xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“ไทยแลนด์แดนสวรรค์เงินเทา”? ไขปม “เงินปริศนา” 5 แสนล้าน คลังถึงขั้นตั้ง “วอร์รูม” ไล่ล่า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -   “วอร์รูม” ที่รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล สั่งตั้งขึ้นมาเพื่อตามแกะรอย “เงินที่ไม่รู้ที่มา” ก้อนใหญ่กว่า 5 แสนล้าน กำลังลงมือถอดสมการ เพื่อสร้างความกระจ่างแจ้ง

ในวันที่  นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เดินทางไปพบปะกับสมาคมธนาคารไทย อย่างเป็นทางการในรอบ 58 ปี ได้สั่งการให้  นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส  รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จัดการตั้ง “วอร์รูม” เพื่อตามเส้นเงิน หาที่มาของเงินปริศนาที่ไหลเข้ามา เชื่อมโยงให้เห็นว่าเงินมาจากแหล่งไหนจะได้ลงมือดำเนินการแก้ไขปัญหาให้ตรงจุดในทันที เพราะตอนนี้มีข้อสงสัยกันว่าการไหลเข้ามาของ “เงินสีเทา” เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยภาพรวมหรือไม่

“ต้องเร่งสร้างความชัดเจนเรื่องนี้เร่งด่วน” นายเอกนิติ กล่าวถึงนโยบายของนายกฯ ที่มอบหมายให้สะสางความกังวลเรื่อง “เงินสีเทา” และการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งเป็นท่าทีของรัฐบาลหลังจากนายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ได้รายงานเรื่องดังกล่าวต่อนายกรัฐมนตรี โดยกระตุ้นให้ภาครัฐต้องเร่งเชื่อมโยงข้อมูลการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่กระทำผ่านหลายช่องทาง เพื่อตามรอยเงินไม่รู้ที่มา และสกัดกั้นเงินสีเทา

ในเวลาต่อมา นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง รับลูกเรียกประชุมคณะทำงานเพื่อติดตามเงินทุนที่ไหลเข้าไทยจำนวนมากมีความเชื่อมโยงกับเงินสีเทาหรือไม่ ซึ่งมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.), ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.), สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.), สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รวมถึงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพื่อหาข้อสรุปโดยเร็ว เนื่องจากเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจอย่างยิ่ง

“วันนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าเงินที่เข้ามาตรงนี้คืออะไร ทั้งในส่วนของเงินเข้า เงินออก .... ต้องรู้ตรงนี้ให้ชัดเจนก่อน และมั่นใจว่าน่าจะหาต้นตอ หรือแหล่งที่มาของเงินนี้เจอแน่นอน ซึ่งอาจจะเป็นของใครสักคน” ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวยืนยันอย่างมั่นใจ

 เม็ดเงินที่กังขากันอย่างยิ่งว่าเป็น “เงินสีเทา” หรือไม่ เป็นเงินก้อนใหญ่มาก ตามตัวเลข NEO (Net Errors and Omissions) หรือ “ค่าความคลาดเคลื่อนสุทธิในดุลการชำระเงิน” ของธนาคารแห่งประเทศ (ธปท.) โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา ตัวเลขนี้พุ่งทะลุ 5.3 แสนล้านบาท ซึ่ง “เงินที่ไม่รู้ที่มา” ในทางทฤษฎีแล้วมีได้จากการบันทึกตกหล่น แต่ไม่ควรมีมากขนาดนี้ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่จะถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็นเงินสีเทาทะลักเข้ามาเพื่อฟอกให้ขาวสะอาดใช่หรือไม่ 

แต่ก่อนที่ “วอร์รูม” จะแกะรอยเส้นเงิน เชื่อมโยงไปถึงต้นทางว่าเป็น “เงินของใคร” กันแน่ รายงานของสำนักข่าวอิศรา อ้างแหล่งข่าวจาก ปปง. ว่าจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบเงินไหลเข้าประเทศไทยมาจาก 3 ช่องทางหลัก ๆ คือ

