คณะกรรมการรางวัลโนเบลถือเป็นธรรมเนียมที่จะประกาศรายชื่อผู้ได้รับรางวัลในสองอาทิตย์แรกของเดือนตุลาคม และจะทำพิธีมอบรางวัลในวันที่ 10 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันคล้ายวันอสัญกรรมของผู้ก่อตั้งรางวัลคือ อัลเฟรด โนเบล...โดยปีนี้จะประกาศในช่วงวันที่ 6 จนถึง 13 ตุลาคม...ซึ่งรางวัลโนเบลสันติภาพจะประกาศในวันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม
ปรากฏว่า ในการประชุมสมัชชาใหญ่องค์การสหประชาชาติในปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ปธน.ทรัมป์ ได้อวดสรรพคุณผลงานของตัวเองในการสร้างสันติภาพ (คือการระงับการหยุดยิง-ทั้งชั่วคราวและถาวร) ถึง 7 ครั้งในรอบ 8 เดือนที่เข้ามารับตำแหน่ง-โดยเน้นว่า การทำให้เกิดสันติภาพโดยการหยุดยิงระหว่างสองประเทศคู่อริหรือคู่สงคราม ก็จะเป็นการช่วยรักษาชีวิตของทหารทั้งสองฝ่าย ไม่ต้องมีการสูญเสียท่ามกลางการห้ำหั่นในการรบ รวมทั้งชีวิตของพลเรือนที่ต้องสูญเสียท่ามกลางสงครามเป็นจำนวนมหาศาล ตลอดจนผู้บาดเจ็บพิการอีกมากมายในการสู้รบด้วย
หนึ่งในการระงับการรบกันก็คือ ระหว่างไทยและเขมรนั่นเอง
เขาไม่ลืมเน้นว่า แค่การหยุดยิงเพียงเหตุการณ์เดียว ก็เหมาะสมสำหรับการได้รับรางวัลสันติภาพโนเบลแล้ว (คงหมายถึงในอดีต ที่รางวัลนี้ได้มอบให้แก่บุคคลที่หยุดเพียงสงครามเดียวเช่น ดร.คิสซินเจอร์ ที่นำสันติภาพมาสู่สงครามเวียดนาม เป็นต้น)
หลังจากกล่าวคำปราศรัยที่สมัชชาใหญ่สหประชาชาติได้ไม่กี่วัน ทรัมป์ก็ได้ต้อนรับนายกฯ อิสราเอลที่ทำเนียบขาว หลังจากนายกฯ เนทันยาฮู ได้ไปกล่าวปราศรัยที่สมัชชาใหญ่ยูเอ็นเรียบร้อยแล้ว การพบกันครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 4 ที่เนทันยาฮูมาทำเนียบขาว (ในเวลาแค่ 8 เดือน! นับว่าถี่มาก) เพราะทรัมป์จะต้องทั้งขู่ทั้งปลอบเนทันยาฮูเพื่อหาทางสงบศึกที่กาซา...จนเกิดแผน 20 ข้อที่ทรัมป์ได้รีบจัดทำขึ้น และกดดันให้เนทันยาฮูรับแผนนี้ให้ได้-โดยแผนนี้จัดทำขึ้นโดยทีมของทรัมป์นำโดยที่ปรึกษาพิเศษสตีฟ วิทคอฟฟ์ (เพื่อนนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของทรัมป์ที่นิวยอร์ก และเป็นเพื่อนก๊วนกอล์ฟของทรัมป์) ซึ่งเป็นคนยิวด้วย และมีตำแหน่งเป็นถึงทูตพิเศษประจำตะวันออกกลาง (และช่วยเจรจากับรัสเซียเรื่องยูเครนด้วย!! เป็นทูตแบบเหมารวมในทุกๆ เรื่อง เพราะทรัมป์ไว้ใจเป็นพิเศษ)-และมีการเรียกตัวลูกเขย (ที่เคยเป็นคนโปรดของทรัมป์) นายจาเร็ด คุชเนอร์-สามีของอีวองกา ทรัมป์-ให้กลับมาช่วยดูแลเรื่องข้อตกเสนอ 20 ข้อเพื่อสงบศึกที่กาซานี้ด้วย
