ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ความน่าสนใจใน “ครม.หนู1” ปฏิเสธไม่ได้ว่าอยู่ที่ “รัฐมนตรีคนนอก” ป้ายแดงสองดาวเด่น นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมจากสังคมเป็นอย่างมากจากผลงานในช่วงแรกของการทำหน้าที่ ขณะที่บรรดา “รัฐมนตรีโควตาซุ้มการเมืองต่างๆ” กลับไม่เห็นผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แถมบางรายยังถูกหมายหัวว่าอีกต่างหาก ไม่ว่าจะเป็น พลเอก ณัฐพล นาคพาณิย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กับไอเดียบรรเจิดเรื่องเมืองคู่แฝด “หนองจาน-บันเตียเมินเจย” หรือ “นายไชยชนิก ชิดชอบ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี ที่แฉเองจุกเองกับกรณีสินบน 40 ล้าน
จากท่าทีเชิงสร้างสรรค์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ลุกขึ้นอภิปราย ตอบคำถามฝ่ายค้านในวันที่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งโอบรับเอาความเห็นต่าง และพร้อมรับฟังข้อเสนอแนะมาปรับใช้สอดประสานกับนโยบายของรัฐบาล โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของชาติบ้านเมืองให้ดีขึ้นเป็นที่ตั้ง แทนการกล่าววาจาเชือดเฉือนเหมือนนักการเมืองน้ำเน่าที่มุ่งเอาความดีใส่ตัวเอาชั่วใส่ฝ่ายตรงข้าม ทำให้นางศุภจี กลายเป็นดาวเด่นทั้งในสภาและในกระแสสังคมขึ้นมาทันทีทันใด
กล่าวสำหรับนางศุภจีนั้น ก่อนหน้านี้ไม่มีทีท่าว่าเธอจะสนอกสนใจการเมืองแต่อย่างใด ทว่า ในจังหวะที่ “กลุ่มดุสิตธานี” ที่เธอบริหารอยู่นั้น กำลังเกิดศึกสายเลือดเดือดพล่าน การได้รับทาบทามจากนายอนุทิน ให้มานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จึงนับเป็นโอกาสบนเส้นทางสายใหม่
สำหรับนักบริหารมืออาชีพอย่างนางศุภจี ที่เคยผ่านงานบริหารองค์กรใหญ่อย่าง ไอบีเอ็ม ไทยคม และดุสิตธานี เธอยึดหลัก “....ผู้บริหารต้องเคารพความเห็นของทุกคน” สะท้อนการฟังความเห็นอย่างเปิดกว้างและเปิดพื้นที่ให้คนในองค์กรได้มีความคิดอย่างอิสระ และนั่นเป็นฐานคิดที่ทำให้การโต้ตอบในสภาของเธอนำมาซึ่งเสียงชื่นชม แม้แต่นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส. พรรคประชาชน ยังเป็นกำลังใจให้และเห็นว่าพูดได้ดีกว่า สส.หลายคน
อย่างไรก็ดี สนามการเมืองนั้นมีตัวแปรมากมายยิ่งกว่าองค์กรธุรกิจเอกชน ถึงจะมีเสียงตอบรับที่ดี แต่เวลาของรัฐบาลที่จำกัดจำเขี่ยเพียง 4 เดือน จะทำให้เธอพลิกฟื้นเศรษฐกิจการค้าของประเทศไทยที่เผชิญมรสุมรุมเร้าหลายด้านได้หรือไม่ ยังต้องรอการพิสูจน์ฝีมือ
ทั้งนี้ นโยบายสำคัญของกระทรวงพาณิชย์ ตามที่นางศุภจี ชี้แจงต่อที่ประชุมรัฐสภา ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 มีประเด็นสำคัญ อาทิ การเจรจา “ภาษีทรัมป์” ไทยจะเร่งสรุปผลการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าต่างประเทศกับสหรัฐฯภายในสิ้นปีนี้ ครอบคลุมทั้งการเปิดตลาดสินค้า บริการ และการลงทุน โดยให้กรมการค้าต่างประเทศ เป็นหน่วยงานเดียวที่ออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าสำหรับส่งออกไปสหรัฐฯ เพิ่มรายการเฝ้าระวังเป็น 65 รายการ และใช้เอไอตรวจสอบถิ่นกำเนิด
ส่วนการแก้ปัญหาสินค้าด้อยคุณภาพทะลักจากต่างประเทศและธุรกิจนอมินี กระทรวงพาณิชย์ ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด 81,719 คดี ตรวจสอบสินค้าออนไลน์กว่า 54,000 รายการ พร้อมใช้ AI กำกับดูแลตลาดอีคอมเมิร์ซ และเข้มงวดปราบปรามธุรกิจนอมินี