 หนึ่ง  เงินจากต่างประเทศไหลเข้ามาเพื่อซื้อตราสารหนี้ในประเทศไทย ซึ่งให้อัตราดอกเบี้ยสูงกว่าหลายประเทศ จึงมีเงินไหลเข้ามาลงทุนเพิ่ม โดยเงินไหลเข้าส่วนนี้ไม่น่ามีปัญหา

 สอง  “กองทัพมด” ขนเงินสดเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ เข้ามาไทยผ่านทางชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งชัดเจนว่าเป็นเงินผิดกฎหมายหรือเงินสีเทา นำมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทเพื่อฟอกเงิน โดยช่วงที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ที่ทำงานชายแดน ไม่ได้เข้มงวดในเรื่องนี้

 สาม   มีการนำเงินดิจิทัลหรือคริปโตเคอเรนซี เข้ามาซื้อทองคำในประเทศไทยจากร้านทองที่รับเป็นคริปโตฯ โดยอาจซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น จากนั้นมีการนำทองคำที่ซื้อส่งออกนอกประเทศ

ปปง. ชี้เป้าไปยังการนำเงินเข้าประเทศผ่านช่องทางที่สองและสาม น่าจะต้องตรวจสอบอย่างเข้มงวด เพราะค่อนข้างชัดเจนว่าอาจเป็นเงินสีเทาและการฟอกเงิน
สอดรับกับการให้ข้อมูลผ่านสื่อของกูรูด้านสินทรัพย์ดิจิทัล ที่ชี้ว่า มีกระบวนการฟอกเงินในต่างประเทศที่ใช้คริปโตเคอเรนซีมาแลกเป็นเงินบาท ทำให้สภาพคล่องหายไปและเงินบาทแข็งค่าขึ้น โดยมูลค่าการฟอกเงินผ่านช่องทางนี้สูงถึง 5 แสนล้านบาท โดยจะนำเงินบาทไปซื้อสินทรัพย์ประเภทอื่น ทั้งทองคำ อสังหาริมทรัพย์ และหุ้นกู้ ซึ่งเป็นการอาศัยช่องโหว่ที่ไม่มีกฎหมายควบคุม

 ดร.นณริฏ พิศลยบุตร  นักวิชาการอาวุโส TDRI วิเคราะห์ว่า เงินที่ไหลเข้ามายังเป็นปริศนาที่ผู้เกี่ยวข้องก็ยังหาที่มาไม่ได้ ตอนนี้มีเพียงข้อสันนิษฐานที่มองว่า เงินอาจมาจาก 3 แหล่งใหญ่ คือ เศรษฐกิจใต้ดิน เงินสีดำจากธุรกิจไม่ถูกกฎหมาย อาจโยงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือกาสิโน, เงินที่ถูกกฎหมาย แต่ไม่ได้อยู่ในระบบภาษี หรือเงินที่เป็นเงิน tax haven ต่างชาติถือบาทเพราะมีความแข็งแกร่ง ซึ่งต้องหาต้นตอให้เจอ ไม่แน่ว่าเงินที่ไหลเข้ามาอาจเป็นของคนกลุ่มเดียวก็เป็นได้

ปัญหาที่เกิดขึ้นสะท้อนผ่านตัวเลขค่าความคลาดเคลื่อนสุทธิ (Net Errors and Omissions หรือ NEO) ในดุลการชำระเงินของไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ จากข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทย ตัวเลข NEO ในปี 2564 อยู่ที่ 340,290 ล้านบาท ส่วนปี 2565 ติดลบที่ -2,528 ล้านบาท แต่ในปี 2566 กลับพุ่งสูงขึ้นมาอยู่ที่ 180,404 ล้านบาท และในปี 2567 พุ่งสูงขึ้นถึง 530,855 ล้านบาท ส่วนไตรมาสแรกของปี 2568 อยู่ที่ 80,909 ล้านบาท หากคำนวณแบบปีเต็มด้วยอัตราเดียวกัน ค่า NEO ในปี 2568 อาจจะสูงถึงประมาณ 323,637 ล้านบาท

