xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

จาก “สายตะกู” ถึง “ทมอดา” บูรพากาสิโน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -กรณี “กาสิโนทมอดา(Thmor Dar Diamond International Hotel)” ถือเป็นเรื่อง “เหลือเชื่อ” ที่เกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินไทยอีกเรื่องหนึ่งที่คนไทยได้รับรู้

ที่ต้องใช้คำว่า “เหลือเชื่อ” เป็นเพราะกาสิโนดังกล่าวสร้างขึ้นในเขตแดนของราชอาณาจักรไทย ดังนั้น จึงไม่ควรมีสิ่งปลูกสร้างใดๆ เกิดขึ้นด้วยประการทั้งปวง

คำถามสำคัญก็คือ กาสิโนแห่งนี้ก่อสร้างในยุคใด ใครเป็นนายกรัฐมนตรี ใครมีอำนาจในกองทัพ เพราะก่อนหน้านี้แทบไม่มีข้อมูลเล็ดลอดออกมาสู่สายตาสาธารณชนเลย กระทั่งเกิดกรณีข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา สิ่งที่ซุกซ่อนเอาไว้จึงค่อยๆ เปิดเผยออกมา

การเปิดเผยข้อมูลเริ่มต้นจากการที่ “พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์” เจ้าของฉายา “บิ๊กเล็กเด็กลุง” เมื่อครั้งรักษาการในเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไปประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย–กัมพูชา หรือ จีบีซี (GBC) เมื่อที่ 10 กันยายน 2568 ซึ่งฝ่ายกัมพูชามี “เตีย เซรยฮา” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมตกลงว่าจะผ่อนปรนการผ่านแดนพื้นที่แนวชายแดนบางจุดที่ไม่มีปัญหาด้านความมั่นคงที่ จ.จันทบุรี และจ.ตราด ก่อน

ทว่า กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ของกองทัพเรือคัดค้าน ทำให้คนไทยทั้งประเทศทราบว่า นอกจากที่ “บ้านหนองจาน-บ้านหนองหญ้าแก้ว” แล้ว กัมพูชายังมีการรุกล้ำเขตแดนของไทยที่บริเวณชายแดนจังหวัดตราดอีก 17 จุด ตั้งแต่ ตำบลชำราก, ตำบลแหลมกลัด, ตำบลไม้รูด เรื่อยลงไปจนถึงตำบลคลองใหญ่ และตำบลหาดเล็ก โดยหนึ่งในนั้นคือ กาสิโนที่อยู่ใกล้กับ “ด่านช่องทางการค้าบ้านท่าเส้น” ตำบลแหลมกลัด อำเภอเมืองตราด หรือที่เรียกกันว่า กาสิโนทมอดาหรือบ่อนท่าเส้น โดยมีตัวอาคารแห่งหนึ่งก่อสร้างเข้ามาในดินแดนไทย

ที่ผิดสังเกตไม่แพ้กันคือ มีการก่อสร้าง “ถนน” ไปที่ด่านช่องทางการค้าบ้านท่าเส้นระยะทาง 6.6 กิโลเมตร โดยมีบางส่วนที่มีการก่อสร้างเป็นถนน 4 เลนในระยะทาง 1.9 กิโลเมตร เป็นโครงการก่อสร้างของแขวงทางหลวงชนบทตราด ปีงบประมาณ 2563 จำนวนเงินก่อสร้าง 51,737,000 บาท ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2564

ถนนตัดใหม่ที่จุดหมายปลายทางอยู่ที่ด่านช่องทางการค้าบ้านท่าเส้น ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของกาสิโนทมอดา

บ่อนท่าเส้นหรือกาสิโนทมอดา

บ่อนสายตะกู
นัยสำคัญตรงนี้ก็คือ การเปิดด่านช่องทางการค้าบ้านท่าเส้น การก่อสร้างถนนระยะทาง 6.6 กิโลเมตรนั้น มีความสัมพันธ์กับการดำรงอยู่ของ “กาสิโนทมอดา” อย่างไม่อาจปฏิเสธความจริงได้ และคงไม่ผิดถ้าสังคมจะมีความเห็นตรงกันว่า ผู้มีอำนาจทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชายินยอมพร้อมใจด้วยกันทั้งคู่

ทั้งนี้ มีการเปิดเผยและยืนยันตรงกันว่า เจ้าของกาสิโนแห่งนี้คือ “ออกญา ตรี เพียบ (Try Pheap)” มหาเศรษฐีชาวกัมพูชา ที่ได้สัมปทานในการทำป่าไม้ทั้งหมดในเขมร ทั้งฝั่งชายแดนเขมร-เวียดนาม และชายเขมร-ไทย โดยผ่านคอนเนกชันสาย “บุน รานี” ภรรยาของ “ฮุนเซน” โดยจับมือกับทุนจีนหวังพัฒนาพื้นที่ชายแดนตรงนี้ให้เป็นเมืองใหม่โดยใช้ชื่อว่า “ทมอดาซิตี้”