การลดค่าครองชีพประชาชน นอกจากจัดมหกรรมธงฟ้า ยังร่วมมือกับโรงพยาบาลเอกชนเปิดเผยค่ายา ให้ประชาชนซื้อยาจากร้านภายนอกโรงพยาบาลได้ ลดค่าใช้จ่ายรวม 32,400 ล้านบาท พร้อมควบคุมราคายาและเวชภัณฑ์จำเป็นอีกกว่า 1,100 ล้านบาท
การแก้ไขปัญหาราคาข้าวตกต่ำ จะเร่งเจรจาขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐกับจีน และสิงคโปร์ และขยายตลาดใหม่ เช่น ซาอุฯ ในส่วนของ FTA จะเร่งบรรลุข้อตกลง FTA ระหว่างไทยกับอียู ไทยกับเกาหลีใต้ เป็นต้น
สำหรับรัฐมนตรีคนนอกป้ายแดงอีกคนคือ “นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ได้ใช้ความเก๋ากล่าวถ้อยแถลงตอบโต้กัมพูชาเกี่ยวกับสถานการณ์ปัญหาชายแดนไทย - กัมพูชา บนเวทีประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ก็ได้รับคำชื่นชมอย่างล้นหลาม ขณะที่การแถลงนโยบายต่างประเทศต่อรัฐสภา เน้นย้ำถึงการวางยุทธศาสตร์เพื่อสร้างข้อได้เปรียบต่อกัมพูชาชัดเจน ตอบโต้กัมพูชาในเวทีประชุมยูเอ็น แบบเชือดนิ่ม ๆ โดยมีการปรับแก้สุนทรพจน์ใหม่โต้กลับกัมพูชาทุกเม็ด และเน้นชี้แจงว่าคนไทยได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไม่สงบชายแดนที่แท้จริง ไม่ใช่กัมพูชา ทั้งยังแฉกัมพูชายังคงแสดงบทเป็นฝ่ายที่ตกเป็นเหยื่ออย่างต่อเนื่อง และกระทำการอันเป็นการยั่วยุซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ผู้ถูกกระทำที่แท้จริงคือ ทหารไทยที่ต้องสูญเสียขาจากหุ่นระเบิด คือเด็ก ๆ ที่โรงเรียนถูกโจมตี และประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่กำลังจับจ่ายซื้อของในวันนั้น ที่ร้านสะดวกซื้อที่ถูกโจมตีจากจรวดของฝ่ายกัมพูชา” …. ประเทศไทยขอเลือกเส้นทางแห่งสันติภาพ เพราะเราเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ประชาชนของทั้งสองประเทศสมควรได้รับ แต่เราก็มีข้อสงสัยว่ากัมพูชา ตั้งใจที่จะร่วมมือกับเราในการมุ่งสู่สันติภาพหรือไม่ ....” ถ้อยแถลงของนายสีหศักดิ์ ซึ่งเรียกเสียงปรบมือจากที่ประชุมยูเอ็นเป็นระยะ ๆ
รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการบริหาร มูลนิธิอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย และอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมาชื่นชมว่า “ภูมิใจที่เรามีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ในเวที UNGA เป็น 22.42 นาที ที่ได้สร้างความชัดเจนต่อกรณีความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ต่อสายตาชาวโลก”
ในวันที่นายสีหศักดิ์ แถลงต่อรัฐสภา ได้ย้ำถึงเรื่องที่สำคัญที่สุดว่า การต่างประเทศต้องเริ่มภายในบ้านของเราที่ต้องมีเอกภาพในการทำงานร่วมกัน กระทรวงการต่างประเทศ จะเน้นการทำงานที่เป็นเอกภาพกับฝ่ายทหาร โดยได้คุยกับ รมว.กลาโหม ทุกวัน ไม่เช่นนั้นเราจะดูอ่อนแอในสายตาอีกฝ่าย ขณะนี้การทูตต้องสนับสนุนการทหาร แต่ต่อไปถ้าพื้นที่เปิด การทหารก็ต้องสนับสนุนการทูต โดยนายสีหศักดิ์ เน้นเรื่องเอกภาพอย่างมาก
