ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - นับวันสถานการณ์ของ “พรรคเพื่อไทย” ยิ่งสาละวันเตี้ยลง ทั้งทางด้านคะแนนนิยม ทั้งทางด้านผลการเลือกตั้ง ทั้งทางด้านการทำหน้าที่ในฐานะ “ฝ่ายค้าน” ในสภาที่มิได้มีความโดดเด่นปรากฏให้เห็น ออกไปในแนว “ฝ่ายแค้น” ที่จ้องจะโจมตีพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชนเสียมากกว่าด้วยซ้ำไป
ด้านคะแนนนิยม การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองรายไตรมาส ครั้งที่ 3/2568 ของ “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) พบว่า “แคนนิเดตนายกรัฐมนตรี” ของพรรคเพื่อไทยที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวคือ “ชัยเกษม นิติสิริ” หล่นไปอยู่ถึง “อันดับ 5” โดยไม่น่าเชื่อว่าจะแพ้แม้กระทั่ง “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย ที่อยู่อันดับ 4 และตามหลังอันดับ 3 อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน อันดับ 2 ด้วยเปอร์เซ็นต์ที่ห่างกันเกินครึ่ง ส่วน “อันดับ 1” นั้นผลโพล บอกว่า “ยังหาคนเหมาะสมไม่ได้”
ตรงนี้แปลความหมายได้ว่า “ชัยเกษม” จัดอยู่ในหมวด “ยาหมดอายุ” ที่ไม่สมควรใช้งานอีกต่อไป และจำเป็นที่จะต้องควานหา “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนใหม่” เข้ามาเสริมทัพเป็นการเร่งด้วนก่อนที่การเลือกตั้งครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นในปี 2569
แต่ปัญหาก็คือ พรรคเพื่อไทยจะส่งใครมา เพราะเท่าที่สำรวจตรวจตราและเห็นหน้าเห็นตา ณ ปัจจุบัน ก็ต้องยอมรับว่า บรรดาขุนพลที่บ้านจันทร์ส่องหล้าไว้ใจนั้น ยังไม่มีใครเหมาะสมสักคนเดียว
ยิ่งในยามที่ “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้เป็นนายใหญ่อยู่ในคุกในตะรางด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ขวัญและกำลังใจของพรรคหดหายไปพอสมควร แม้จะมีความพยายามแก้ไขสถานการณ์ด้วยการปรากฏตัวของ “คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์” ในพรรคเพื่อไทยเพื่อส่งสัญญาณ “ไปต่อ” และพร้อมสนับสนุนพรรคเหมือนเดิมก็ตามที
ขณะที่เมื่อไปพิจารณาผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดศรีสะเกษเขตเลือกตั้งที่ 5 แทนตำแหน่งที่ว่างเมื่อในวันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ก็ยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลงไปกว่าเก่าอีก เมื่อผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยคือ “ภูริกา สมหมาย” ได้ 31,577 คะแนน แพ้ให้กับ “จินณ์ตวรรณ ไตรสรณกุล” ผู้สมัครจากพรรคภูมิใจไทย ที่ได้ 40,246 คะแนน ทิ้งห่างไป 9,000 กว่าคะแนน
