xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ประชามติ MOU พ่วง “ภูมิใจไทย” เอาอธิปไตยใส่เกมเลือกตั้ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลังการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาของ “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประชาชนคนไทยก็ถึงกับต้องปวดเศียรเวียนเกล้าไปตามๆ กัน เมื่อมีการโยนหินถามทางมาจาก “ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมายของรัฐบาลว่า ในการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่จะมาถึงในปี 2569 ประชาชนต้องกาบัตรถึง “4 ใบ” ด้วยกันคือ บัตรเลือกตั้ง สส.ระบบเขต บัตรเลือกตั้ง สส.ระบบบัญชีรายชื่อ บัตรความเห็นเรื่องการทำประชามติเพื่อแก้รัฐธรรมนูญ และบัตรความเห็นเรื่องการยกเลิก MOU ไทย-กัมพูชา

ทั้งนี้ บัตรที่กลายเป็นหัวข้อถกเถียงมากที่สุดคือ การยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก หรือ MOU 2543 และบันทึกความเข้าใจพื้นที่ทับซ้อนของไหล่ทวีปหรือ MOU 2544

พลันทีเรื่องที่ปรากฏ เสียงวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลนายอนุทินก็ดังกระหึ่มในทันที เพราะมองว่า นี่คือ “เหลี่ยม” ที่แฝงนัยสำคัญทางการเมืองอย่างร้ายกาจ

จากนั้น นายอนุทินก็เติม “เหลี่ยมดอกที่สอง” เข้าไปอีกแต่หลังการแถลงนโยบายต่อที่ประชุมรัฐสภาจบลง โดยให้สัมภาษณ์เอาไว้อย่างชัดเจนว่า “ถ้าถามผม ยกเลิกแน่” พร้อมระบุด้วยว่า “MOU 2543 อยู่มานาน 20 ปีแต่ไม่คืบหน้า จะเก็บไว้ทำไม” และย้ำอีกครั้งว่าจะรอผลศึกษาจากคณะกรรมาธิการวิสามัญสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งคาดว่าจะสรุปรายงานใน 3 เดือน หากชัดเจนว่ายกเลิกได้ รัฐบาลอาจดำเนินการโดยคณะรัฐมนตรีโดยไม่ต้องรอประชามติ แต่หากจำเป็น จะนำไปลงประชามติในการเลือกตั้งครั้งหน้าด้วย

เรียกว่า ให้สัมภาษณ์แบบ “หล่อๆ” ในทางการเมือง แต่เมื่อวิเคราะห์แล้วต้องใช้คำว่า “ไม่ธรรมดา”

หลายคนมองว่า รัฐบาลนายอนุทินต้องการสอบถามความเห็นของประชาชนคนไทยเพื่อเป็นข้ออ้างในการตัดสินใจร่วมกันจะได้ไม่มีปัญหาในภายหลัง

แต่ในทางตรงกันข้ามหลายคนก็มองว่า นี่คือการผลักภาระทางนโยบายไปให้ประชาชน ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนเกี่ยวข้องกับกฎหมายและจำต้องทำความเข้าใจอย่างถี่ถ้วน ซึ่งสมควรเป็นภาระความรับผิดชอบของรัฐบาลในการตัดสินใจเรื่องนี้โดยใช้ “มติคณะรัฐมนตรี” ได้ทันที เพราะได้รับการพิสูจน์แล้วว่า เป็น MOU ที่ไม่ตอบโจทย์ด้วยประการทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดน มิหนำซ้ำยังถูกละเมิดจนนับครั้งไม่ถ้วนอีกต่างหาก ทั้งการตั้งฐาน การก่อสร้าง หรือการอ้างสิทธิเชิงเดี่ยว ทำให้กลายเป็น “กรอบผูกพัน” ที่นอกจากไม่ตอบโจทย์แล้วยังเป็นพันธกรณีระหว่างประเทศ

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือการเกิดขึ้นของ“ทมอดากาสิโน” หรือ “บ่อนท่าเส้น” ที่ชายแดนจังหวัดตราด ซึ่งอาคารบางส่วนสร้างขึ้นโดยรุกล้ำดินแดนของราชอาณาจักรไทย และ“บ่อนสายตะกู” ที่ชายแดนจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งถ้าใช้แผนที่มาตรา 1 ต่อ 50,000 ก็ตั้งอยู่ในอาณาเขตไทยชัดๆ ทว่า เมื่อไปยอมรับแผนที่มาตรา 1 ต่อ 200,000 ใน MOU 2543 ก็กลับกลายเป็นพื้นที่ทับซ้อนหรือพื้นที่อ้างสิทธิ์ไป หรือที่ “บ้านหนองจาน” จังหวัดสระแก้ว ซึ่งจนป่านนี้ก็ยังไม่สามารถไล่ชาวกัมพูชาที่มาอาศัยดินแดนไทยทำมาหากินออกไปได้


