คนแคระบนบ่ายักษ์
ไชยันต์ ไชยพร
อะไรคือ สาเหตุของที่ทำให้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สวีเดนมีอายุขัยเพียง 38 ปี ?
ได้กล่าวถึงสาเหตุบางประการไปในตอนที่แล้ว ในตอนนี้จะขอกล่าวต่อไป
เงื่อนไขที่กล่าวไปในตอนที่แล้วถือเป็นเงื่อนไขที่พิเศษยิ่งและยากที่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆในการเมืองการปกครองที่ใดก็ตาม ไม่จำเพาะแต่สวีเดนที่ผู้คนไม่พอใจระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และขณะเดียวกันที่พระมหากษัตริย์ทรงเสด็จสวรรคตกะทันหันโดยไม่มีพระราชโอรสและพระราชธิดา และแน่นอนว่า ภายใต้เงื่อนไขดังกล่าวนี้ สภาฐานันดรแห่งอาณาจักรจึงต้องรีบฉกฉวยที่จะยืนยันและฟื้นคืนอำนาจของตนกลับคืนมา เพราะปัญหาเร่งด่วนที่สุดเฉพาะหน้าขณะนั้น คือ การสืบราชสันตติวงศ์ และสภาฐานันดรเท่านั้นที่จะเป็นองค์ประชุมที่ตัดสินใจให้ผู้ใดได้ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์สวีเดนต่อจาก พระเจ้าชาร์ลสที่สิบสอง (Charles XII) ที่ทรงเสด็จกะทันหันและไม่มีพระราชโอรสและพระราชธิดา
คำถามคือ ใครจะเป็นผู้สืบราชสันตติวงศ์ ?
ในสภาวะที่ราชบัลลังก์ว่างลงและไม่มีองค์รัชทายาทที่เป็นสายตรงของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบสอง (Charles XII) แน่นอนว่า ย่อมเกิดการเคลื่อนไหวในบรรดาบุคคลในพระบรมวงศานุวงศ์ที่จะมีสิทธิ์ในการสืบราชสันตติวงศ์ในลำดับถัดไป หนึ่งในนั้นคือ เจ้าหญิง อุลริจกะ เอเลียวนอรา (Ulrika Eleonora ผู้ซึ่งเป็นพระราชธิดาพระองค์เล็กสุดของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ด (Charles XI) และเป็นพระขนิษฐภคินีของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบสอง พระองค์ได้ทรงอ้างสิทธิ์ในการขึ้นครองราชย์ต่อจากพระเชษฐาโดยทันที เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบเหนือ ชาร์ลส เฟดริคพระโอรสของเจ้าหญิงเฮด์วิก โซเฟีย (Hedvig Sophia) พระราชธิดาพระองค์โตของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบสอง และเป็นพระเชษฐภคินีผู้ล่วงลับไปแล้วของทั้งพระเจ้าชาร์ลสที่สิบสอง และทำให้ชาร์ลส เฟรดริค ทรงเป็นผู้มีสิทธิ์ตามสายโลหิตในการสืบบัลลังก์เช่นกัน
แต่ชาร์ลส เฟรดริค มีสถานะที่ได้เปรียบกว่าเจ้าหญิงอุลริจกะ เมื่อพิจารณาตามกฎมณเฑียรบาลในเรื่องสถานะทางเพศ อีกทั้ง ชาร์ลส เฟรดริค ยังเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ที่พระเจ้าชาร์ลสที่สิบสองทรงโปรดมากและเป็นพระโอรสของพระขนิษฐาที่พระองค์ทรงโปรดมากที่สุดด้วย แต่เจ้าหญิงอุลริจกะ เอเลียวนอราทรงยืนยันว่าพระองค์เป็นพระบรมวงศานุวงศ์ที่ยังทรงพระชนม์อยู่ที่มีสายพระโลหิตใกล้ชิดพระมหากษัตริย์พระองค์ก่อนมากที่สุด และทรงอ้างถึงกรณีที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นั่นคือ กรณีของ สมเด็จพระราชินีคริสตินา ที่ทรงขึ้นครองราชย์ระหว่าง ค.ศ. 16336-1654) ด้วยเงื่อนไขที่คล้ายคลึงกัน นั่นคือสิทธิ์ของสตรีในการขึ้นครองบัลลังก์สวีเดนที่ได้รับการยอมรับมาตั้งแต่ ข้อตกลงนอร์กอพิง ค.ศ. 1604 (the Norrkoping Agreement 1604)