แผนนี้เป้าหมายคือ ให้ฮามาสต้องยอมปล่อยตัวประกัน (ที่ยังมีชีวิตอยู่-และศพของตัวประกัน) คืนแก่อิสราเอลอย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆ-พร้อมฮามาสต้องวางอาวุธทั้งหมด-เพื่อแลกกับนักโทษปาเลสไตน์ที่ถูกจับทุกข์ทรมานอยู่ในคุกของอิสราเอล (มีบางประเภทระดับหัวหน้าที่มีโทษประหารชีวิต; ยังมีทั้งเด็กหญิงปาเลสไตน์ที่ถูกจับทั้งที่กาซาและเวสต์แบงก์จำนวนมาก)-โดยนักรบฮามาสจะได้รับการอภัยโทษ-ให้เลือกว่าจะเดินทางออกไปจากกาซาก็ได้-และเมื่อฮามาสปล่อยตัวประกันออกมาหมดแล้ว ทางฝ่ายอิสราเอลถึงจะปล่อยนักโทษปาเลสไตน์-โดยกองกำลัง IDF จะทยอยถอนกำลังออกจากกาซา (ไม่มีรายละเอียดการถอนทหาร IDF หรือกำหนดเวลาตายตัว)
ที่สำคัญคือ จะมีปธน.ทรัมป์นั่งเป็นประธานของคณะที่จะดูการแลกเปลี่ยนตัวประกัน/นักโทษในครั้งนี้ พร้อมมีอดีตนายกฯ โทนี แบลร์ เป็นผู้คอยดูแลเพื่อการฟื้นฟูกาซาหลังเสร็จสิ้นการวางอาวุธ
ข้อเสนอ 20 ข้อนี้ เห็นชัดว่าฝ่ายฮามาสเสียเปรียบอย่างมาก-แต่เพราะขณะนี้ก็ถึงกำหนด 2 ปีแล้วหลังการถล่มกาซา (และเวสต์แบงก์) จนกาซากลายเป็น “ยุคหิน” หรืออย่างที่นายกฯ หญิงแห่งเกาะบาร์เบโดสได้แถลงที่สมัชชาใหญ่ยูเอ็นว่า มีบางประเทศได้ทำให้เกิด “ทะเลทราย” ขึ้นมา (จากการทำลายล้างสิ่งปลูกสร้างและสิ่งมีชีวิตทั้งมวล) และเรียกการกระทำดังกล่าวนี้ว่า “เพื่อสร้างสันติภาพ!!” ซึ่งหมายถึงเมืองในกาซาต้องถูกทำลายสิ้นให้เป็นทะเลทราย เพื่อให้เกิดสันติภาพนั่นเอง
เป็น 2 ปีเต็ม (จาก 7 ตุลาคม 2566) ที่อิสราเอลถล่มทุกวันแบบฆ่าล้างเผาพันธุ์ไม่ให้เหลือสิ่งมีชีวิตอยู่ต่อไป
และอีก 10 วันก็จะเป็นวันประกาศรางวัลโนเบลสันติภาพ-ทรัมป์จึงรีบเสนอแผนนี้อย่างปุบปับ และแทบทุกคนมองเห็นว่า มันก็เหมือนกับข้อเสนอของอดีตปธน.ไบเดนเมื่อ 9 เดือนที่แล้วนั่นแหละ เพียงแต่มาปัดฝุ่นใหม่และเรียบเรียงจนขยายเป็น 20 ข้อ ทั้งๆ ที่รายละเอียดยังหาได้ยากมากในแผนนี้