กลายเป็นพื้นที่ที่ทำให้ผู้มีอำนาจทั้งนักการเมือง ข้าราชการและทหารเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยอ้างวาทกรรมสวยหรูเรื่องความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ

ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ก่อนหน้านี้ พรรคภูมิใจไทยเคยประกาศว่าจะ “ยกเลิก MOU ทั้งสอง” อยู่แล้ว ทว่า เมื่อก้าวขึ้นมาเป็นรัฐบาล และสามารถใช้ มติ ครม. เดินหน้าทำได้ทันที ไม่จำเป็นต้องผลักภาระไปทำประชามติให้ประชาชน แต่กลับออกลูก “ยื้อ” เช่นนี้ นอกจากจะสะท้อนว่า รัฐบาลพยายามปัดภาระทางการเมืองมากกว่าจะกล้าใช้ดุลยพินิจของตนเองแล้ว ยังแฝงไปด้วยเกมการเมืองเข้าไปด้วย

“รังสิมันต์ โรม” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ แสดงความคิดเห็นว่า หากจะทำประชามติ ต้องทำให้ประชาชนมีข้อมูลเพียงพอ แต่ปัญหาคือ ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ MOU มีความละเอียดอ่อนจนสภาผู้แทนราษฎรต้องประชุมลับ ดังนั้นจึงเป็นภาระของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ที่ต้องตอบว่าจะมีวิธีการใดทำให้ประชาชนรับรู้ โดยไม่กระทบต่อผลประโยชน์ของชาติ หากข้อมูลรั่วไหลไปถึงกัมพูชา

“เรื่องนี้มันซับซ้อน ไม่ใช่ว่าจะยกเลิกแล้วจบ ต้องมีแผนรองรับหลายขยัก ต้องคิดให้รอบคอบ ยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง” นายรังสิมันต์ ระบุ

เช่นเดียวกับ “ธนาธร โลห์สุนทร” ส.ส.ลำปาง พรรคเพื่อไทย ในฐานะเลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษา MOU43-44 ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา สภาผู้แทนราษฎร ได้ระบุว่า ประเด็นดังกล่าวมีความอ่อนไหว และมีรายละเอียดทางเทคนิคมาก เป็นเรื่องเชิงเทคนิคกฎหมาย และภูมิรัฐศาสตร์ หากไม่ได้รับข้อมูลที่เพียงพอประชาชนทั่วไปอาจตัดสินจากอารมณ์ หรือข้อมูลไม่ครบ ทำให้ผลประชามติไม่สะท้อนผลประโยชน์ระยะยาวของประเทศ ทั้งนี้เหตุผลที่ไม่ควรทำประชามติยกเลิก MOU43-44 ไม่ใช่เรื่องที่ประชามติจะตอบได้ เพราะประชามติเป็นเพียงการถามใช่หรือไม่ใช่ แต่ประเด็นชายแดนและMOU ละเอียดอ่อน ซับซ้อน

นายธนาธร ย้ำว่า หากรัฐบาลอยากยกเลิก หรือหากนายกฯ ระบุเจรจากันไม่จบก็ยกเลิกไปเลยนั้น ก็สามารถทำได้ทันที โดยผ่านมติคณะรัฐมนตรีได้ทันที โดยไม่ต้องผลักภาระไปให้กับประชาชนตัดสินใจ แต่ก็ต้องตอบคำถามให้ได้ว่าเมื่อไม่มี MOU43-44 แล้ว ข้อพิพาทตามแนวชายแดนจะหายไปหรือไม่ และไทยจะใช้กลไกใดเจรจา และหากต้องมีการทำกรอบเจรจากันใหม่ หรือ MOU ฉบับใหม่ ไทยจะทำข้อตกลงใหม่ได้ดีกว่าฉบับที่ยกเลิกไปหรือไม่

