ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - แพลตฟอร์ม “Ride Hailing” หรือ “แอปฯ เรียกรถ” เมืองไทย ปี 2567 มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 1.33 พันล้านเหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 4.2 หมื่นล้านบาท) เรียกว่าสร้างโอกาสทางอาชีพสร้างรายได้ครัวเรือนหลายหมื่นล้าน และภายใต้ “กฎหมาย DPS” ซึ่งมีผลบังคับใช้ 2 ต.ค. 2568 เสทือนกลุ่มแรงงานแพลตฟอร์ม “ไรเดอร์ - ไดรเวอร์” คาดการณ์จำนวนมากอาจหลุดออกนอกระบบ ส่งสัญญาณธุรกิจ Ride Hailing สะดุด...หรือไม่!?
สืบเนื่องจากประกาศคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง การดำเนินการอื่นสำหรับผู้ประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ประเภทบริการรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์รับจ้างโดยสารสาธารณะ ที่มีลักษณะเฉพาะตามมาตรา 18(3) แห่งพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) การประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ต้องแจ้งให้ทราบ พ.ศ. 2565 หรือ “กฎหมาย DPS” (Digital Platform Services) โดยประกาศดังกล่าวได้ลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 4 ก.ค. 2568 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 2 ต.ค. 2568 เป็นต้นไป
สาระสำคัญ ระบุว่า “ผู้ให้บริการประเภทรับ-ส่งคน ทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ทุกท่าน จะต้องมีใบขับขี่สาธารณะ” และ “ผู้ให้บริการต้องนำรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ไปจดทะเบียนเป็น รถรับจ้างสาธารณะ รย.17 (รถจักรยานยนต์) หรือ รย.18 (รถยนต์)” หากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขจะถูกระงับบัญชีไม่สามารถให้บริการผ่านแอปฯ เรียกรถได้อีกต่อไป
เป็นที่น่าจับตา สำหรับนโยบายกรมการขนส่งทางบก (DLT) และสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ในการยกระดับมาตรฐานการให้บริการเรียกรถรับจ้างผ่านแอปพลิเคชั่น (Ride-Hailing) กาารเข้ามากำกับธุรกิจแพลตฟอร์ม Ride Hailing นับเป็นความท้าทายของภาครัฐ
อีกทั้งนำมาซึ่งสารพันปัญหาโดยเฉพาะในมิติของกลุ่มแรงงานแพลตฟอร์ม “ไรเดอร์ - ผู้ขับรถมอเตอร์ไซค์” และ “ไดรเวอร์ – ผู้ขับรถยนต์” ซึ่งอยู่ภายใต้วิบากกรรม “แพลตฟอร์มกดขี่ - กฎหมายกดทับ” เผชิญปัญหาสะสมโดยเฉพาะเรื่องค่ารอบต่ำไม่สอดคล้องกับสภาพการจราจร และการแบกรับต้นทุนและความเสี่ยงต่างๆ ด้วยตนเองทั้งหมด เพราะแพลตฟอร์มเป็นเพียงผู้ให้บริการซึ่งดำเนินธุรกิจในลักษณะหักค่าคอมมิชชั่นจากรายได้ของผู้ขับขี่เท่านั้น ตลอดจนการนำ Ride Hailing กำกับภายใต้กฎหมาย สร้างเงื่อนไขกลายมาเป็นอุปสรรคในการประกอบอาชีพ
จันต์สุดา ธนานิตยะอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย เปิดเผยภาพรวมการดำเนินผลักดันให้พาร์ทเนอร์คนเข้าสู่ระบบกฎหมาย เบื้องต้นคนขับส่วนใหญ่มีใบขับขี่สาธารณะแล้ว แต่การนำรถไปจดทะเบียน รย.18 ยังถือเป็นความท้าทายของทั้งอุตสาหกรรม และประเด็นสำคัญซึ่งมาจากเสียงสะท้อนของกลุ่มคนขับ คือ เงื่อนไขและกระบวนการบางขั้นตอนที่ไม่เอื้อต่อการจดทะเบียน โดยเฉพาะประเด็นการครอบครองรถ ซึ่งผู้จดทะเบียนต้องเป็นเจ้าของรถเท่านั้น โดยมีคนขับจำนวนมากยังติดไฟแนนซ์อยู่ อีกทั้ง คนขับจำนวนหนึ่งเช่ารถจากบริษัทปล่อยเช่าเพื่อให้บริการรับ-ส่งผู้โดยสาร
เหล่านี้เป็นข้อจำกัดส่งผลต่อการตัดสินใจของคนขับในการนำรถไปจดทะเบียนรถสาธารณะ ดังนั้น หากมีการผ่อนปรนเงื่อนไขอาจส่งเสริมให้คนขับสามารถเข้าระบบได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้ง ส่งเสริมการสร้างอาชีพเพื่อให้คนไทยสามารถเข้าถึงแหล่งรายได้มากขึ้น
อย่างไรก็ดี ข้อมูลจากสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย ระบุว่าโดยหลักการทั่วไปลูกค้าที่ทำสัญญาเช่าซื้อกับผู้ประกอบการไฟแนนซ์และยังผ่อนอยู่ และต้องการนำรถยนต์ไปสมัครให้บริการแอปพลิเคชั่นสามารถทำได้ แต่จะต้องมีขั้นตอนกระบวนการตามสถาบันการเงินหรือไฟแนนซ์ รวมทั้ง มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข
สำหรับผู้ประกอบการแพลตฟอร์ม Grab ดำเนินโครงการสนับสนุนคนขับ Grab ให้จดทะเบียนรถรับจ้างสาธารณะผ่านแอปฯ ตั้งแต่ปี 2565 จูงใจด้วยอินเซนทีฟและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ซึ่งปัจจุบันมีคนขับทั่วประเทศที่มีใบขับขี่สาธารณะแล้วหลายหมื่นคนแล้ว