มีการวิเคราะห์กันว่า ความพ่ายแพ้ที่ศรีสะเกษคือจุดเริ่มต้นภาวะ “เลือดไหลไม่หยุด” ของพรรคเพื่อไทยอย่างเป็นทางการ
ทั้งนี้ ศรีสะเกษถือเป็นจังหวัดแห่งศักดิ์ศรีของทั้งสองพรรค หากยังจำกันได้ เมื่อช่วงต้นปี 2565 มีคำประกาศิตจาก “ทักษิณ ชินวัตร” ให้เปิดปฏิบัติการ“ไล่หนูตีงูเห่า” เพื่อสางแค้น “บ้านใหญ่ไตรสรณกุล” ที่เปลี่ยนค่ายย้ายขั้วทิ้งเสื้อสีแดงไปสวมเสื้อสีน้ำงเงิน ซึ่งก็ประสบความสำเร็จคว้าชัยชนะเรียบทั้ง 3 เขต โดยเฉพาะเขต 5 “อมรเทพ สมหมาย” บิดาของ “ภูริกา” ที่เปลี่ยนเสื้อจากพรรคชาติไทยพัฒนา หันมาสวมเสื้อเพื่อไทย เอาชนะไปด้วย 32,884 คะแนน คว่ำ “ธีระ ไตรสรณกุล” บิดาของ “จินต์ตวรรณ” แชมป์เก่าจากภูมิใจไทย ที่ได้ 25,837 คะแนน
ทว่า การเลือกตั้งซ่อมเที่ยวนี้ พรรคภูมิใจไทยชนะไปแบบไม่ต้องลุ้น แม้ตัวเลขคนเลือกเพื่อไทยจะไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก แต่ฝ่ายภูมิใจไทยก็มีคะแนนเพิ่มขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญ
ที่สำคัญ สส.ศรีสะเกษ 4 คน พรรคเพื่อไทย ที่ยังไม่ได้แปรพักตร์ไปสังกัดพรรคอื่นคือ ธเนศ เครือรัตน์ สุรชาติ ชาญประดิษฐ์ วีระพล จิตสัมฤทธิ์ วิลดา อินฉัตรกลับไม่เข้าพื้นที่เขต 5 มาช่วยหาเสียง มีแต่ทีม สส.นอกพื้นที่ โดยการนำของ มนพร เจริญศรี อดีต รมช.คมนาคม สถานการณ์ 2 วันสุดท้าย แกนนำค่ายสีแดง จึงทำได้เพียงปั้นกระแสสงสารครอบครัว “สมหมาย” และงัดกลยุทธ์ประคอง “คะแนน” ตามสภาพของทรัพยากรที่มีจำกัด
ขณะที่ สส.อีก 2 ส่งสัญญาณย้ายค่ายไปสังกัดพรรคภูมิใจไทยค่อนข้างแน่ เพราะโหวตสวนมติพรรคเลือกนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี นั่นคือ นพ.ภูมินทร์ ลีธีรประเสริฐ ศรีสะเกษ เขต 4 และนุชนารถ เตชะเสถียร ศรีสะเกษ เขต 9
นอกจากนั้น ที่จังหวัดสุรินทร์ก็น่าจับตาไม่น้อย โดยปัจจุบันเพื่อไทยมีสส.3 คน คือ เขต 2 ชูชัย มุ่งเจริญพร เขต 4 พรเทพ พูนศรีธนากูล และเขต 5 ครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส่วนที่เหลืออีก 5 เขต ภูมิใจไทยคุมที่นั่งสส.ได้ทั้งหมด โดยมีกระแสข่าวหนาหูด้วยว่า ครูมานิตย์เตรียมอยู่ระหว่างการตัดสินใจหลังมีเทียบเชิญจากค่ายสีน้ำเงินให้ไปร่วมงาน และเปอร์เซ็นต์ที่จะย้ายค่ายก็มีสูงเช่นกัน
ตัวอย่างที่สร้างความสั่นสะท้านให้กับพรรคเพื่อไทยเป็นอย่างมากก็คือ “เฮียกุ่ย-ชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ” สส.หลายสมัยของจังหวัดอุบลราชธานี คนที่ได้ชื่อว่าเป็น “ผู้ภักดีนายใหญ่” ก็ยื่นไปลาออกจากพรรคและย้ายค้ายไปอยู่พรรคกล้าธรรม พร้อมกับรับตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นที่เรียบร้อย เหลือแต่ลูกสาวคือ น.ส.สุดารัตน์ พิทักษ์พรพัลลภ หรือ กานต์ สส.