ขณะที่ “นายเทพไท เสนพงษ์” อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช ให้ความเห็นว่า ไม่เห็นด้วยกับการทำประชามติยกเลิก MoU43-44 เหตุผลไม่ใช่เพราะสนับสนุนหรือคัดค้านการยกเลิก แต่เพราะไม่ควรผลักภาระไปที่ประชาชน เรื่องนี้ควรเป็นหน้าที่ของรัฐบาลโดยตรง เนื่องจากเป็นบันทึกข้อตกลงระหว่างประเทศซึ่งรัฐบาลมีอำนาจตัดสินใจได้เอง ไม่จำเป็นต้องถามประชาชน ที่สำคัญคือ สภาผู้แทนราษฎรได้ตั้ง กมธ.วิสามัญศึกษาปัญหา MOU แล้ว โดยมีนายไชยชนก ชิดชอบ เป็นประธานฯ ซึ่งสามารถสรุปข้อเสนอส่งรัฐบาลได้ทันที

ล่าสุด นักวิชาการบางคนอย่าง อัครพงษ์ ค้ำคูณ ออกมาอธิบายว่า MOU 2543 จะนำไปสู่แผนที่ 1:25,000 ซึ่งเป็นการสร้างความเข้าใจคลาดเคลื่อน เพราะความจริงแล้ว MOU 2543 ไม่ได้พูดถึงมาตราส่วนใด ๆ เลย สิ่งที่พูดถึง 1:25,000 นั้นเกิดขึ้นทีหลังใน TOR 2546 ซึ่งกว่า 20 ปีมาแล้วก็ยังไม่เกิดผลจริง เพราะกัมพูชาไม่มีวันทิ้งแผนที่ 1:200,000 ที่ให้ประโยชน์กับตนเองเต็มมือ

ที่สำคัญ อัครพงษ์ไม่ได้เป็นนักวิชาการอิสระ แต่เป็นหนึ่งในทีมที่ได้รับการว่าจ้างจากกระทรวงการต่างประเทศ ภายใต้งบประมาณโครงการ 7.1 ล้านบาท เพื่อทำวิจัยและเผยแพร่ความรู้เรื่องเขตแดนไทย–ประเทศเพื่อนบ้าน หมายความว่าคำอธิบายของเขามิใช่เสียงที่เป็นกลาง หากแต่สะท้อนมุมมองที่อยู่ในกรอบผลประโยชน์จากกระทรวงการต่างประเทศที่ปกป้อง MOU 2543อย่างแข็งขัน




ดังนั้น การยกเลิก MOU 2543 จึงไม่ใช่การหนีโต๊ะเจรจา แต่คือการกล้าประกาศต่อโลกว่า ไทยพร้อมสร้างกติกาใหม่ที่ไม่ผูกพันกับมรดกอาณานิคมและความล่าช้าที่ทำให้ไทยต้องเสียเปรียบ ไม่ต่างอะไรกับการตัดเชือกที่มัดมือไทยมานาน เพื่อคืนอำนาจการต่อรองให้ประเทศชาติอย่างแท้จริง

ด้าน “ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ให้ข้อมูลเรื่องการยกเลิก MOU เอาไว้ว่า สามารถทำได้ทันทีตามอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา พ.ศ. 2512 เนื่องจากที่ผ่านมาฝ่ายกัมพูชาใช้ทหารรุกล้ำแผ่นดินไทยบริเวณช่องบกก่อน ยิงอาวุธสงครามก่อน ยิงอาวุธสงครามร้ายแรงในพื้นที่พลเมืองไทย ยิงใส่โรงพยาบาลและพื้นที่พาณิชย์ของไทย เป็นอาชญากรสงครามเข่นฆ่าประชาชนชาวไทย วางทุ่นระเบิดใหม่ ซึ่งเป็นเหตุผลเพียงพอที่จะบอกได้ว่ากัมพูชาได้ละเมิดอย่างรุนแรงแล้วอันเป็นเหตุแห่งการยุติสัญญา พร้อมกับตั้งคำถามว่า หรือต้องคนไทยต้องตายมากกว่านี้จึงจะยกเลิกได้

นอกจากนั้น การยกเลิก MOU 2543 ก็มิได้เป็นสัญญาณว่าไทยกับกัมพูชาจะต้องรบกัน เพราะแม้ขณะที่มี MOU 2543 กัมพูชาก็ทั้งยิงอาวุธสงครามจากฝั่งกัมพูชา วางทุ่นระเบิดใหม่จนประเทศไทยต้องสร้างรั้ว เพราะก่อนมี MOU 2543 ไทยและกัมพูชาก็มี JBC ในเรื่องเขตแดนมาก่อน