แต่กระนั้น “กฎมณเฑียรบาล” ดังกล่าวได้กำหนดให้เฉพาะเจ้าหญิงที่ไม่ยังไม่ได้เข้าพิธีเษกสมรสเท่านั้น แต่ เจ้าหญิงอุลริจกะไม่เพียงจะเษกสมรสแล้ว การเษกสมรสของพระองค์ก็ไม่ผ่านการปรึกษากับสภาฐานันดร (Riksdag) อีกทั้งพระสวามีของพระองค์ เฟรดริค แห่ง เฮสเซ (Fredrick of Hesse) ก็ไม่ได้ทรงนับถือศาสนาคริสต์นิกายลูเธอรันด้วย แต่นับถือคาลวินนิสม์
อย่างไรก็ตามในขณะที่พระเจ้าชาร์ลสที่สิบสองถูกยิงบาดเจ็บในสงครามจนถึงสิ้นพระชนม์กะทันหัน เฟรดริค แห่ง เฮสเซได้ทรงอยู่ใกล้ชิดกับกองทัพสวีเดนในสถานการณ์ดังกล่าว เฟรดริค แห่ง เฮสเซ ได้ชื่อว่าเป็นบุคคลที่เจ้าเล่ห์และทรงชั้นเชิงทางการเมือง พระองค์จึงทรงรีบดำเนินการส่งสารอย่างรวดเร็วไปถึงเจ้าหญิงอุลริจกะ ที่สตอกโฮลมโดยทันที และบุคคลที่ เฟรดริค แห่ง เฮสเซ เห็นว่าจะเป็นอุปสรรคสำคัญอย่างยิ่งต่อการขึ้นครองบัลลังก์ของพระมเหสีของพระองค์คือ บารอน จอร์จ เฮนริค กอร์ทส (Baron Georg Henrik Gortz) ผู้ซึ่งพระองค์ทรงมีความเกลียดชังอยู่ก่อนแล้ว
กอร์ทส เป็นชาวโฮลสไตน์ (Holsteiner) และเป็นที่ปรึกษาที่สามารถและชาญฉลาดและมีอิทธิพลต่อการกำหนดตัวผู้ที่จะสืบราชสันตติวงศ์ เพราะเป็นผู้ที่ใกล้ชิดพระเจ้าชาร์ลสที่สิบสองและได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่ในตำแหน่งที่เทียบได้กับ “นายกรัฐมนตรี” ในปัจจุบัน
อีกทั้ง กอร์ทส ยังมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับชาร์ลส เฟรเดอริคแห่งโฮลสไตน์-กอร์ททอบ (Holstein-Gottorp) จากการที่เขาเป็นชาวโฮลสไตน์ และชาร์ลส เฟรเดอริค ทรงเป็นเจ้าชายแห่งแคว้นดังกล่าว และในช่วงก่อนที่พระเจ้าชาร์ลสที่สิบสองจะเสด็จสวรรคต กอร์ทสมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุน ชาร์ลส เฟรดริค (พระราชนัดดาของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบสอง คู่แข่งของเจ้าหญิงอุลริจกะให้ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์สวีเดนต่อจาก พระเจ้าชาร์ลสที่สิบสอง ซึ่งพระเจ้าชาร์ลสที่สิบสอง ก็ได้ทรงให้ความไว้วางพระทัยต่อ ชาร์ลส เฟรดริคด้วย
นอกจากนี้ กอร์ทส ยังได้ทำการเจรจาลับกับพระเจ้าปีเตอร์มหาราชแห่งรัสเวีย (Peter the Great) เพื่อสนับสนุนการอ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์ของชาร์ลส เฟรดริค รวมถึงเสนอให้ชาร์ลส เฟรดริค แต่งงานกับธิดาของพระเจ้าปีเตอร์มหาราชอีกด้วย และจากการสนับสนุนของกอร์ทส ผู้ที่เป็นที่ปรึกษาใกล้ชิดของทั้งพระเจ้าชาร์ลสที่สิบสองและทั้งชาร์ลส เฟรเดอริคแห่งโฮลสไตน์- กอร์ททอบ กอปรกับสถานะเพศชายของพระองค์ ชาร์ลส เฟรดริค จึงทรงเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ที่มีสถานะความเป็นไปได้อย่างยิ่งในฐานะองค์รัชทายาทแห่งบัลลังก์สวีเดน