เป็นออกญา ตรี เพียบ ประธานกรรมการบริษัท MDS Heng He Investment จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่สหรัฐอเมริกาขึ้นบัญชีดำในฐานะบริษัทผู้ก่อสร้างและพัฒนาพื้นที่อสังหาริมทรัพย์ให้เป็นศูนย์หลอกลวงเงินดิจิตัล ของประเทศกัมพูชา

ส่วนทุนจีนที่ว่านั้นก็คือ “บริษัท เหิง เหอ กรุ๊ป (HENG HE INVESTMENT & DEVELOPMENT GROUP (CAMBODIA) CO., LTD)” ที่เข้าไปรับสัมปทานก่อสร้างทมอดาซิตี้เพื่อพัฒนาเป็นเมืองใหม่และกาสิโนด้วยมูลค่าโครงการนับหมื่นล้านบาท

นายหลี่ เหวินเจ๋อ (WENZE LI) ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เหิงเหอ กรุ๊ป เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า กาสิโนที่นี่เป็นสาขาที่ 6 ของบริษัทที่ลงทุนทั้งหมด 7 แห่ง อยู่ในกัมพูชา 5 แห่ง และเขตชายแดนไทย-กัมพูชา 2 แห่ง

ทว่า นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่ากับว่า ทำไมถึงสร้าง และใครได้ประโยชน์จากการก่อสร้างดังกล่าวบ้าง

แน่นอน “ตรี เพียบ” ย่อมได้ไปเป็นเต็มๆ เพราะกาสิโนทมอดานั้น อยู่ห่างจากตัวเมืองตราดแค่ 37 กิโลเมตรเท่านั้น ขณะที่กาสิโนของคู่แข่งคนสำคัญคือ “พัด สุภาภา” หรือ “ออกญา ลี ยงพัด (Ly Yong Phat)” หรือบางคนก็เรียกว่า “เสี่ยพัด” สมาชิกวุฒิสภาและนักธุรกิจชาวกัมพูชาเชื้อสายจีนและไทยเกาะกง มหาเศรษฐีเบอร์หนึ่งของกัมพูชา ซึ่งอยู่ที่เกาะกงนั้น อยู่ห่างจากจังหวัดตราดถึง 100 กิโลเมตรเลยทีเดียว

ดังนั้น กาสิโนของ “ตรี เพียบ” จึงเหมือนมาสร้างดักหน้า แย่งลูกค้าบ่อน “เสี่ยพัด” ร้อยเปอร์เซ็นต์

แต่ “ไอ้โม่ง” ที่ได้มากกว่า “ตรี เพียบ” ก็คือ “คนไทย” ที่มีส่วนร่วมในการแบ่งปันผลประโยชน์จากการก่อสร้างดังกล่าว เพราะกาสิโนไทยตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชาล้วนแล้วแต่มี “บิ๊กๆ ฝั่งไทย” เข้าไปมีเอี่ยวทั้งสิ้น ไม่มากก็น้อย

ที่น่าสนใจคือ จากการสอบถามชาวบ้านพบว่า แรกเริ่มเดิมทีบริเวณดังกล่าวเป็นเพียงพื้นที่รกร้าง แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลกลใด ทั้งสองฝ่ายคือไทยและกัมพูชาได้จับมือกันร่วมพัฒนาพื้นที่ดังกล่าว ด้วยเหตุผลว่า ฝ่ายไทยจะได้ประโยชน์จากการขนส่งสินค้าไปขายให้กับกัมพูชา ที่จะช่วยลดต้นทุน ส่วนฝ่ายกัมพูชาก็จะได้ตั้งโรงแรม และกาสิโน ที่เปรียบเสมือนอู่ข้าวอู่น้ำคอยพยุงเศรษฐกิจไว้ ขณะที่ถนนเส้นนี้เดิมจะใช้เพื่อขึ้นมาอ่างเก็บน้ำคลองสะพานหินเท่านั้น แต่ต่อมามติ ครม. เมื่อปี 2559 เห็นชอบให้ขยายเพิ่มเติมบางส่วนเป็น 4 เลนเพื่อใช้ขนส่งสินค้าระหว่าง ไทย-กัมพูชา

นอกจากนี้ เมื่อลำดับข้อมูลจากการให้สัมภาษณ์ของ “น.อ.จตุพร ทรงทิมไทย” หัวหน้าชุดควบคุมทหารพรานนาวิกโยธินที่ 3 ซึ่งพาสื่อมวลชนไปสำรวจถนนและตัวอาคารที่ทมอดาฯ พบว่า ทางการไทยพบการก่อสร้างกาสิโนรุกล้ำดินแดนไทยมาตั้งแต่ปี 2562 จึงให้หยุดการก่อสร้างนับตั้งแต่นั้น

ออกญา ตรีเพียบ

ออกญา ลึม เฮง
 คำถามคือ รู้แล้วทำไมถึงเงียบ

คำถามคือ รู้ตั้งแต่ปี 2562 แล้วนอกจากทำ “หนังสือประท้วง” ทำไมถึงไม่ดำเนินการใดๆ ให้สิ้นกระแสความ

ที่พึงสังเกตและขีดเส้นใต้อยู่ตรงการให้สัมภาษณ์ของ “พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์” ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ต่อกรณีการสร้างกาสิโนที่รุกล้ำพื้นที่ของไทยว่า “พื้นที่ดังกล่าวอย่าใช้คำว่าพื้นที่อ้างสิทธิ์ และขอให้เรียกว่าเป็นสิ่งที่เราขีดเส้นเอาไว้และตนไม่อยากไปรื้อฟื้นว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปีใดแต่สิ่งที่เราควรจะทำต่อหรือเดินหน้าต่อคือต้องทำให้มีความชัดเจน หากเรารุกล้ำจริงเราก็ต้องไปถามคนที่เคยทำว่าที่ตรงนั้นเป็นของใคร คุณจะรื้อออกไปเอง หรือจะให้เรารื้อเอาไปให้ หรือว่าหากเราเห็นว่าเป็นประโยชน์แล้วยกให้เราใช้ประโยชน์ได้หรือไม่”

แปลไทยเป็นไทยคือ ผบ.ทร.ไม่อยากให้รื้อฟื้นความหลังว่าใครมีเอี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง

ขณะที่ “ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ฟันธงเปรี้ยงลงไปว่า “มาวันนี้มีการโยนหินถามทาง จะต่อรองไม่ให้ทุบทิ้งและแบ่งผลประโยชน์ใช้พื้นที่ดังกล่าวนั้น ตอบเลยไม่ได้เด็ดขาด ใบอนุญาตก่อสร้างไม่ถูกต้อง ขออนุญาตไม่ถูกต้อง รุกล้ำแผ่นดินไทย แถมยังเป็นแหล่งอาชญากรทางเทคโนโลยีทำร้ายคนไทยและคนทั้งโลก อีกทั้งยังเป็นแหล่งฟอกเงิน ค้ามนุษย์ เป็นภัยคุกคามความมั่นคงต่อประเทศไทย ต้องปิดด่าน ทุบทิ้งอย่างเดียว จนกว่ากัมพูชาจะสิ้นสภาพเป็นภัยคุกคามความมั่นคงต่อประเทศไทย”

แต่ทั้งหลายทั้งปวงก็ขึ้นอยู่กับว่า “รัฐบาลไทย” ในเวลานี้ซึ่งมี “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” เป็นนายกรัฐมนตรี จะมีนโยบายอย่างไร และกล้าตัดสินใจทุบทิ้งหรือไม่

แล้วก็เป็นเรื่องบังเอิญอีกเช่นกันว่า “กาสิโนทมอดา” นั้น ก่อสร้างในห้วงเวลาเดียวกันกับ “บ่อนสายตะกู” หรือชื่อเต็มว่า “สายตะกูรีสอร์ท แอนด์ กาสิโน” ของ “ออกญาลึม เฮง” ที่ตั้งอยู่บริเวณ “จุดผ่อนปรนการค้าช่องสายตะกู” ต.จันทบเพชร อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ หรือที่ทะเบียนสำมะโนครัวว่า อยู่ใน ต.อัมปึล อ.บันเตียอัมปึล จ.อุดรมีชัย ของกัมพูชา

ห้วงเวลาเดียวกันที่ว่านั้น ก็คือช่วง “พี่น้อง 3 ป.” สายบูรพาพยัคฆ์ กำลังเรืองอำนาจ

ที่เป็นตลกร้ายก็คือ ในห้วงแรกของการก่อสร้างมีความพยายามตะแบงว่า ที่ตั้งอยู่ในเขตแดนของกัมพูชา ต่อมาอ้างว่าเป็นพื้นที่อ้างสิทธิ์ของทั้งสองประเทศ โดย “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ผู้รับผิดชอบงานด้านความมั่นคงในขณะนั้น ยอมรับอย่างหน้าชื่นว่า กาสิโนสายตะกู ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่ยังปักปันเขตแดนไม่แล้วเสร็จ

