xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

วิวัฒนาการระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญของสวีเดน (56): การสิ้นสุดสมบูรณาญาสิทธิราชย์สวีเดน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พิธีราชาภิเษกของสมเด็จพระราชินีอุลริจกะ (Ulrika Eleonora) ในปี ค.ศ. 1719
คนแคระบนบ่ายักษ์
ไชยันต์ ไชยพร
อะไรคือ สาเหตุของที่ทำให้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สวีเดนมีอายุขัยเพียง 38 ปี ?
ได้กล่าวถึงสาเหตุบางประการไปในตอนที่แล้ว ในตอนนี้จะขอกล่าวต่อไป

ในสภาวะที่พระมหากษัตริย์พระองค์ก่อนไม่มีองค์รัชทายาท ความพยายามในการสนับสนุนให้  เจ้าหญิงอุลริจกะ (Ulrika Eleonora)  พระขนิษฐภคินีของพระมหากษัตริย์พระองค์ก่อนขึ้นครองบัลลังก์สวีเดนได้กลายเป็นเงื่อนไขที่นำมาซึ่งอวสานของสมบูรณาญาสิทธิราชย์สวีเดน
ถ้าย้อนพิจารณาการเมืองการปกครองสวีเดนตั้งแต่มีหลักฐานบันทึกทางประวัติศาสตร์จนถึงสิ้นรัชสมัยของ  พระเจ้าชาร์ลสที่สิบสอง (Charles XII) กล่าวได้ว่า ยามใดที่เกิดปัญหาการสืบราชสันตติวงศ์ในสายตรง ก็จะเกิดปัญหาความขัดแย้งชิงบัลลังก์ในพระบรมวงศานุวงศ์ที่อยู่ในลำดับถัดไป และการแก่งแย่งดังกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นถึงความปรารถนาที่จะครองบัลลังก์ของสมาชิกในพระบรมวงศานุวงศ์

การแก่งแย่งชิงบัลลังก์นี้ก็ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์อ่อนแอลงเอง รวมทั้งเป็นเงื่อนไขที่เปิดโอกาสให้ฝ่ายสภาอภิชนมีอำนาจต่อรองตามจารีตประเพณีการปกครองดังที่ได้กล่าวไปแล้ว แต่ขณะเดียวกัน ฝ่ายสภาอภิชนเองก็ไม่สามารถที่จะล้มสถาบันกษัตริย์ให้สิ้นสุดลงไปเลย นั่นคือ สถาบันพระมหากษัตริย์ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นในการเมืองการปกครองสวีเดน ไม่ว่าจะเพื่อความชอบธรรมในการปกครองในสายตาของประชาชนส่วนใหญ่และรวมทั้งการดำรงอยู่ของระบบฐานันดรอภิชนในสังคมสวีเดนเองด้วย
ต่อปัญหาการสืบราชสันตติวงศ์ต่อจากพระเจ้าชาร์ลสที่สิบสอง หลังจากที่ฝ่ายของเจ้าหญิงอุลริจกะ สามารถจัดการกับ  เจ้าชายชาร์ลส เฟดริก (Charles Fredric)  พระราชนัดดาของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบสอง ผู้เป็นคู่แข่ง โดยสามารถทำให้เจ้าชายชาร์ลส เฟดริกไม่กล่าวอ้างสิทธิ์ในบัลลังก์ได้แล้ว แม้ว่าเจ้าหญิงอุลริจกะได้ทรงเรียกประชุมสภาบริหารเพื่อให้สภาบริหารยอมรับพระองค์ในฐานะสมเด็จพระราชินี แต่ทั้งสภาบริหาร กองทัพและสภาฐานันดรไม่ยอมรับการขึ้นครองบัลลังก์ของพระองค์อย่างไม่มีเงื่อนไข เพราะอย่างที่กล่าวไปแล้วว่า ผู้มีสิทธิ์ในการสืบราชสันตติวงศ์ตามกฎมณเฑียรบาลมีสองพระองค์ นั่นคือเจ้าหญิงอุลริจกะ พระขนิษฐภคินีของ พระเจ้าชาร์ลสที่สิบสอบและเจ้าชายชาร์ลส เฟดริก พระราชนัดดา และทั้งสองต่างเป็นตัวเลือกของสภาฐานันดรได้ทั้งคู่ตามกฎมณเฑียรบาล แต่ในกรณีของเจ้าหญิงอุลริจกะ พระองค์มิได้มีสถานะที่เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลเสียทีเดียว แม้ว่ากฎมณเฑียรบาลจะให้ผู้หญิงสามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้ แต่จะต้องไม่ได้ผ่านพิธีเษกสมรสมาก่อน

 คำถามคือ ระหว่างเจ้าหญิงอุลริจกะ ผู้ซึ่งมีพระชันษา 30 พรรษา เป็นสตรีและมีพระสวามีแล้ว ซึ่งเป็นจุดอ่อนของพระองค์ กับเจ้าชายชาร์ลส เฟดริก ผู้ซึ่งมีพระชันษา 18 พรรษา เป็นบุรุษและไม่มีปัญหาในด้านคุณสมบัติใดๆ ผู้ใดคือผู้ที่เหมาะสมที่จะขึ้นครองบัลลังก์สวีเดน ? 

