xs
xsm
sm
md
lg

ทรัมป์ตั้งเงื่อนไขมาประชุมอาเซียน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร


โดนัลด์ ทรัมป์
ณ วันที่เขียนบทความนี้ ยังเหลืออีกสองวันก่อนที่คณะกรรมการรางวัลโนเบลจะประกาศชื่อผู้สมควรได้รับรางวัลโนเบลสันติภาพ นั่นคือ ในเย็นวันศุกร์ (เวลาที่ไทย) ที่ 10 ตุลาคม คาดว่าจะประกาศออกมา

โลกได้ยินคำอวดอ้างละล่ำละลักจากปากของทรัมป์ว่า เขาประสบผลสำเร็จในการหย่าศึกทำให้เกิดการหยุดยิงหรือข้อพิพาทที่ยกระดับเป็นสงครามห้ำหั่นกัน ซึ่งเป็นข้อพิพาทร้ายแรงถึงกับฆ่าแกงกันมาเป็นเวลานานแสนนานเป็นหลายศตวรรษ ที่เขาใช้คำว่า “unendable wars” ซึ่งเขาอ้างว่าเขาทำสำเร็จถึง 7 สงครามที่ได้พิพาทรบรากันมานาน และยังไม่มีผู้นำโลกคนอื่นๆ ที่มีความสามารถจะทำให้สงครามเหล่านี้จบลงด้วยการหยุดยิง และนำสันติภาพมาสู่ประเทศทั้งสอง (รวมทั้งในภูมิภาคด้วย) เป็นการรักษาชีวิตทั้งทหารหาญ และผู้คนพลเรือนจำนวนมหาศาล

เรียกว่า เขาคือ “Peace Maker-in-Chief” หรือ “จอมสร้างสันติภาพ” นั่นเอง

เขาอ้างสรุปเอาดื้อๆ ว่า เป็นฝีมือของเขาที่สร้างสันติภาพท่ามกลางสงครามถึง 7 แห่งในเวลา 7 เดือน ซึ่งสันติภาพที่สร้างได้ระหว่างการรบไทย-เขมร ที่ชายแดนตั้งแต่ปลายพฤษภาคมปีนี้ จะอยู่ในข้ออ้างของทรัมป์เป็นคู่สงครามคู่ต้นๆ พร้อมกับจดหมายเปิดผนึกเยินยอว่าเขาสมควรได้รับรางวัลสันติภาพโนเบล จากผู้นำเขมร, เผด็จการทหารพม่า มิน อ่อง หล่าย, จอมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เนทันยาฮู แห่งอิสราเอล รวมทั้งผู้นำปากีสถานและผู้นำจากอาเซอร์ไบจานและอาร์เมเนีย รวมทั้งจาก D.R. Congo เป็นต้น

เขานับรวมการหยุดกองกำลังของอิสราเอลในการถล่มฐานพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน และการถล่มสำนักงานการเมืองของฮามาสที่ใจกลางกรุงโดฮาของประเทศกาตาร์

ทั้งๆ ที่กองกำลังที่ถล่มทั้งที่อิหร่านและโดฮานั้น ได้รับไฟเขียวจากทรัมป์ รวมทั้งอาวุธที่ถล่มก็มาจากทรัมป์นั่นแหละ

แต่ทรัมป์ที่ไปบิด (Spin) ว่า เขาเป็นผู้สามารถให้หยุดการถล่มอิหร่านได้ในวันที่ 12 ของการโจมตี-กลายเป็นผู้สร้างสันติภาพ ทั้งๆ ที่ตนเองเป็นฝ่ายเริ่มสงครามชัดๆ

ล่าสุด มีรายงานโจ๋งครึ่มในสื่อ Politico (ประจำวันที่ 6 ตุลาคม) ตามมาด้วย South China Morning Post (ประจำวันที่ 7 ตุลาคม) ว่า ทรัมป์ได้ตั้งเงื่อนไขที่จะเดินทางมาร่วมประชุม Asean+Summit ระหว่างวันที่ 26-28 ตุลาคมนี้ที่ KL คือ เจ้าภาพ (นายกฯ Anwar) จะต้องจัดให้มี “Peace Ceremony” หรือ “Peace Deal Photo” ข้างๆ การประชุม Asean ที่จะมีปธน.ทรัมป์ร่วมเป็นประธานการลงนามสันติภาพระหว่างไทยและเขมร…โดยจะต้องไม่มีผู้นำจีนร่วมอยู่ในพิธีลงนามสันติภาพนี้

