เป็น “MOU อเวนเจอร์” ก็คงเริ่มมาตั้งแต่คนที่ไปลงนามใน MOU 2543 คือ “ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในสมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย ตามต่อด้วยคนที่มาขยายวงไปเป็น MOU 25444 นั่นก็คือ “ทักษิณ ชินวัตร” รวมไปถึง “นายนพดล ปัทมะ” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และไม่อาจไม่นับรวม “พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา” และ “พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ที่อยู่ในอำนาจยาวนานแต่กลับไม่มีการขยับเกี่ยวกับเรื่องนี้ พร้อมส่งต่อดีเอ็นเอมายัง “บิ๊กเล็ก-พลเอก ณัฐพงษ์ นาคพาณิชย์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ตามต่อด้วยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยในยุคถัดมาที่มี “เศรษฐา ทวีสิน” และ “แพทองธาร ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรี
และที่ต้องการขีดเส้นใต้เป็นพิเศษก็คือ “กระทรวงการต่างประเทศ” ที่มีความชัดเจนว่า MOU 2543 มีประโยชน์มากกว่าโทษ ดังที่ “นายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที” อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ตั้งโต๊ะแถลงข่าวยืนยันข้อดีเป็นฉากๆ
นอกจากนี้ ยังมีอีกหลากหลายนักวิชาการที่ยืนอยู่ในปีกนี้ ที่เด่นๆ ก็อย่างเช่น อัครพงษ์ ค่ำคูณและทรงฤทธิ์ โพนเงิน เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ประเด็นที่ต้องหาบทสรุปก็คือ ตกลงแล้วไทยสามารถเลิก MOU ได้เพียงฝ่ายเดียวหรือไม่ และ MOU มีประโยชน์อย่างที่ “นักวิชาการ นักวิชาการและนักวิชาเกิน” กล่าวอ้างจริงหรือไม่ อย่างไร
“ปานเทพ พัวพงศ์พันธุ์” ในฐานะประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ยืนยันว่า การยกเลิก MOU ทั้ง 2 ฉบับก็เพื่อปกป้องอธิปไตยและบีบให้กัมพูชาเข้าสู่การเจรจาในสนธิสัญญาหรือกรอบการเจรจาใหม่ที่เป็นธรรมและทันสมัย
ที่สำคัญคือ เขตแดนไทยตกลงเสร็จสิ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 บริเวณช่องบกถึงช่องสะงำ จังหวัดอุบลราชธานี บริเวณขอบหน้าผา ซึ่งไม่มีเขตแดน และใช้หน้าผาเป็นสันปันน้ำ มองด้วยตาเปล่าก็ทราบ และจบไปนานแล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แต่จะมาเปลี่ยนด้วย MOU 2543 รวมถึงแผนที่แนบทั้งที่ไม่ควรมีปัญหาใดๆ แล้ว เพราะก่อนปี พ.ศ. 2542 ย้อนกลับไปถึงรัชกาลที่ 5 สยามและกัมพูชาก็สามารถอยู่ได้โดยไม่มี MOU แม้แต่ฉบับเดียว แต่การมี MOU ตลอด 25 ปีที่ผ่านมา พบว่ากัมพูชารุกล้ำแผ่นดินไทย และใช้แผนที่ 1:200,000 ซึ่งไทยเสียเปรียบ มีการรุกล้ำทุกพื้นที่ตามเขตชายแดนบริเวณสันปันน้ำ
นายปานเทพ ยังได้กล่าวถึงข้อห้ามเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ ตามที่ระบุใน MOU 2543 ว่า ฝ่ายไทยอาจจะใช้วิธีการประท้วง เพราะมีการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม ซึ่งเป็นการกระทำที่ชัดเจน เจ้าหน้าที่รัฐไม่ให้เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม แต่ฝ่ายกัมพูชากลับใช้พลเรือนนำหน้า และอำพรางด้วยทหารอยู่ด้านหลัง รุกแผ่นดินไทย และอ้างว่าไม่ผิดตาม MOU 2543 ข้อ 5 ซึ่งฝ่ายไทยนิ่งเฉย และบางส่วนได้ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ จึงไม่มีคนไทยเข้าไปในพื้นที่ แต่ฝ่ายกัมพูชากลับตัดไม้ทำลายป่าและมีสิ่งปลูกสร้างตามแนวชายแดนไทย และตลอด 25 ปี กัมพูชารุกรานชายแดนไทยตลอด เมื่อไทยใช้กำลังปะทะ กัมพูชาก็จะประท้วงว่าผิดเงื่อนไขข้อ 8 ของ MOU 2543 ที่จะต้องเจรจา ปรึกษาหารือด้วยสันติวิธี ซึ่งเป็นกับดัก 2 ชั้นของกัมพูชา ทั้งรุกทางกายภาพ ที่หากไทยไม่ยินยอมก็จะพาไปเวทีโลก เพื่อยึดแผนที่ 1:200,000 ที่กัมพูชาได้เปรียบจากคดีเขาพระวิหาร และมีการระบุไว้ในเอกสารประกอบ MOU 2543
หากไทยหลงประเด็นและปล่อยให้กัมพูชารุกล้ำแผ่นดินไทย เพื่อรอการตกลงเขตแดนและกัมพูชาถอยออกไป ก็จะต้องระมัดระวังรัฐธรรมนูญ มาตรา 2 ของกัมพูชาที่ระบุว่า อธิปไตยของกัมพูชาเป็นไปตามแผนที่ 1:100,000 ซึ่งเป็นการทำรายละเอียดจากแผนที่ 1:200,000 เป็นการเสียเวลาเปล่าของการรุกล้ำจากกัมพูชา และหากใช้เวลานับจากนี้สิ่งปลูกสร้างของกัมพูชาจะมากขึ้น รวมถึงอาวุธด้วย ความเสียหายก็จะมากตามมา ดังนั้น โอกาสนี้จึงเหมาะที่จะยกเลิก MOU 2543 ที่สุดแล้ว และถอยออกมาเพื่อมาสร้างสิ่งใหม่ให้เข้าใจต่อกัน โดยใช้กลไกคณะกรรมาธิการ JBC ไทย-กัมพูชา
นอกจากนี้ นายปานเทพยังกล่าวถึงกรณีหากไม่มี MOU ฉบับดังกล่าว จะเป็นส่วนทำให้กัมพูชาดึงเรื่องไปศาลโลกหรือไม่ด้วยว่า จะดึงเรื่องไปได้อย่างไร ในเมื่อประเทศไทยถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกศาลโลกตั้งแต่ปี 2503 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2504 ซึ่งคดีปราสาทเขาพระวิหารเป็นคดีสุดท้าย เพราะฉะนั้นไม่มีใครลากไทยไปศาลโลก เพราะไม่มี MOU และทั่วโลกก็ไม่มีใครพาไปศาลโลก หากประเทศนั้นไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก ข้อคิดเห็นดังกล่าวที่บอกว่าหากไม่มี MOU แล้วจะพาไทยไปศาลโลก เพราะต้องการให้ไทยกลัวและข่มขู่คนไทยให้ดำรง MOU อยู่ เพราะคนเหล่านั้นต้องการผลประโยชน์ที่อยู่ข้างใน ทั้งการตัดไม้ทำลายป่า ค้าของเถื่อน สร้างบ่อน กาสิโน เพราะทุกคนอยากมีพื้นที่ No man's land ที่มนุษย์ไทยห้ามเข้า แต่คนกัมพูชาเข้ามารุกล้ำแผ่นดินไทยได้
“เชื่อว่าต่อให้ไม่มี MOU ก็ยังมีกรอบการเจรจา เพราะก่อนมี MOU เรามี JBC ทำไมเวลานั้นถึงเจรจาได้ ซึ่งที่กัมพูชาวางทุ่นระเบิด ยิงใส่คนไทย ก็ถือว่าผิด MOU เช่นเดียวกันกับไทยหากสร้างรั้วชายแดนก็ผิด MOU ซึ่งหากเราต้องการสร้างรั้วโดยไม่ต้องละเมิด MOU เราต้องยกเลิก ไทยจึงจะสร้างรั้วชายแดนได้ และไม่ผิดเงื่อนไขในเวทีนานาชาติ ดังนั้น ควรมาเจรจาด้วยกลไก JBC, RBC และ GBC ต่างหาก”ปานเทพกล่าว
ขณะที่ “นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล” รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็มีความเห็นที่น่าสนใจเช่นกันว่า กัมพูชาแสดงท่าทีมาตลอด 25 ปีไม่ต้องการยกเลิก MOU43 เพียงแต่เก็บเอาไว้ เพื่อเป็นยันต์เบรก มิให้ฝ่ายไทยสามารถสร้างกำแพงเขตแดนได้ เบื้องต้นก็ย่อมแสดงเจตนาชัดเจนว่า การยกเลิกจะเป็นประโยชน์แก่ไทยมากกว่ากัมพูชา
ส่วนการที่โฆษกยุติธรรมเขมรแถลงข่าวว่า ไทยยกเลิก MOU43 ฝ่ายเดียวไม่ได้ถ้าเขมรไม่สมยอม เพราะ MOU43 มีสถานะตามกติกาสหประชาชาติเป็นสนธิสัญญานั้น เป็นเรื่องโคมลอย เพราะที่ผ่านมาฝ่ายกัมพูชามีการละเมิดหลายครั้ง ซึ่งตามอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ. 1969 (Vienna Convention on the Law of Treaties, 1969) ข้อ 60 ระบุว่าการยกเลิกเนื่องจากถูกละเมิด และข้อย่อย 1 กรณีที่เป็นสนธิสัญญาระหว่างสองประเทศ ประเทศหนึ่งอาจยกเลิกหรืออาจระงับการมีผลใช้เป็นการชั่วคราวซึ่งสนธิสัญญาบางส่วนหรือทั้งหมดได้ ถ้าหากอีกประเทศหนึ่งทำการละเมิดข้อตกลงอย่างมีนัยสำคัญ
และสุดท้ายก็คือความเห็นจาก นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่สรุปเอาไว้ว่า “เราจะฟังเสียงของสังคมด้วยความรอบคอบ ต้องชัดเจนว่าหากไม่มีเอ็มโอยูแล้ว เรามีอะไรเป็นทางเลือก เพื่อไม่ให้ผลประโยชน์ของประเทศได้รับผลกระทบหรือเสียหาย ต้องไม่นำมาเป็นประเด็นทางการเมือง”
ดังนั้น คงต้องติดตามกันต่อไปว่า สุดท้ายแล้ว รัฐบาลนายอนุทิน จะจัดการเรื่อง MOU 2543 และ 2544 อย่างไร แต่ถ้าพิจารณาจากรูปการณ์ ณ ขณะนี้ คงออกไปรูป “ยื้อเวลา” ออกไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้