“จำเป็นต้องตั้งสติให้ว่าเขตแดนสยามกับฝรั่งเศสได้แบ่งปันกันและถึงขั้นทำหลักเขตแดนเสร็จสิ้นไปแล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แล้ว ในสมัยโบราณใช้สันปันน้ำซึ่งบางส่วนเป็นขอบหน้าผาเห็นได้ถนัดชัดแจ้ง บางส่วนเป็นคลอง และบางส่วนเป็นเส้นตรงที่ใช้หลักเขตแดน มายุคนี้เราเพียงมาแค่ยืนยืนให้มีความถูกต้องและขัดเจนขึ้นเท่านั้น จึงไม่ใช่มาบอกว่า ถ้าไม่มี MOU 2543 ไทยกัมพูชาจะไม่มีเขตแดนเลย และจะต้องถูกนานาชาติเข้าแทรกแซงแน่ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริงประเทศไทยอยู่มาได้อย่างไรตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงปี 2542 โดยไม่มี MOU แม้แต่ฉบับเดียว”ปานเทพกล่าว

ทว่า ที่ร้ายกาจและแยบยลไปกว่าการผลักภาระไปให้ประชาชนก็คือ การนำประชามติ MOU ซึ่งเป็นเรื่อง “อธิปไตยของชาติ” ไปเชื่อมโยงกับการเลือกตั้ง สส. และการลงประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญ ที่มิอาจตีความเป็นอื่นได้ว่า นี่คือ ยุทธศาสตร์ในการหาเสียงเลือกตั้งของพรรคภูมิใจไทยที่มีต่อมวลชนฝ่ายอนุรักษ์นิยม

สรุปสั้นๆ ง่ายๆ ก็คือ ถ้าต้องการให้เลิก MOU ก็ต้องกาเลือก สส.พรรคภูมิใจไทยเพื่อให้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งเพื่อจะสามารถสานต่อการยกเลิก MOU ต่อไปได้ เพราะถ้าไปเลือกพรรคอื่นก็ไม่มีหลักประกันใดว่า จะยกเลิก MOU ร้อยเปอร์เซ็นต์ หรือเป็นการนำเรื่องอธิปไตยของชาติมาเชื่อมโยงกับเกมเลือกตั้งของพรรคภูมิใจไทยอย่างแนบเนียนนั่นเอง

ขณะเดียวกันยังเป็นการเลี้ยงกระแสและสร้างสถานะพรรคภูมิใจไทยให้เป็น “พรรครักชาติ” พร้อมทั้งสร้างภาพนายอนุทินให้เป็นผู้นำที่แตกต่างจากรัฐบาลในอดีตที่ถูกวิพากษ์ว่า “เอาใจต่างชาติ” พร้อมๆ กับเบี่ยงเบนความสนใจจากประเด็นที่เสียเปรียบ เนื่องจากพรรคภูมิใจไทยมีจุดอ่อนในประเด็นภาพลักษณ์ การถูกสอบสวนเรื่องการแทรกแซงการเลือกสมาชิกวุฒิสภา และกรณีเขากระโดง ไปด้วยในตัว

ทั้งนี้ ถ้าใครติดตามการเปลี่ยนแปลงของพรรคภูมิใจไทยก็คงรับรู้ได้ว่า มีการวางยุทธศาสตร์จากทั้งนายอนุทินและนายเนวิน ชิดชอบเพื่อให้เป็นพรรคแกนนำในฝั่งอนุรักษ์นิยมแทนที่แกนนำเดิมอย่างพรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคพลังประชารัฐและพรรคประชาธิปัตย์ที่อ่อนระโหยโรยแรงไปทุกทีจนบัดนี้ทำท่าจะไปไม่รอดในการเลือกตั้งปี 2569 โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนโลโก้พรรคที่เดิมมีสีแดงและสีน้ำเงินให้เหลือแต่ “สีน้ำเงิน” ล้วนๆ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาในวาระก้าวสู่ปีที่ 17 ของพรรค พร้อมประกาศตัวเดินหน้าการเมือง สันติ สามัคคี เทิดทูนสถาบันฯ

นี่นับเป็น “เหลี่ยม” ที่แยบคายในทางการเมืองยิ่งนัก


กำลังโหลดความคิดเห็น