ขณะที่ อิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์ รองประธานฝ่ายนโยบายสาธารณะและรัฐกิจสัมพันธ์ LINE MAN Wongnai เปิดเผยว่าทางบริษัทตอบรับนโยบายภาครัฐในการยกระดับมาตรฐานการให้บริการ Ride-Hailing ในประเทศไทย โดยส่งเสริมให้คนขับที่ให้บริการบนแพลตฟอร์มปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายอย่างถูกต้อง ทั้งจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นและส่งเสริมให้คนขับไปทำใบขับขี่สาธารณะและจดทะเบียน รย.18 อย่างต่อเนื่อง สนับสนุนให้คนขับปรับตัวและปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างราบรื่น พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ของการให้บริการ Ride-Hailing โดยปัจจุบันมีคนขับในระบบของ LINE MAN RIDE ที่มีใบขับขี่สาธารณะแล้วประมาณ 10,000 คน
ประเด็นที่น่าสนใจ แอปฯ เรียกรถเป็นธุรกิจเกิดใหม่ในยุค Gig Economy หรือการรับจ้างอิสระ ทำงานเป็นช่วงสั้นๆ มีความยืดหยุ่นสูง จึงทำให้คนที่เข้ามาขับรถในแอปส่วนใหญ่เป็นกลุ่มพาร์ทไทม์ที่ต้องการเข้ามาหารายได้เสริมจากงานประจำ คนขับส่วนนี้อาจหายไปจากระบบเพราะมองว่าไม่คุ้มค่าด้วยประการทั้งปวง
ข้อมูลจาก LINE MAN ระบุว่ากลุ่มพาร์ทไทม์ส่วนใหญ่ขับวันละไม่กี่ชั่วโมง มีความกังวลเรื่องการนำรถไปจดทะเบียนสาธารณะ ซึ่งมองว่าจะมีผลกับการประเมินราคาในอนาคต ทำให้รถราคาตก อีกทั้ง มีค่าใช้จ่ายต่างๆ เพิ่มขึ้น และไม่คุ้มค่ากับรายได้เสริมที่คาดหวังไว้
วงเสวนาเรื่อง “นิยามใหม่ของสังคม : พลิกโฉมประเทศไทยด้วยเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม” จัดโดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) สะท้อนบทบาทของธุรกิจแพลตฟอร์มส่งผลต่อรูปแบบการทำงานในอนาคต กล่าวสำหรับ กลุ่ม Gig Worker โดยยกกรณีศึกษาของแอปพลิเคชัน Grab ซึ่งแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ครอบคลุมหลายบริการ โดยพบว่าสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 1.79 แสนล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 1%ของ GDP ประเทศไทย
ดร.นณริฎ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโสจาก TDRI เปิดเผยผลกระทบเชิงบวกทางเศรษฐกิจของแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยยกกรณีศึกษาของแอปพลิเคชัน Grab ซึ่งเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่มีกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การเดินทาง สั่งอาหาร และขนส่ง โดยมีบทบาทในการสร้างประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมให้กับเศรษฐกิจไทย รวมถึงการสร้างรายได้และโอกาสทางอาชีพใหม่ๆ ให้กับผู้ประกอบการรายย่อยและแรงงานอิสระ
อ้างอิงข้อมูลปี 2566 พบว่ากิจกรรมในวงจรธุรกิจของ Grab ได้สร้างผลกระทบเชิงบวกทางเศรษฐกิจ (Economic Impact) ซึ่งมีมูลค่า 1.79 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 1 เปอร์เซ็นต์ของ GDP ไทย ช่วยสร้างงานกว่า 280,000 ตำแหน่ง และรายได้ครัวเรือนราว 2.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าแพลตฟอร์มดิจิทัลมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในระดับมหภาค
ขณะที่ รศ.ดร.ดนุวัศ สาคริก จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) อธิบายบทบาทของแพลตฟอร์มดิจิทัลโดยเน้นไปที่ระบบเศรษฐกิจแบบกิ๊ก (Gig Economy) โดยพิจารณา 4 องค์ประกอบหลัก (หรือ 4P) อันได้แก่ แพลตฟอร์ม (Platform) ผู้ใช้บริการ (People) พันธมิตร (Partner) และหน่วยงานภาครัฐ (Public Sector) และได้พัฒนาออกมาเป็นต้นแบบของนโยบาย โดยเสนอแนะเชิงนโยบายต่อรัฐให้มุ่งส่งเสริมการแข่งขัน หรือการตลาดแบบเสรีควบคู่กับการสนับสนุนให้กลุ่มแรงงานอิสระสามารถเข้าถึงหลักประกันพื้นฐานทางสังคมของภาครัฐอย่างทั่วถึงและเป็นธรรมเพื่อสร้างสมดุล และความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะกลางถึงยาวอย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ดี แพลตฟอร์ม Ride Hailing หรือ แอปฯ เรียกรถ เป็นธุรกิจเกิดใหม่ในยุค Gig Economy หัวใจสำคัญ คือ การรับจ้างอิสระ ทำงานเป็นช่วงสั้นๆ และมีความยืดหยุ่นสูง
ดังนั้น การเข้ามากำกับมาตรการบริการของรัฐภายใต้กฎหมายที่ข้อกำหนดเงื่อนไขอันอาจเป็นอุปสรรคของแรงงานกลุ่มนี้ เป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาติดตามผลักดันให้คนทำงานเข้าถึงระบบ เพราะพวกเขาล้วนเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม.