ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - การที่ “สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ออกคำสั่งเพิกถอนผลิตภัณฑ์สมุนไพรจีน “จิ่วเจิ้งปู่เซินเจียวหนัง” หลังตรวจสอบพบปลอมปน “สารทาดาลาฟิล” สรรพคุณเสริมสมรรถภาพทางเพศ ผลข้างเคียงอันตรายถึงชีวิต ได้สร้างความตื่นรู้ในสังคมไทยหลังปล่อยให้จัดจำหน่ายมานานกว่า 2 ทศวรรษ พร้อมๆ กับคำถามตามมาว่า “ทำไมถึงเพิ่งตรวจพบ”
ทั้งนี้ คำสั่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ประกาศในราชกิจจานุเบกษาไว้ชัดเจนว่า เพิกถอนใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับยาผลิตภัณฑ์สมุนไพร เพิกถอนทะเบียนผลิตภัณฑ์สมุนไพร “จิ่วเจิ้งปู่เซินเจียวหนัง” เลขทะเบียน G298/49 เนื่องจากพบยาทาดาลาฟิล (tadalafil) เข้าข่ายเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรหรือวัตถุที่ทำเทียมทั้งหมดหรือบางส่วน เพื่อให้เข้าใจว่าเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรแท้ ตามมาตรา 59 (1) และเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่แสดงว่าเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรตามตำรับที่ขึ้นทะเบียน แจ้งรายละเอียดหรือจดแจ้งไว้ซึ่งไม่ใช่ความจริง ตามมาตรา 59 (5) จึงเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค และเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรปลอม ตามมาตรา 58 (1) แห่งพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. 2562
นอกจากนี้ ยังมีประกาศเพิกถอนทะเบียนผลิตภัณฑ์สมุนไพรยาแคปซูลบำรุงร่างกาย “ตามซูเป่าซัน” เลขทะเบียน G97/55 เนื่องจากพบซิลเดนาฟิล (sildenafil) ซึ่งเข้าข่ายผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ทำให้เข้าใจว่าเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรแท้ เป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่แสดงว่าเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรตามตำรับที่ขึ้นทะเบียนโดยไม่เป็นความจริง ตลอดจนเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภคและผลิตภัณฑ์สมุนไพรปลอม
ตามข้อมูลระบุว่า “สารทาดาลาฟิล” และ “สารซิลเดนาฟิล” ที่พบการปลอมปนจัดเป็นยาควบคุมพิเศษที่ใช้รักษาความผิดปกติของการแข็งตัวของอวัยวะเพศชายและรักษาภาวะความดันโลหิตของหลอดเลือดแดงภายในปอดสูง และต้องใช้ภายใต้การกำกับดูแลของแพทย์ เนื่องจากออกฤทธิ์ขยายหลอดเลือด มีผลต่อผู้ป่วยโรคตับ โรคไต โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคกล้ามเนื้อหัวใจ เจ็บหน้าอก ความดันเลือดต่ำหรือสูง เป็นต้น
อีกทั้ง การบริโภคผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ผสมยารักษาโรคหย่อนสรรถภาพทางเพศ ก่อให้เกิดผลข้างเคียง “สารทาดาลาฟิล” ส่งผลให้เกิดภาวะความดันโลหิตลดลงอย่างรุนแรงและกะทันหันเมื่อใช้ร่วมกับยากลุ่มไนเตรท เสี่ยงหัวใจเต้นผิดจังหวะ เจ็บหน้าอก หรืออาจทำให้หมดสติ เสี่ยงสูญเสียการได้ยินและมองเห็น ส่งผลให้ใจสั่น เหงื่อออกมาก ความโลหิตต่ำ หมดสติ หรือบางรายรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต ตลอดจนเสี่ยงหัวใจวาย ความดันตก ตาบอด และเสียชีวิตในที่สุด
อย่างไรก็ตาม หากฝ่าฝืนจำหน่ายผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ถูกเพิกถอนใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. 2562 มาตรา 104 และหากพบการจำหน่ายแจ้งเบาะแสได้ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกแห่ง หรือ โทร 1556 สายด่วน อย. หรือ สแกน QR code ในภาพเพื่อตรวจสอบ ผลิตภัณฑ์สุขภาพก่อนซื้อ
โดยที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีการดำเนินการสุ่มตรวจผลิตภัณฑ์สมุนไพรปลอมปนยารักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ “ซิลเดนาฟิล” และ “ทาดาฟิล” ในท้องตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้ตรวจพบผลิตภัณฑ์ “ยาเกร็กคู” เลขทะเบียนที่ G 481/53 รุ่นการผลิต 03/2567 วันที่ผลิต 02/05/2567 วันสิ้นอายุ 02/05/2569 จากสถานที่ขายยาแผนปัจจุบัน ซึ่งผลจากการส่งตรวจวิเคราะห์ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบมีการปลอมปนของตัวยาอันตรายดังกล่าว โดยสั่งให้ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายเรียกเก็บผลิตภัณฑ์รุ่นการผลิตดังกล่าวออกจากท้องตลาดทันที
การดำเนินการเพิกถอนยาสมุนไพรปลอมปนอันตรายถึงชีวิตข้างต้น เป็นภาพสะท้อนมาตรฐานการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานผลิตยาสมุนไพรของไทย ตลอดจนการกำหนดนโยบายมุ่งยกระดับมาตรฐานการสมุนไพรในประเทศ
นพ.วิทิต สฤษฎีชัยกุล รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า อย. ได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การควบคุมคุณภาพและมาตรฐานผลิตภัณฑ์สมุนไพร โดยออกประกาศคณะกรรมการผลิตภัณฑ์สมุนไพร เรื่องวิธีควบคุมคุณภาพและข้อกำหนดเฉพาะของผลิตภัณฑ์สมุนไพร และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับหนังสือรับรองผลการวิเคราะห์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2567 ตั้งเป้ายกระดับมาตรฐานการผลิตสมุนไพรไทยพร้อมส่งเสริมให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันในระดับนานาชาติได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
ขณะเดียวกัน มีการจัดตั้งสถาบันวิจัยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก โดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ขับเคลื่อนการพัฒนางานวิจัยด้าน สมุนไพร การแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือก ยกระดับมาตรฐาน ทางการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ให้กลายเป็น Soft Power ทางเศรษฐกิจและสุขภาพในระดับโลก
กล่าวสำหรับตลาดสมุนไพรไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี หากย้อนไปตั้งแต่ปี 2563 - 2567 อัตราการเติบโตอยู่ที่ 14 % ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับ GDP โดยรวมของประเทศ ปัจจุบันมูลค่ารวมของตลาดสมุนไพรไทยในประเทศอยู่ที่ประมาณ 40,000 - 50,000 ล้านบาท โดยปี 2567 อยู่ที่เกือบ 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 5 ของเอเชีย รองจากจีน ญี่ปุ่น เกาหลี และอินเดีย แต่มีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าญี่ปุ่นและเกาหลี
ดร.ภญ.มณฑกา ธีระชัยสกุ ผู้อำนวยการกองเศรษฐกิจสมุนไพร กรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก เปิดเผยว่าตลาดสมุนไพรของไทยมีการเติบโตอย่างรวดเร็วและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต รัฐบาลมีแผนที่จะเพิ่มมูลค่าตลาดนี้เป็น 100,000 ล้านบาท (ประมาณ 2,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ภายใน 5 ปีข้างหน้า โดยมีความพยายามในการส่งเสริมสมุนไพรผ่านการร่วมมือระหว่างกระทรวงต่างๆ เช่น กระทรวงสาธารณสุข, กระทรวงเกษตร และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อใช้สมุนไพรในบริการสุขภาพมากขึ้น
ขณะเดียวกัน มีการขับเคลื่อนเป้าหมายชัดเจนในการผลักดันสมุนไพรไทยให้เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศ ตามแผนการขับเคลื่อนสมุนไพร Herb of the year ปี 2568 – 2570 นำสมุนไพรสู่การสร้างเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลเดินหน้าผลักดันสมุนไพรไทยอันเป็นภูมิปัญญาไทยสร้างคุณค่าเศรษฐกิจไทย พร้อมยกระดับการแพทย์พื้นบ้าน การแพทย์ทางเลือก และสมุนไพรของไทย ให้เป็นระบบบริการสุขภาพทางเลือกที่มีคุณภาพ มุ่งยกระดับศักยภาพสมุนไพรไทยเป็น Soft Power ที่สามารถสร้างรายได้และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
สำหรับ การเพิกถอนใบอนุญาตฯ “จิ่วเจิ้งปู่เซินเจียนเจียวหนัง” สร้างความตื่นรู้ในสังคมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สมุนไพรกลุ่มรักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ และภายใต้การดำเนินการตรวจสอบอย่างเข้มข้นของหน่วยรัฐ น่าจะมีสมุนไพรไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัยถูกเพิกถอนใบอนุญาตอีกจำนวนไม่น้อย