ทั้งๆ ที่ในการลงนามหยุดยิง (ชั่วคราว) ที่ KL ที่นายกฯ อันวาร์เป็นประธาน เมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีการจัดโต๊ะสำหรับทูตอเมริกันและทูตจีน (ประจำ KL) เป็นสักขีพยานด้วย 
ข่าวใน Politico และ SCMP รวมทั้งในอีกหลายๆ สื่อสำคัญๆ ที่รายงานตามหลัง Politico ได้มีการอ้างถึงที่ปรึกษาและบุคคลใกล้ชิดของทรัมป์ (โดยขอไม่ให้เปิดเผยชื่อแหล่งข่าว) ถึง 3 คนที่ยืนยันการติดต่อระหว่างทรัมป์และนายกฯ อันวาร์ ที่มีการตั้งเงื่อนไขอันนี้จากทรัมป์

ทั้งๆ ที่นายกฯ อันวาร์ได้รีบด่วนออกข่าวตั้งแต่สิงหาคมว่า ได้รับการตอบรับว่าทรัมป์จะมาเข้าร่วมประชุม Asean ที่ KL-ซึ่งจะเป็นหน้าตาและคะแนนเสียงจากการเมืองภายในของนายกฯ อันวาร์เอง โดยในเดือนสิงหาคมนั้น ยังไม่มีการตั้งเงื่อนไขจากทรัมป์แต่อย่างใด

อันวาร์เองก็คงมีความหวังที่อาจได้แชร์รางวัลโนเบลสันติภาพกับทรัมป์ก็เป็นไปได้ แต่สำหรับทรัมป์แล้ว เขาจะเป็นผู้มีอิทธิพลสำคัญสุดในการหยุดสงคราม สำหรับภาพที่จะออกไปจาก KL-ซึ่งอาจบดบังสาระอื่นๆ ของ Asean ไปแทบหมดด้วยซ้ำ

ประกอบกับ NYT ก็ออกข่าวว่าจีนได้ส่งอาวุธให้เขมรล็อตใหญ่ ก่อนที่เกิดการปะทะกับทหารไทย-แม้ทูตจีนประจำไทย จะออกมาปฏิเสธว่า จีนไม่ได้เข้าข้างเขมร เพราะได้ส่งมอบอาวุธก่อนการปะทะเป็นเวลาหลายเดือน (ตั้งแต่ต้นปี) ตามสัญญาที่ได้ทำไว้นานแล้ว ไม่ใช่มาส่งมอบให้เขมรมาปะทะกับไทย

ไทยได้ยอมถูกบิดมือไปลงนามหยุดยิง (ชั่วคราว) ที่ KL โดยมีนายกฯ อันวาร์ในฐานะประธานอาเซียน ในครั้งที่แล้วนี้ ภายใต้การบงการและกดดันจากปธน.ทรัมป์ ที่ยกเอากำแพงภาษีนำเข้าสหรัฐฯ มาเป็นน้ำหนักกดดัน-ทั้งๆ ที่กองทัพไทยกำลังเป็นต่อเริ่มยึดคืนดินแดนของไทยมาจากการรุกคืบเข้าครอบครองอย่างผิดกฎหมายของฝ่ายเขมรมาเป็นเวลานับสิบๆ ปี

ขณะนี้ นายกฯ อันวาร์ยังหลบผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ที่พยายามติดต่อขอทราบความเป็นจริงในเงื่อนไขที่ทรัมป์เรียกร้องในการจะเดินทางมาร่วมประชุม Asean

เพราะถ้านายกฯ อันวาร์จะทำตามคำบงการของทรัมป์ซึ่งหนักข้อกว่าในครั้งที่แล้ว ย่อมกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างมาเลเซียและจีนอย่างแน่นอน