เนทันยาฮูอาจอยากช่วยทรัมป์เพื่อได้รับรางวัลโนเบลสันติภาพ-เพราะทรัมป์ยังไม่สามารถทำตามข้อหาเสียงที่เขาสามารถหยุดสงครามที่ยูเครนได้ใน 24 ชม.-และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่กาซา ก็ขยายตัวไปถึงกองทัพอิสราเอลบุกโจมตีทั้งฐานพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน-และการโจมตีใจกลางเมืองโดฮา เด็ดหัวผู้นำฝ่ายการเมืองของฮามาสที่สำนักงานการเมืองของฮามาสที่นั่น-ซึ่งทำให้ฝ่ายอาหรับใน GCC, สันนิบาตอาหรับและกลุ่มองค์กรมุสลิมทั่วโลก ได้รวมตัวกันออกมาประณามอิสราเอลอย่างหนัก
แม้ฮามาสจะอยากให้มีการแลกเปลี่ยนปล่อยตัวประกัน โดยหัวหน้าระดับนำของฮามาสถูกขังทุกข์ทรมานในคุกอิสราเอล รวมทั้งเด็กเล็กและผู้หญิงปาเลสไตน์ที่ถูกเหวี่ยงแหจับเป็นหลายพันคนอยู่ในคุกทรมานของอิสราเอล-แต่ฮามาสก็คงจะรับข้อเสนอ 20 ข้อของทรัมป์ได้ยากยิ่ง เพราะฮามาสจะไม่เหลืออะไรไว้ต่อรองและเป็นหลักประกันว่า ทรัมป์และกลุ่มผู้ดูแลกาซาหลังจากฮามาสยอมวางอาวุธแล้ว จะไม่ถูกอิสราเอลเข้าครอบครองเหมือนในแผนที่รัฐมนตรีสองคนของเนทันยาฮู (รมต.คลัง และรมต.กระทรวงความมั่นคง) ได้ประกาศหนักแน่นว่า กาซาจะต้องถูกยึดครองโดยอิสราเอลเท่านั้น (น่าจะเหมารวมถึงเวสต์แบงก์และนครเยรูซาเลมด้วย)
ความไว้วางใจของฮามาส (รวมถึงฝ่ายประเทศอาหรับ) ต่อทรัมป์นั้นมีน้อยมาก-รวมถึงการตลบตะแลงชั้นเซียนของเนทันยาฮูก็เป็นที่ประจักษ์เสมอมา จนไม่น่าไว้วางใจว่า ฝ่ายฮามาสจะถูกหลอกให้ยอมวางอาวุธ-แล้วในที่สุด ชาวปาเลสไตน์ก็จะถูกกวาดออกไปให้พ้นจากกาซาทั้งหมด!! หรือที่เหลือทนอยู่ในกาซา ก็ไม่ต่างกับเป็นทาสของอิสราเอลเหมือนอดีต 80 ปีที่ผ่านมานั่นเอง
เนทันยาฮูได้กล่าวสรรเสริญทรัมป์กับแผนเลอเลิศ 20 ข้อนี้และพร้อมจะนำข้อเสนอนี้ผ่าน ครม.ของอิสราเอล (แต่นักวิเคราะห์หลายคนไม่เชื่อว่า เนทันยาฮูจะนำทั้ง 20 ข้อเสนอเข้า ครม.-คงเลือกแต่ข้อการแลกเปลี่ยนตัวประกันเป็นหลัก-ไม่ให้น้ำหนักกับการถอนทหาร IDF ออกจากกาซา)
เมื่อถูกนักข่าวถามว่า อิสราเอลจะยอมรับรัฐปาเลสไตน์หรือไม่ เนทันยาฮูตอบก่อนบินกลับอิสราเอลว่า “เป็นไปไม่ได้ และเรื่องรัฐปาเลสไตน์ก็ไม่ได้อยู่ในข้อเสนอ 20 ข้อของทรัมป์อีกด้วย”
นับเป็นข้อเสนอจากทรัมป์ที่ดูรีบร้อน และสุกเอาเผากินอย่างที่ฮามาสจะคงไม่ยอม-ซึ่งเนทันยาฮูก็จะใช้เป็นเหตุผลข้ออ้างว่า เมื่อฮามาสไม่ยอมตกลง เขาก็ไม่ตกลงเช่นกัน-โดยจะตะลุยบุกยึดครองทุกตารางนิ้วของกาซาต่อไป เพื่อให้กาซากลายเป็นทะเลทรายปราศจากสิ่งมีชีวิตอย่างแท้จริง เพื่ออิสราเอลจะได้เข้าครอบครองอย่างง่ายดายต่อไป