สำหรับปัญหาไทย-กัมพูชา มีหลายมติทั้งชายแดน ความมั่นคง อาชญากรรมข้ามชาติ เศรษฐกิจ การทหาร และโยงการเมืองภายในประเทศที่ผ่านมา ที่สำคัญความรู้สึกของประชาชนทั้งสองประเทศ เราต้องทำให้ความสัมพันธ์กลับสู่ภาวะปกติ ก้าวข้ามความขัดแย้งที่มีอยู่ให้ได้แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน การเจรจาประเทศไทยต้องเจรจาอย่างสันติ แต่เราไม่ยอมเรื่องอธิปไตย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยังเดินหน้าแบบไม่พัก หลังแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ในวันถัดมาก็เชิญคณะทูตานุทูต และผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศ รวมทั้งหมด 99 คน ร่วมประชุมเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ที่ผ่านมา เพื่อชี้แจงจุดยืนของไทยถึงสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา รวมถึงแนวทางในอนาคตว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร โดยมีทั้งหมด 4 ข้อ คือ
หนึ่ง ไทยใช้เวทียูเอ็นเสนอข้อเท็จจริง รวมทั้งการหารือ 4 ฝ่าย สหรัฐฯ-มาเลเซีย-ไทย-กัมพูชา ซึ่งสหรัฐฯจัดขึ้น ทำให้ประเทศต่าง ๆ ได้รับรู้การดำเนินการอย่างมีหลักการและวุฒิภาวะของไทย
สอง ไทยต้องการเห็นทั้งสองประเทศกลับมาเป็นปกติ และพร้อมจะพูดคุยกับฝ่ายกัมพูชาเพื่อหาข้อยุติร่วมกัน แต่ต้องขอความร่วมมือกับฝ่ายกัมพูชา ในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด การถอดถอนกำลังออกจากชายแดน และการแก้ไขปัญหาสแกมเมอร์
สาม ไทยยังคงผิดหวังกัมพูชายังคงจัดฉาก เพื่อกล่าวหาว่าไทยละเมิดข้อตกลงหยุดยิงระหว่างประเทศ รวมถึงการให้ข้อมูลบิดเบือนอื่น ๆ ต่อประชาคมระหว่างประเทศ และ 4.ไทยยังคงมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาแบบสันติวิธีผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ และยังคงยืนหยัดในปกป้องอธิปไตย
นับเป็นเหรียญคนละด้านกับ “บิ๊กเล็กเด็กลุง” พล.อ.ณัฐพล นาคพานิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่เสียรังวัดไปกับเรื่องชายแดนไทย – กัมพูชา นับตั้งแต่เมื่อครั้งที่ไปตกลงเรื่องเปิดด่านจันทบุรี - ตราด ในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 มาจนถึงไอเดียกระฉูดข้อเสนอล่าสุด คือเปิดเมืองคู่แฝด “บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว - บันเตียเมียนเจย” แก้ปัญหารุกล้ำเขตชายแดนไทย-กัมพูชา จนนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ออกมาเบรกทันควัน
“ตอนนี้ยัง ตอนนี้เน้นเรื่องการรักษาอธิปไตยและดินแดนของประเทศ และดำเนินการตามกฎหมายให้เคร่งครัด ตอนนี้ยังไม่น่า อันนั้นเป็นแนวคิดเมื่อหากมีการพูดคุยได้แล้ว แต่ตอนนี้ยังพูดคุยไม่ได้ก็ยังไม่ต้องไปคิดเรื่องนั้น” นายอนุทิน ตอบชัดถ้อยชัดคำ ยังไม่คิด ยังไม่คุย
เช่นเดียวกับ “ไชยชนก ชิดชอบ” รัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่ทำเท่ห์ด้วยการออกมาเล่าว่ามีคนติดต่อเสนอติดสินบนเดือนละ 40 ล้านบาท เพื่อให้ “เกียร์ว่าง” ไม่จริงจังกับการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ คอลเซ็นเตอร์ ซึ่งมองชั้นเดียวเชิงเดียวอาจเป็นการประกาศว่าตนปฏิเสธไม่รับเงิน แต่แท้จริงแล้ว คำพูดเช่นนี้กลับสะท้อนปัญหาใหญ่ เพราะคือการยอมรับว่ามีความพยายามติดสินบนเกิดขึ้นจริง ดังนั้น จึงต้องดำเนินคดีคนที่เสนอสินบน เพราะไม่เช่นนั้นอาจเข้าข่ายมีความผิดตามกฎหมายตามมาตรา 157 ข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