เพราะจีนเองโดยรมต.ต่างประเทศ หวัง อี้ ได้แสดงออกอย่างเปิดเผยหลายครั้งว่า ปรารถนาเป็นกาวใจให้เพื่อนบ้านไทยและเขมรได้หยุดการพิพาทจนถึงใช้กำลังอาวุธในครั้งนี้-ถึงขนาดท่ามกลางการประชุมแม่โขง-ได้เป็นกาวใจดึงมือรมต.ต่างประเทศของไทย (นายมาริษ) ไปจับมือกับรมต.ต่างประเทศของเขมร โดยนายหวัง อี้ จับมือกับทั้งสองฝ่าย

หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมทรัมป์มาออกข่าว ทั้งพูดเอง และผ่านโฆษกทำเนียบขาว ถึงการเดินทางมาร่วมประชุม Aseanพร้อมการลงนามสันติภาพระหว่างไทย-เขมร ทั้งๆ ที่การประชุมซัมมิตอาเซียนจะเกิดขึ้นปลายตุลาคม ซึ่งก็เลยเวลาประกาศรางวัลโนเบลสันติภาพไปเรียบร้อยแล้ว (ประกาศ 10 ตุลาคม)

อาจเป็นไปได้ว่า ทรัมป์กำลังทำคะแนนไว้สำหรับรางวัลนี้ในปีหน้าก็เป็นได้

แต่น้ำหนักที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ การประกาศรางวัลในปีนี้ซึ่งการออกข่าวถี่ยิบทั้งจากการเขียนเองใน Truth Social หรือผ่านทางโฆษกทำเนียบขาว ก็เพื่อส่งข่าวไปถึงคณะกรรมการรางวัลโนเบลนั่นเอง

เรียกว่า เป็นการทวงรางวัลอย่างเอิกเกริกและไม่มีเหนียมอายใดๆ ทั้งๆ ที่มีนักวิจารณ์เด่นดังหลายคนออกมาชี้ว่า ใน 7 ข้อพิพาทที่ทรัมป์อ้างว่า สร้างสันติภาพได้สำเร็จนั้น-บางอันเป็นแค่ข้อพิพาทที่ไม่ถึงกับรบราฆ่าฟันกัน อย่างกรณีเอธิโอเปียสร้างเขื่อนในแม่น้ำไนล์ของอียิปต์ ก็ไม่ถึงกับรบกัน-และกรณียิงขีปนาวุธที่แคชเมียร์ที่อินเดียตอบโต้โดยถล่มปากีสถานก็เช่นกัน ที่อินเดียไม่ยอมรับว่า การหยุดยิงเป็นฝีมือของทรัมป์ที่เข้ามาเจรจา แต่เป็นทางฝ่ายอินเดียเองที่ริเริ่มในการเจรจาได้สำเร็จเอง

ที่สำคัญคือ สงครามที่ยูเครนซึ่งทรัมป์ไม่ประสบผลสำเร็จใดๆ ในการทำให้หยุดยิง ดังคำคุยโตที่ได้ใช้ในการหาเสียง

รวมทั้งการหยุดยิงที่กาซากับแผน 20 ข้อของทรัมป์ ที่ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ทั้งๆ ที่ฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ทรัมป์เช่น ศ.จอห์น เมียร์ไชเมอร์ แห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก และศ.เจฟฟรีย์ แซคส์ แห่งมหาวิทยาลัยโคลอมเบีย และเป็นชาวยิวที่เด่นดังมากที่สุดคนหนึ่งของโลกขณะนี้ ได้ออกมาชี้ว่า ทรัมป์จะทำให้หยุดยิงในกาซาได้ง่ายนิดเดียวคือ หยุดส่งอาวุธและความช่วยเหลือแก่นายกฯ อิสราเอล นายเนทันยาฮู-ซึ่งทรัมป์ก็ยังได้ส่งทั้งอาวุธและความช่วยเหลือแก่เนทันยาฮูในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่กาซา ทุกๆ วันตลอด 8 เดือนที่ผ่านมา

ซึ่งทรัมป์คือผู้สมรู้ร่วมคิดกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่กาซา-แล้วเขาจะได้รับรางวัลสันติภาพโนเบลได้อย่างไรเล่า?


กำลังโหลดความคิดเห็น