อุบลราชธานี ซึ่งวันนี้แม้ปากจะบอกว่า ยังอยู่กับพรรคเพื่อไทย แต่อนาคตต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ว่า “ไม่แน่เหมือนกัน” เพราะเมื่อพ่อไปแล้ว ทำไมลูกถึงจะไปไม่ได้ เหมือน “ก๊วนมะขามหวานเพชรบูรณ์” ของ “สันติ พร้อมพัฒน์” ที่ปากบอกว่ายังอยู่กับพรรคพลังประชารัฐของ “ลุงป้อม-พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ” แต่สุดท้ายก็ชัดเจนแล้วว่า ยกสำมะโนครัวไปพรรคภูมิใจไทยกันหมด
มีการวิเคราะห์กันว่า สถานการณ์ของพรรคเพื่อไทยในภาคอีสานซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญตกอยู่ในสภาวะ “ลูกผีลูกคน” และพร้อมจะ “ย้ายค่าย” ได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะในจังหวัดที่อยู่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาอย่าง “ศรีสะเกษ อุบลราชธานี สุรินทร์” เพราะมีการคำนวณแล้วว่า อยู่ไปก็สุ่มเสี่ยงที่จะสอบตก ด้วยพลานุภาพของ “คลิปสนทนาแพทองธาร ชินวัตรกับฮุนเซน” ก่อให้เกิดผลกระทบในวงกว้างทำให้ “แบรนด์เพื่อไทย” ไม่แข็งแกร่งและไม่ยืนหนึ่งในหัวใจของคนอีสานเหมือนในอดีต และเมื่อมีความชัดเจนในเรื่องกำหนดวันเลือกตั้ง คงได้เห็นอะไรชัดเจนขึ้นอย่างแน่นอน
แน่นอนว่า “ค่ายสีน้ำเงิน” พรรคภูมิใจไทยมาแรงในทุกพื้นที่ ตามด้วย “พรรคกล้าธรรม” ของร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่พร้อมจะเปิด “ดีลดูด” แบบไม่ยั้งด้วยกระสุนดินดำเต็มอัตราศึก
ที่ส่งสัญญาณย้ายค่ายแต่หัววันด้วยโหวตให้กับนายอนุทินเมื่อตอนเลือกนายกรัฐมนตรีก็คือ นายกิตติ สมทรัพย์ ร้อยเอ็ด เขต 6 นายนรากร เมืองนารักษ์ ร้อยเอ็ด เขต 4 นาย ประเสริฐ บุญเรือง กาฬสินธุ์ เขต 6
ขณะเดียวกันเมื่อย้อนกลับไปดูการอภิปรายของ สส.เพื่อไทยเมื่อคราวนายอนุทิน ชาญวีรกูล แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ก็มีข้อพึงสังเกตว่า บรรดา “สส.พื้นที่” ค่อนข้างจะเก็บอาการกันพอสมควร ถึงจะมีการอภิปรายให้เห็นอยู่บ้าง แต่ก็รับรู้ได้ว่า ไม่ได้ใส่เต็มร้อยเหมือนที่ผ่านมา แถมบางรายอาจจะทิ้งทวนเพื่อเอาใจนายใหญ่อีกต่างหาก
นอกจากนี้ ยังมีกรณี “กลุ่ม สก.กรุงเทพมหานคร” ที่นำโดย นายสุรจิตต์ พงษ์สิงห์วิทยา ส.ก.ลาดกระบัง อดีตประธานสภา กทม. นายนริสสร แสงแก้ว ส.ก.บางเขน นางอนงค์ เพชรทัต ส.ก.ดินแดง นายจิรเสกข์ วัฒนมงคล ส.ก.ธนบุรี และ น.ส.เมธาวี ธารดำรงค์ ส.ก.ปทุมวัน เตรียมย้ายไปรวมตัวกันในกลุ่ม “Bangkok First” โดยนายสุรจิตต์ หรือ ดร.จอห์น ยอมรับว่า สาเหตุที่ตนลาออกจากพรรคเพื่อไทย เนื่องจากสภาพแวดล้อมในภาค กทม. ของพรรคเพื่อไทยที่ไม่ส่งเสริมให้ตนได้ทำงานเพื่อประชาชนได้อย่างเต็มความสามารถ ซึ่งเชื่อเหลือเกินว่า เลือกตั้งทั้ง สกและสส.คราวหน้า โอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะมี สก.สส.ในพื้นที่ค่อนข้างยาก
นอกเหนือจากพื้นที่ภาคอีสานที่ไม่เหมือนเดิมแล้ว ที่ต้องจับตาไม่แพ้กันก็คือพื้นที่ “ภาคกลางและภาคใต้” ซึ่งมีความชัดเจนว่า ค่ายสีน้ำเงินเร่งกวาดต้อนสรรพกำลังเสริมป้อมค่ายในหลายจังหวัด
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อคราวที่นายอนุทินพร้อมขุนพลพรรคภูมิใจไทยชุดใหญ่เดิมทางมาร่วมไว้อาลัยและสวดอภิธรรมศพนายวุฒิพงศ์ วงษ์พิทักษ์โรจน์ บิดาของ “นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์” สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ก็เอ่ยปากจีบ สส.มุ่ง-อัครเดชเข้าพรรคภูมิใจไทยแบบโต้งๆ กันเลยทีเดียว รวมทั้งอีกหลายจังหวัดซึ่งแต่เดิมกระจัดกระจายไปอยู่ในมือของพรรครวมไทยสร้างชาติบ้าง พรรคชาติไทยพัฒนาบ้าง ก็อาจถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจเส้นทางการเมืองของตนเอง
โดยเฉพาะ “ชาติไทยพัฒนา” ที่แว่วว่า น่าห่วงอยู่ไม่น้อย
หรือเมื่อคราวโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีก็มี สส.พรรคเพื่อไทยภาคกลาง ภาคตะวันออก ยกมือโหวตให้นายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี 3 คนคือ นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ กาญจนบุรี เขต 1นายอนันต์ ปรีดาสุทธิจิตต์ ชลบุรี เขต 5 นายสุรพล บุญมา นครนายก เขต 1 ซึ่งรายแรกคือนายศักดิ์ดาก็รับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยไปเป็นที่เรียบร้อย
ขณะที่ในพื้นที่ภาคใต้เอง ก็มีการยอมรับออกมาจากปากของ “นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ” แม่ทัพใหญ่ภาคใต้ของพรรคภูมิใจไทยว่า ไม่ปฏิเสธพลังดูด สส.ภาคใต้เข้าภูมิใจไทย และที่ผ่านมาก็สำแดงตนให้เห็นเป็นระยะๆ อยู่แล้ว
แน่นอน เป้าใหญ่ย่อมคือ สส.และนักการเมืองซึ่งเดิมอยู่ในปีกของพรรครวมไทยสร้างชาติและพรรคประชาธิปัตย์
กระนั้นก็ดี ความเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทยที่สร้างความฮือฮาอยู่ไม่น้อยก็คือ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยมีความเคลื่อนไหวใหญ่อยู่ 2 เรื่องด้วยกัน
เรื่องแรก เฟซบุ๊กพรรคเพื่อไทย โพสต์ผลงานของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ตลอดระยะเวลา 2 ปี ระบุว่า เพื่อไทยจะกลับมา : 2 ปี กับผลงานใหญ่ เพื่อคนไทย ในระยะเวลา 2 ปี พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งซึ่งมีอายุเพียงครึ่งเทอมนั้น พรรคเพื่อไทยขอยืนยันในการรักษาคำมั่นของพรรคเพื่อไทยที่มีต่อพี่น้องประชาชน ในการเข้าผลักดันและดำเนินนโยบายภายใต้เวลาที่จำกัด และท่ามกลางอุปสรรคและวิกฤตการณ์ทั้งในและนอกประเทศ ซึ่งได้ดำเนินนโยบายและแก้ไขอย่างเต็มความสามารถ หัวใจของพรรคเพื่อไทย ยังคงมีปณิธานคือมีประชาชนเป็นหัวใจของการคิด และการลงมือทำเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต เพื่อร่วมแก้ไขปัญหานานับประการจากปัญหาทางเศรษฐกิจระดับมหภาค เช่นการเจรจาทั้งเพื่อรับมือความเปลี่ยนแปลงในระดับโลก และเพื่อเปิดพื้นที่ทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ไปจนถึงการร่วมแก้ปัญหาโครงสร้างในระดับปัจเจกชนและครัวเรือน
จากการแก้ปัญหาหนี้สินของพี่น้องประชาชนอันเป็นรากฐานสำคัญ เมื่อประชาชนเข้มแข็ง เศรษฐกิจและประเทศชาติก็จะแข็งแรง สิ่งที่พรรคเพื่อไทยมุ่งมั่นสานต่อคือการเสริมกำลังให้กับพี่น้องประชาชน เพิ่มเติมทุนในด้านต่างๆ รวมถึงมุ่งมั่นเปิดพรมแดนและพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ๆ สร้างความฝันอันเป็นการมองไปข้างหน้าอยู่เสมอ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง นี่คือสิ่งที่รัฐบาลภายใต้การนำของเพื่อไทยได้ลงมือทำ จากการแก้ปัญหาอย่างเข้าใจ การรับมือวิกฤต และการวางรากฐานเพื่ออนาคต ทุกนโยบายที่ได้ลงมือทำเป็นก้าวที่พรรคเพื่อไทยพร้อมจะสานต่อเมื่อได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนอีกครั้ง
ทว่า เมื่อไปดูเสียงตอบรับจากความคิดเห็นในเพจของพรรคเองก็เต็มไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์อยู่ไม่น้อยว่า เป็นไปตามที่โฆษณาไว้จริงหรือ เพราะตลอด 2 ปีที่อยู่ในอำนาจ ไม่สามารถสัมผัสถึงสิ่งที่ว่านั้นได้ แถมแผลใหญ่กรณีชายแดนไทย-กัมพูชาก็ซ้ำเติมให้เลวร้ายหนักไปกว่าเก่าอีก
เรื่องที่สองก็คือ การที่ทางพรรคประกาศเปิดรับสมัคร ‘ผู้ร่วมอุดมการณ์ สนใจงานการเมือง – ทั่วประเทศ’ มาร่วมงาน พร้อมข้อความ “เชิญชวนผู้สนใจงานการเมืองและศรัทธาในประชาธิปไตย มาร่วมกันพัฒนาประเทศไทยในทุกมิติ ให้เป็น พื้นที่แห่งโอกาส เป็นธรรม และเป็นของทุกคน” ซึ่งถูกตีความว่า เป็นการหยั่งกระแสและหยั่งคะแนนนิยมของพรรคอย่างเป็นทางการหลังเผชิญมรสุมลูกแล้วลูกเล่าว่า ยังเหมือนเดิมอยู่หรือไม่ เพราะรับรู้อยู่แก่ใจว่า สถานการณ์ไม่ค่อยสู้ดีนัก
ถึงตรงนี้ ต้องบอกว่า พนาลุภาพแห่งเสียงสนทนาระหว่างแพทองธาร ชินวัตรกับฮุน เซนนั้น ส่งผลกระทบต่อพรรคเพื่อไทยอย่างรุนแรงชนิดที่ยากจะฟื้นคืนกลับมาเหมือนเดิมได้เลยทีเดียว ยิ่งเมื่อนายใหญ่ ทักษิณ ชินวัตร ต้องติดคุกติดตะรางด้วยแล้ว บรรดานักการเมืองเขี้ยวลากดินทั้งหลายย่อมตีความออกว่า สถานการณ์ของพรรคในการเลือกตั้งปี 2569 จะลำบากลำบนแค่ไหน
และนี่คือ TRUTH TODAY ของพรรคเพื่อไทยที่มิอาจปฏิเสธความจริงได้