เมื่อกระแสพลิกและไม่เท่ห์อย่างที่คิด เลือดเนื้อเชื้อไขของ “เนวิน ชิดชอบ” ก็จำต้อง “แก้เกี้ยว” ด้วยการสั่งปลัดตั้งคณะกรรมการสอบ ทั้งที่ความจริงคนแรกที่ต้องถูกสอบถามก็คือรัฐมนตรีเอง เพราะเป็นผู้ที่อ้างว่าถูกติดต่อ ใครเสนอ ติดต่อผ่านใคร เมื่อใด ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ต้องถูกส่งต่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่เพียงเล่าลอย ๆ
เรียกว่า งานนี้นอกจากจะไม่เท่ห์และไม่ได้โล่แล้ว ยังเข้าข่ายแฉเองจุกเองอีกต่างหาก
อย่างไรก็ดี การเร่งมือทำงานภายใต้ข้อจำกัดของเวลาเพียง 4 เดือน ของรัฐบาลนายอนุทิน ท่ามกลางโจทย์หิน ยังไม่แน่ว่าจะมีผลสัมฤทธิ์สักกี่มากน้อย ไม่เพียงแต่ด้านเศรษฐกิจการพาณิชย์ การต่างประเทศข้างต้น แต่หมายรวมถึงนโยบาย 5 ด้าน 15 นโยบายสำคัญ ที่รัฐบาลนายอนุทิน ได้แถลงต่อที่ประชุมรัฐสภา 29 กันยายน 2568 ซึ่งหลายกระทรวงสำคัญอยู่ภายใต้การบริหารของ “รัฐมนตรีโควตา” ที่น่ากังขาว่าคงไม่อาจนำพาความเจริญก้าวหน้าใด ๆ ให้เกิดขึ้นได้ ทั้งในเรื่องฝีไม้ลายมือ ไม่นับความฉาวโฉ่ที่อยู่เบื้องหลัง อย่างที่รู้ ๆ กันว่ารายชื่อ “ครม.อนุทิน 1” กว่าจะคลอดออกมาได้ก็มีปัญหาอยู่ไม่น้อย
สำหรับนโยบาย 5 ด้านดังกล่าว ประกอบด้วย ด้านเศรษฐกิจ – กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยโครงการ “คนละครึ่ง” สร้างรายได้ ลดรายจ่าย, ด้านความมั่นคง – แก้ปัญหาชายแดน สร้างสันติภาพ, ด้านสังคม – ปราบโกง ต้านพนัน รักษากฎหมาย, ด้านสิ่งแวดล้อม – ผลักดันพลังงานสะอาด สังคมคาร์บอนต่ำ และรัฐทันสมัย – ปฏิรูปกฎหมาย พัฒนารัฐบาลดิจิทัล โดยรัฐบาลชูธง “มุ่งมั่น แก้ปัญหาที่ประเทศกำลังเผชิญ วางรากฐานการพัฒนาขีดความสามารถอย่างยั่งยืน จัดทำประชามติ แก้รัฐธรรมนูญ โดยรับฟังเสียงประชาชน”
สำหรับนโยบายเศรษฐกิจระยะสั้น (Quick Win) ที่ประชาชนส่วนใหญ่ใจจดใจจ่ออยู่ในเวลานี้ นั่นคือ โครงการคนละครึ่งพลัส ที่จะคิกออฟในเร็ว ๆ นี้
“ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” ประเมินจากการแถลงนโยบายรัฐบาลชุดใหม่ โครงการคนละครึ่งพลัส คาดว่าจะใช้ได้ในช่วงเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม 2568 จะช่วยกระตุ้นการบริโภคในไตรมาสสุดท้ายของปีได้บ้าง โดยในเบื้องต้นหากวงเงินอยู่ที่ราว 6 หมื่นล้านบาท (รวมการให้เงินประชาชนทั่วไปในโครงการคนละครึ่ง 20 ล้านคน และการเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13 ล้านคน) คาดว่าจะมีเม็ดเงินใช้จ่ายเพิ่มเติมคิดเป็นราว 0.15% ของ GDP ท่ามกลาง Marginal propensity to consume (MPC) ที่มีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำจากกำลังซื้อที่อ่อนแรง
อย่างไรก็ดี ยังคงต้องรอความชัดเจนเรื่องงบประมาณ เงื่อนไขการใช้จ่าย และสิทธิประโยชน์ที่กำหนด ขณะที่แรงหนุนเพิ่มเติมต่อ GDP ในปีนี้อาจมีไม่มากนัก เนื่องจากวงเงินดังกล่าวถูกจัดสรรไว้ในงบประมาณเดิมอยู่แล้ว
ส่วนมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว รัฐบาลอาจพิจารณาออกมาตรการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว ซึ่งต้องรอรายละเอียดที่จะออกมา ผลต่อเศรษฐกิจคงขึ้นอยู่กับวงเงิน ช่วงเวลา พื้นที่และเงื่อนในการใช้จ่าย โดยการออกมาตรการในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวอาจช่วยหนุนการเข้าร่วมโครงการได้ดีกว่าในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวที่สภาพภูมิอากาศแปรปรวนอาจกระทบการพิจารณาเดินทางท่องเที่ยว