“เรื่องนี้มีคณะกรรมการปักปันเขตแดนดูแลอยู่แล้ว ต่างคนต่างอ้างสิทธิ์ ก็ว่ากันไป หากสิ่งเหล่านี้อยู่พื้นที่ไทยเรา ก็ต้องทำการรื้อถอน แต่ถ้าอยู่ในพื้นที่กัมพูชาเขา ก็ดำเนินการต่อไปเท่านั้นเอง” คือคำต่อคำที่ พล.อ.ประวิตร พูดถึงเรื่องนี้

จากนั้นอีกไม่กี่วัน พล.อ.ประวิตร ก็ยกคณะไปร่วมประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (จีบีซี) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 12 ณ จังหวัดเสียมราฐ กัมพูชา โดยมี พล.อ.เตีย บันห์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ในขณะนั้น เป็นประธานร่วม ถือเป็นโอกาสดีในการประท้วง หรืออย่างน้อยๆ ก็สอบถามถึงข้อเท็จจริงว่า บางส่วนของ “บ่อนสายตะกู” ตั้งอยู่บน “พื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อน” ไม่ได้ตั้งอยู่ในเขตแดนกัมพูชา ซึ่งผิดธรรมเนียมปฏิบัติระหว่างประเทศ

ที่สำคัญทั้ง 2 ประเทศก็เคยมีข้อตกลงในการไม่รุกล้ำเข้าในพื้นที่ดังกล่าว หากยังไม่มีการปักปันเขตแดนแล้วเสร็จ โดยมีการกั้นพื้นที่ไว้ข้างละประมาณ 130 เมตร

นอกจากไม่ประท้วงแล้ว ก็ยังผลักดันการพัฒนาพื้นที่บริเวณนั้น ทั้งการประกาศยกระดับจากจุดผ่อนปรนเป็นด่านผ่านแดนถาวร มีการตัดถนน-เชื่อมไฟฟ้าไปยังจุดผ่านแดนช่องสายตะกู ราวกับอำนวยความสะดวกให้แก่บ่อนของออกญาลึม เฮง อย่างไรอย่างนั้น

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา

 พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา

 พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ
สุดท้ายบ่อนสายตะกูก็ก่อสร้างสำเร็จ

ซ้ำร้ายคำว่า “พื้นที่อ้างสิทธิ์” ของบ่อนสายตะกู ในความเป็นจริงแล้วถ้าใช้แผนที่ 1 ต่อ 50,000 ก็ต้องถือว่า ที่ตั้งของบ่อนสายตะกูเป็นดินแดนของราชอาณาจักรไทย

นี่คือมหันตภัยแห่งการดำรงอยู่ของ MOU 2543 ทำให้ฝ่ายกัมพูชาใช้แผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 เข้ามารุกล้ำอธิปไตยของไทย และจำต้องยกเลิกให้เร็วที่สุดโดยที่ไม่จำเป็นต้องทำประชามติตามที่รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูลแบไต๋ออกมา

นอกจากนี้ ที่ต้องขีดเส้นใต้สองเส้นก็คือ “นายวีระ สมความคิด” เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชั่น เคยให้ข้อมูลเอาไว้ว่า การก่อสร้างบ่อนแห่งนี้เกิดขึ้นในยุคของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อปี พ.ศ. 2558 แม้จะมีความพยายามขออนุญาตก่อสร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 แต่ไม่ได้รับการอนุมัติ จนกระทั่งมีการยึดอำนาจในปี พ.ศ. 2557 การก่อสร้างจึงเริ่มเดินหน้าและแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2559

แล้วก็บังเอิญอย่างร้ายกาจอีกเช่นกัน เมื่อ “นายทัช โสกา” รองโฆษกกระทรวงมหาดไทย กัมพูชา ได้เขียนบทความเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนในเครือข่ายรัฐบาลหลายสำนัก โดยอ้างว่า ในปี พ.ศ. 2553 พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรัฐมนตรีในสมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ประกาศต่อผู้สื่อข่าวว่าที่ดินในหมู่บ้านไพรจัน(บ้านหนองหญ้าแก้ว) และหมู่บ้านโชคชัย(บ้านหนองจาน) รวมถึงพื้นที่อื่นๆ ตามแนวชายแดน อยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา

เป็นความเชื่อมโยงที่ทำให้เห็นร่องรอยของความผิดปกติที่เกิดขึ้นตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชาเบื้อง “บูรพทิศ”

นี่คือความจริงที่มีเพียงหนึ่งเดียวและประชาชนคนไทยจำต้องรับรู้ไว้


กำลังโหลดความคิดเห็น