ค่า NEO ที่สูงยังสะท้อนถึงขนาดของเศรษฐกิจใต้ดินที่อาจใหญ่โตเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้อีกด้วย

 ไทยแลนด์ กลายเป็นแดนสวรรค์ของกลุ่มทุนสีเทา เงินสีเทา เนื่องจากมีการอาศัยช่องว่างช่องโหว่ที่ทางการไทยไล่ตามไม่ทัน หรือที่หนักหนากว่านั้นคือ การเข้าไปมี “เอี่ยว” ในธุรกิจสีเทาของผู้มีอำนาจเสียเอง  

สำหรับปัจจัยที่เอื้อต่อการฟอกเงินของขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ  ประการแรก  เทคโนโลยีการเงินที่พัฒนาเร็วมาก กฎหมายประเทศไทยวิ่งไล่ตามโลกคริปโตฯ ไม่ทัน หลายประเทศมีกฎชัดเจนว่าธุรกรรมคริปโตฯ ต้องรายงานและตรวจสอบ แต่สำหรับไทยยังมีช่องว่างให้เลี่ยงได้

ธุรกรรมคริปโตฯ โดยทั่วไปไม่ต้องรายงานต่อ ก.ล.ต. หรือตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยตรง เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. เท่านั้น แต่หากเป็นธุรกรรมที่เกี่ยวกับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับใบอนุญาต จาก ก.ล.ต. อาจมีการรายงานข้อมูลที่เกี่ยวข้องตามกฎหมาย อาชญากรก็เลยใช้ช่องโหว่นี้แปลงเงินเถื่อนเป็นเงินบาทได้แบบไม่ต้องกังวลว่าจะถูกตรวจสอบ

 ประการที่สอง  ระบบตรวจสอบมีช่องโหว่ มีเงินไหลเข้ามาเป็นแสนล้าน แต่หน่วยงานตรวจสอบกลับตามรอยต้นทางเงินได้ไม่หมด เพราะฐานข้อมูลยังแยกส่วน ไม่ได้เชื่อมต่อกันแบบเรียลไทม์เหมือนบางประเทศ ดังนั้น เมื่อมีเงินผิดปกติไหลเข้ามากว่าจะตรวจเจอต้องใช้เวลานาน หรืออาจตรวจไม่เจอเลยก็เป็นได้

 ประการที่สาม บางธุรกิจรับชำระเงินในรูปแบบที่ต่างประเทศไม่ทำกัน เช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ร้านทอง ที่ยอมรับการชำระเงินในแบบจ่ายเงินสดก้อนโต โอนจากบัญชีที่มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน หรือจ่ายเป็นคริปโตฯ กลายเป็นช่องทางฟอกเงินสีเทาให้ขาวสะอาด

 ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ชี้ว่า ปัญหาหลักอยู่ที่ตัวเลข NEO ที่พุ่งขึ้นผิดปกติในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีเงินไหลเข้ามาจำนวนมาก และตัวเลขไม่ตรงกับเงินที่ไหลออกไป ซึ่งมาจากธุรกิจสีเทา เพราะไม่รู้มาจากไหน ไม่ได้อยู่ในปัญชีไหนเลย เฉลี่ย 3,000 ล้านดอลลาร์ต่อไตรมาส ซึ่งเป็นโจทย์ที่ ธปท. จะต้องไปดูรายละเอียดตรงจุดนี้มากกว่าที่จะไปแก้ไขเรื่องการซื้อขายทองออนไลน์ 


นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สั่งการให้นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จัดการตั้ง “วอร์รูม”  เพื่อตามเส้นเงิน ในวันที่ไปพบสมาคมธนาคารไทย
 ธปท. นิยามค่าความคลาดเคลื่อนสุทธิว่าเป็น  “ความคลาดเคลื่อนจากการจัดเก็บสถิติ”  ที่คำนวณจากความแตกต่างระหว่างดุลการชำระเงินกับผลรวมของดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลบัญชีเงินทุน แต่ตัวเลขค่าความคลาดเคลื่อนฯ ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก สะท้อนว่ามีปัจจัยอื่นที่มากกว่าการจัดเก็บข้อมูลไม่สมบูรณ์ เช่น เศรษฐกิจใต้ดิน ธุรกิจผิดกฎหมาย การค้ายาเสพติด การลักลอบค้าสินค้าเถื่อนไม่ผ่านศุลกากร ทำให้มูลค่าการนำเข้าที่บันทึกในดุลชำระเงินต่ำกว่าเป็นจริง

หลังจากมีกระแสข่าวเงินปริศนา 5 แสนล้านไหลเข้ามาในประเทศไทย ทางแบงก์ชาติ ได้ออกมาชี้แจง โดย  นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์  ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยว่า ธปท. ได้ปรับปรุงข้อมูลในบัญชีดุลการชำระเงิน (Balance of Payments: BOP) ประจำปี 2567 ตามรอบปรับปรุงปกติในเดือนกันยายน 2568 ส่งผลให้ตัวเลขที่แสดงความคลาดเคลื่อนเชิงสถิติ (Net Errors and Omissions : NEO) ปี 2567 อยู่ที่ 7.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 2.3 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการปรับลดลงกว่าครึ่งหนึ่งจากตัวเลขเบื้องต้นที่ประกาศในเดือนมีนาคม 2568 เป็นผลจาก 3 ส่วนหลัก ได้แก่

 1. มูลค่านำเข้ารวมที่ลดลง จากการที่กรมศุลกากรปรับราคาน้ำมันนำเข้าให้เป็นไปตามที่ได้รับข้อมูลจริงจากผู้นำเข้า ซึ่งต่ำกว่าราคาที่กรมศุลกากรได้ประมาณการไว้ในตอนแรก ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มขึ้น และทำให้ NEO ลดลงไปประมาณ 2.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

2. ข้อมูลการลงทุนโดยตรงของนักลงทุนต่างชาติที่สูงขึ้น ซึ่งปรับตามข้อมูลการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในธุรกิจไทย ที่ปรากฏในงบการเงินที่ธุรกิจทยอยรายงานต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ส่งผลให้ NEO ลดลงไปประมาณ 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

3. ข้อมูลสินเชื่อการค้าที่เพิ่มขึ้น จากการที่เจ้าหนี้การค้าขยายระยะเวลาการชำระค่าสินค้านำเข้าให้กับภาคเอกชน ทำให้ภาระการจ่ายคืนสินเชื่อการค้าในปี 2567 ลดลง ส่งผลให้ NEO ลดลงประมาณ 4.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 

โฆษก ธปท. ให้รายละเอียดว่า การที่จะประเมินว่าตัวเลข NEO มากหรือน้อย ควรพิจารณาจากสัดส่วนเทียบกับมูลค่าการค้าระหว่างประเทศ (Openness) มากกว่าดูแค่ตัวเลขเดี่ยว ซึ่งหากดู NEO ของไทย จากค่าเฉลี่ยทั่วโลกของสัดส่วน NEO เทียบกับมูลค่าการค้าระหว่างประเทศ (173 ประเทศ) ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 2.4% ขณะที่ค่าเฉลี่ยของไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 1.3% และในการปรับปรุงล่าสุด สัดส่วนของไทยอยู่ที่ 1.0% ถือว่าต่ำกว่าทั้งค่าเฉลี่ยในอดีตและค่าเฉลี่ยทั่วโลก

“...ยืนยันว่า NEO เป็นเรื่องคลาดเคลื่อนเชิงสถิติที่เกิดขึ้นได้กับทุกประเทศ และไม่ได้แปลว่าธุรกรรมที่ไม่เห็นทั้งหมดจะเป็นเงินเทา ซึ่งเราอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อให้วิธีการประมาณการแม่นยำมากยิ่งขึ้น” นางสาวชญาวดี กล่าวและชี้ว่า NEO ที่ไหลเข้ามามากในปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทในช่วงนั้นไปแล้ว