แต่การท่องเที่ยวในประเทศยังเผชิญปัจจัยกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและรายได้ รวมถึงแนวโน้มการเดินทางไปต่างประเทศของคนไทยที่ปัจจุบันมีความสะดวกและคุ้มค่ามากขึ้นจากการทำตลาดของบริษัทนำเที่ยว ขณะที่การฟื้นความเชื่อมั่นและเพิ่มการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติมีความจำเป็น แต่อาจเผชิญความท้าทายท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น
ในระยะถัดไป ด้วยข้อจำกัดของพื้นที่การคลัง (Fiscal Space) รวมถึงข้อกังวลสถานะการคลังจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating Agency) การดำเนินนโยบายทางการคลังต้องเน้นประสิทธิภาพทั้งฝั่งรายได้และรายจ่าย อีกทั้งต้องเข้มงวดกับกรอบวินัยทางการคลังมากขึ้น โดยมีแผนเพิ่มศักยภาพทางการคลัง (Fiscal Consolidation Plan) ที่ชัดเจนในการปฏิรูปโครงสร้างภาษีเพื่อเพิ่มฐานการจัดเก็บรายได้ภาษี และการใช้จ่ายงบประมาณให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
นอกจากนี้ การดำเนินนโยบายของรัฐบาลยังมีความท้าทายจากกรอบเวลาบริหารราชการในระยะสั้น ๆ ที่ต้องให้ยุบสภาภายใน 4 เดือน นับจากวันที่ 1 ตุลาคม 2568 อีกทั้งการเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยอาจส่งผลต่อการผลักดันนโยบายหลัก และการเบิกจ่ายงบประมาณตลอดช่วงการดำรงตำแหน่งรัฐบาลและช่วงรัฐบาลรักษาการ ซึ่งคาดว่าจะมีระยะเวลาทั้งสิ้นราว 8 เดือน
ภายใต้กรอบเวลาสั้น ๆ รัฐบาลมีอีกเครื่องมือในการประคองเศรษฐกิจโดยการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณโดยเฉพาะงบลงทุน โดยการเบิกจ่ายในไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ 2568 (เดือนมิถุนายน – กันยายน) ชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนหนึ่งเกิดจากช่วงการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง ส่งผลให้ ณ วันที่ 26 กันยายน 2568 การเบิกจ่ายงบลงทุนอยู่ที่ 60% ต่ำกว่าปีงบประมาณ 2567 ซึ่งอยู่ที่ 65% ขณะที่การเบิกจ่ายงบประมาณในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2569 มีแนวโน้มจะต่ำกว่าปีก่อนจากปัจจัยฐานสูงจากความต่อเนื่องของการเร่งรัดการเบิกจ่ายหลังงบประมาณปี 2567 อนุมัติล่าช้า
จากการวิเคราะห์ของ “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” ส่งสัญญาณว่ารัฐบาลคงทำอะไรไม่ได้มาก และการดำเนินนโยบายเต็มไปด้วยข้อจำกัด ท่ามกลางแรงกดดันรอบด้าน รวมทั้งค่าบาทแข็งที่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและการส่งออก ขณะที่กำลังซื้อในประเทศของประชาชนหดหายตามสภาพเศรษฐกิจ
นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สส. แบบบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน อภิปรายว่าคำแถลงนโยบายของรัฐบาลอยู่ในแพตเทิร์นเดิม แต่ไม่ได้คาดหวังกับรัฐบาลที่มีเวลาบริหารประเทศเพียงแค่ 4 เดือน เอาเป็นว่าบริหารแบบประคับประคองจนถึงการเลือกตั้ง เน้นแก้ไขปัญหาเร่งด่วนเฉพาะหน้า ไม่สร้างทำอะไรให้เกิดความเสียหาย ไม่ใช้โอกาสหากินกับภาษีประชาชนก็ถือว่าใช้ได้
ส่วนโครงการคนละครึ่ง และเติมเงินใส่บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หากถามว่าลดค่าครองชีพได้หรือไม่ ก็ลดได้ แต่ทั้งสองโครงการสามารถซื้อเสียงล่วงหน้าได้
นั่นแหละคือเป้าหมายที่แท้จริงของ “รัฐบาลฟาสต์ฟู้ด” ที่มีอายุเพียง 4 เดือน