ดังนั้น เฟรดริคแห่งเฮสเซ จึงได้รีบดำเนินการกำจัดกอร์ทส เพื่อให้ราชบัลลังก์เป็นของเจ้าหญิงอุลริจกะ โดยจากสถานการณ์ในสมรภูมิรบ หลังจากที่พระเจ้าชาร์ลสที่สิบสอง สิ้นพระชนม์กะทันหัน บรรดานายพลทั้งหลายได้ประชุมกันในสภาสงครามเพื่อจะตัดสินใจว่าจะยกระดับการปิดล้อมพื้นที่บริเวณ Fredrikshald
กอร์ทสผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญสูงสุดและเป็นที่ปรึกษาพระเจ้าชาร์ลสที่สิบสองได้กำลังเดินทางมายังศูนย์บัญชาการ และในการช่วงชิงการขึ้นสืบราชสันตติวงศ์ของทางฝ่ายเจ้าหญิงอุลริจกะ Ulrika ได้ออกคำสั่งให้จับกุมตัวกอร์ทสไว้ ชาวโฮลสไตน์ในสวีเดนจำนวนมากถูกจับกุมตัว ส่วนกอร์ทสถูกกล่าวหาว่า ทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาในพระเจ้าชาร์ลสที่สิบสอง อีกทั้ง เฟดริคแห่งเฮสเซยังได้ทรงจัดสรรเงินให้กับบรรดานายทหารที่ทำหน้าที่ในสงคราม เพื่อตัดช่องทางที่กอร์ทสจะเข้าถึงกองทัพ และจากการจัดสรรเงินให้แก่กองทัพ ทำให้พระองค์ทรงได้การสนับสนุนจากบรรดานายพลทหารต่อการขึ้นครองราชย์ของเจ้าหญิงอุลริจกะ
ในส่วนของเจ้าหญิงอุลริจกะ จากการได้รับข่าวการเสด็จสวรรคตของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบสองอย่างรวดเร็วผ่านพระสวามีของพระองค์ ทำให้พระองค์สามารถออกพระองค์ได้เร็วในการกล่าวอ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์สวีเดน ทำให้พระองค์มีสถานะที่ได้เปรียบ กระนั้น พระองค์ก็ต้องทรงผิดหวัง เพราะพระองค์ไม่สามารถได้รับการยอมรับในสิทธิ์ทางสายโลหิตของพระองค์อย่างไม่มีข้อสงสัยกังขาใดๆ เพราะชาร์ลส เฟอดริก ผู้มีศักดิ์เป็นพระนัดดาของพระองค์เอง (ในฐานะหลานน้าสาว) และเป็นพระราชนัดดาของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบสอง (ในฐานะหลานน้าชาย) ก็มีสิทธิ์ตามสายโลหิตด้วยเช่นกัน อีกทั้งตัวของพระองค์เองก็ยังมีพระสวามีแล้ว ซึ่งไม่ต้องตรงตามเกณฑ์ในกฎมณเฑียรบาล
ขณะเดียวกัน ชาร์ลส เฟอดริกผู้มีสิทธิ์ในการสืบราชสันตติวงศ์ แม้ว่าขณะนั้นพระองค์จะทรงอยู่กับกองทัพก็ตาม แต่ด้วยพระองค์ยังทรงพระเยาว์และอ่อนประสบการณ์ และบุคลิกภาพไม่เข้มแข็งมั่นคง ทำให้มีผู้สนับสนุนน้อย
พระองค์ได้สูญเสียความมั่นใจและเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกเมื่อทราบข่าวการสวรรคตของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบสอง ความตื่นกลัวของพระองค์น่าจะรวมถึงการทราบข่าวการถูกจับกุมตัวกอร์ทส ด้วย เพราะการจับกุมตัวกอร์ทสแสดงให้เห็นว่า พระองค์ทรงเป็นเป้าหมายสำหรับฝ่ายเจ้าหญิงอุลริจกะ ในฐานะที่เป็นคู่แข่งในการชิงราชบัลลังก์---- และจากสถานการณ์ดังกล่าวจึงทำให้พระองค์ไม่ทรงเคลื่อนไหวใดๆ ที่จะกล่าวอ้างสิทธิ์ในการสืบบัลลังก์อีกต่อไป
แต่เฟดริคแห่งเฮสเซหารู้ไม่ว่า ความพยายามในการสนับสนุนให้เจ้าหญิงอุลริจกะขึ้นครองบัลลังก์สวีเดนนั้นได้กลายเป็นเงื่อนไขที่นำมาซึ่งอวสานของสมบูรณาญาสิทธิราชย์สวีเดน
(โปรดติดตามตอนต่อไป)