ภายใต้ปัญหาในการสืบราชสันตติวงศ์ซึ่งเป็นจุดอ่อนของสถาบันพระมหากษัตริย์ขณะนั้น โดยเฉพาะความปรารถนาที่จะเป็นผู้สืบราชสันตติวงศ์ของพระนางอุลริจกะ พระองค์จะต้องเผชิญกับเงื่อนไขและการต่อรองจากสถาบันทางการเมืองสามสถาบัน ได้แก่ สภาบริหาร กองทัพ และสภาฐานันดร

 สภาบริหาร  : ในรัชสมัยของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบสอง พวกอภิชนบางกลุ่มพยายามที่จะร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดย โดยต้องการจะให้อำนาจอยู่ในมือของพวกอภิชนมากขึ้น นั่นคือ ลดความเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์และเพิ่มความเป็นอภิชนาธิปไตยมากขึ้น โดยฟื้นฟูให้อำนาจอยู่ในมือของคณะบุคคลโดยเฉพาะอย่างยิ่งในมือของสภาบริหาร ด้วยสภาบริหารต้องการที่จะยืนยันอำนาจที่สภาบริหารเคยมีมาก่อนในช่วงสหภาพคาลมาร์ (the Kalmar Union) และในช่วงระหว่าง ค.ศ. 1611- 1660 ซึ่งในช่วงดังกล่าว สมาชิกสภาบริหารเคยทำหน้าที่ในฐานะผู้มีอำนาจในการพิทักษ์รักษากฎกติกาตามจารีตประเพณีการปกครองของสวีเดน แต่ตั้งแต่เข้าสู่ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในปี ค.ศ. 1680 อำนาจของสภาบริหารถูกควบคุมภายใต้กฎเกณฑ์ข้อจำกัดที่ถูกกำหนดขึ้น และภายใต้ช่วงเวลาที่พระเจ้าชาร์ลสที่สิบสอง พระองค์ไม่ได้ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจภายในสวีเดนเป็นเวลายาวนาน เนื่องด้วยทรงออกทัพจับศึกในต่างแดน สภาบริหารจึงทำหน้าที่ดูแลกิจการภายในสวีเดน

แต่จากข้อจำกัดดังกล่าว ทำให้สภาบริหารไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินได้ ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อกิจการภายในเป็นอย่างมาก และเมื่อพระเจ้าชาร์ลสที่สิบสองเสด็จสวรรคต และไม่มีองค์รัชทายาท สภาบริหารจึงพร้อมที่จะยืนยันอำนาจของตน โดยสภาบริหารจะตกลงยอมรับเจ้าหญิงอุลริจกะในฐานะราชินีบนเงื่อนไขดังต่อไปนี้คือ พระนางจะต้องยอมรับรัฐธรรมนูญที่จะให้มีการร่างขึ้นใหม่และจะต้องทรงปกครองตามคำแนะนำของสภาบริหาร และต้องยอมรับกฎหมายทุกฉบับที่ผ่านสภาฐานันดร (Riksdag) --- และไม่ทรงมีพระราชอำนาจที่จะคัดค้านได้

 กองทัพ : กองทัพไม่ต้องการอยู่ภายใต้การนำและการตัดสินใจที่จะนำสวีเดนเข้าสู่สงครามภายใต้องค์พระมหากษัตริย์แต่ผู้เดียว กองทัพได้ยื่นเงื่อนไขว่าจะยอมรับพระนางขึ้นเป็นสมเด็จพระราชินีได้ต่อเมื่อจะต้องมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ กองทัพจะไม่ทำสัตย์ปฏิญาณจนกว่ามีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เท่านั้น

 สภาฐานันดร : สภาฐานันดรต้องการที่จะยืนยันอำนาจของตนเองเช่นกัน และในการสืบราชสันตติวงศ์นี้ อำนาจในการตัดสินใจว่าใครจะได้เป็นผู้สืบราชสันตติวงศ์คือ สภาฐานันดรเท่านั้น และแน่นอนว่า สภาฐานันดรต้องการให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เช่นกัน

จะเห็นได้ว่า เงื่อนไขสำคัญที่สถาบันทางการเมืองทั้งสาม อันได้แก่ สภาบริหาร กองทัพและสภาฐานันดรต้องการคือ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั่นเอง แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยผ่านการต่อรองและตกลงให้มีการแก้ไขหรือตรารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้น โดยไม่ได้มีการใช้กำลังรุนแรงในการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่ให้เกิดการ “ฉีกรัฐธรรมนูญ”

อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า ในสถานการณ์ที่ไม่มีองค์รัชทายาทสายตรง ความปรารถนาที่จะขึ้นครองบัลลังก์ย่อมเป็นจุดอ่อนของบุคคลในลำดับถัดไปในสายตาของทั้งสามสถาบันทางการเมืองข้างต้นและโดยเฉพาะสภาฐานันดร
และผู้ที่แสดงความปรารถนาอย่างแรงกล้าในบรรดาผู้มีสิทธิ์ทั้งสองคือ เจ้าหญิงอุลริจกะ ที่นอกจากจะเป็นผู้หญิงแล้ว ยังมีคุณสมบัติไม่ต้องตรงตามกฎมณเฑียรบาลด้วยพระนางมีพระสวามี ในขณะที่เจ้าชายชาร์ลส เฟดริก เป็นผู้ชายและมีพระชนมายุเพียง 18 พรรษา และไม่ได้แสดงออกถึงความปรารถนาที่จะขึ้นครองบัลลังก์ ซึ่งทั้งหมดนี้กลับเป็นจุดแข็งในตัวของพระองค์ นั่นคือ จากความเป็นผู้ชายที่จะสามารถเป็นผู้นำในการทำศึกสงคราม และหากขึ้นครองราชย์ด้วยพระชนมายุเพียง 18 พรรษา พระองค์มีศักยภาพที่จะเป็นพระมหากษัตริย์ที่เข้มแข็งและครองราชย์ต่อไปอีกยาวนาน และไม่มีจุดอ่อนจากความปรารถนา อันจะเป็นเงื่อนไขให้สภาฐานันดรได้ต่อรองเรียกร้องต่างๆเท่ากับในกรณีของเจ้าหญิงอุลริจกะ
ดังนั้น หากฝ่ายสภาอภิชนต้องการจะต่อรองและหาทางลดทอนพระราชอำนาจและเพิ่มอำนาจของพวกตัวเองผ่านรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตัวเลือกย่อมต้องเป็นเจ้าหญิงอุลริจกะ

และด้วยเหตุนี้ ทางกองทัพที่เคลื่อนกองกำลังเข้าสู่สตอคโฮล์มหลังจากกรำศึกมาเป็นเวลานานภายใต้การนำสวีเดนเข้าสู่สงครามของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบสอง และต้องประสบกับความพ่ายแพ้ได้ยื่นข้อเสนอว่าจะยอมรับให้เจ้าหญิงอุลริจกะ ขึ้นครองบัลลังก์ได้ก็ต่อเมื่อพระองค์ทรงยอมยกเลิกหลักการปกครองในแบบเอกาธิปไตย (autocracy) และได้ขอให้พระองค์ทรงเรียกประชุมสภาฐานันดรเพื่อให้มีการลงมติยอมรับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อแก้ปัญหาของประเทศ ซึ่งจากเงื่อนไขดังกล่าวนี้ ทำให้เจ้าหญิงอุลริจกะ ทรงเรียกประชุมสภาฐานันดรอย่างเร่งรีบและทรงยอมประกาศยกเลิกพระราชสิทธิ์และพระราชอำนาจในการปกครองโดยอิสระ แต่จะต้องทรงปกครองตามคำแนะนำจากสภาบริหาร อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญท้ายที่สุดที่พระองค์จะได้ขึ้นครองราชย์นั้นขึ้นอยู่กับอำนาจการตัดสินของสภาฐานันดร
 จะสังเกตได้ว่า ภายใต้เงื่อนไขที่กล่าวไปข้างต้น ทั้งฝ่ายสภาบริหารก็ดี กองทัพก็ดี และที่สำคัญคือสภาฐานันดรได้ฉวยโอกาสภายใต้สถานการณ์ขณะนั้นต่อรองเพื่อนำไปสู่การตกลงที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยผ่านการตรารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ กระบวนการต่อรองและหาข้อตกลงร่วมกันที่จะสถาปนารัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ อาจจะเข้าข่ายในสิ่งที่อาจเรียกได้ว่าเป็นการตกลงทำ “สัญญา” (contract) ที่มีคู่สัญญาคือเจ้าหญิงอุลริจกะ ในฐานะองค์อธิปัตย์และพวกอภิชนที่ประกอบไปด้วยสภาบริหาร กองทัพและสภาฐานันดร โดยที่ประชุมสภาฐานันดรจะลงคะแนนเสียงให้เจ้าหญิงขึ้นครองราชย์สืบราชบัลลังก์ โดยมีข้อแม้ว่า พระองค์จะต้องยอมสละพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิ์ที่สถาปนาขึ้นโดยพระเจ้าชาร์ลสที่สิบ พระราชบิดาของพระองค์ ซึ่งเจ้าหญิงอุลริจกะทรงยอมแลกสมบูรณาญาสิทธิ์แห่งสถาบันพระมหากษัตริย์สวีเดนกับการได้ขึ้นครองบัลลังก์ 

และในการประชุมสภาฐานันดร ณ กรุงสต็อกโฮล์ม หนึ่งเดือนหลังการสวรรคตของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบสอง ในวันที่ 26 ธันวาคม 1718 เจ้าหญิงอุลริจกะทรงมีพระราชดำรัสยินยอมที่จะสละพระราชอำนาจตามเงื่อนไขของสภาฐานันดร
โดยจะได้กล่าวถึงใจความสำคัญในพระราชดำรัสนี้ในตอนต่อไป


กำลังโหลดความคิดเห็น