ส่วนเงินเทา อยู่ในหลายส่วนของธุรกรรม ไม่จำเป็นต้องอยู่ใน NEO เท่านั้น เช่น เงินที่ได้จากธุรกิจสีเทาของกรรมการบริษัทต่างชาติที่นำมาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งจะถูกบันทึกเป็น Portfolio Investment แต่ก็ยังเป็นเงินเทาได้ หรือการใช้สินทรัพย์ดิจิทัล และทองคำเป็นเครื่องมือในการฟอกเงิน

ทั้งนี้ ธปท. ได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่องในการแลกเปลี่ยนข้อมูล Connect the Dot โดยประสานงานกับ ปปง. เพื่อส่งต่อข้อมูลธุรกรรมต้องสงสัย หารือกับ ก.ล.ต.เพื่อตรวจสอบธุรกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล ลดความคลาดเคลื่อนของข้อมูล รวมทั้งกรมศุลกากร สภาพัฒน์ การเชื่อมโยงข้อมูลจะช่วยลดโอกาสการเกิดธุรกรรมธุรกิจสีเทา

ดร. ศุภวุฒิ สายเชื้อ ยอมรับว่า ข้อมูลใหม่จาก ธปท. ที่มีการปรับปรุงตัวเลขเงินปริศนาในบัญชีดุลการชำระเงินสำหรับปี 2567 จากเดิมรายงานไว้ที่ 530,000 ล้านบาท ได้ถูกปรับลดลงเหลือเพียง 230,000 ล้านบาท แต่ยังมีส่วนที่อธิบายไม่ได้เหลืออยู่ประมาณ 5,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี

รัฐบาลนายอนุทิน ไม่เพียงต้องตามแกะรอยเงินสีเทาทะลัก และแก้ปัญหาค่าบาทแข็งอย่างเร่งด่วน แต่ยังมีโจทย์ใหญ่รออยู่เบื้องหน้าอีกเพียบ

 นายวรภัค ธันวาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ชำแหละให้เห็นว่าประเทศไทยกำลังเผชิญโจทย์การคลังและเศรษฐกิจที่ซับซ้อนกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา โดยหลังจากวิกฤตโควิด ทำให้โครงสร้างหนี้ รายได้ และรายจ่ายภาครัฐเปราะบางอย่างยิ่ง ภาพรวมความเสี่ยงทางการคลังถูกประเมินสูงถึง 7.6 จาก 10 ซึ่งเพิ่มจากก่อนโควิดที่อยู่ระดับเพียง 4.3 ซึ่งหมายถึงว่าพื้นที่หายใจของรัฐบาลใหม่มีอยู่อย่างจำกัด

แรงกดดันนี้มีเหตุจากหลายปัจจัย ประกอบด้วย

 หนึ่ง ปัญหาหนี้สาธารณะ  ที่ใกล้ทะลุ 70% ต่อจีดีพี โดยคาดว่าจะแตะ 65% ต่อจีดีพีภายในสิ้นปี 2568 และภาระดอกเบี้ยอาจสูงเกิน 10% ของรายได้รัฐบาล

 สอง ปัญหารายได้ภาครัฐ โดยสัดส่วนรายได้รัฐบาลต่อจีดีพี ต่ำกว่ามาตรฐานโลก 3% เนื่องจากไทยมีแรงงานนอกระบบมากกว่า 50% ทำให้จัดเก็บภาษีได้น้อย และยังไม่มีการเก็บภาษีกำไรจากการลงทุน การเก็บภาษีทรัพย์สินและมรดกทำได้น้อย ภาษีมูลค่าเพิ่มยังเก็บต่ำอยู่ที่ 7% ขณะที่ประเทศรอบบ้านเราอยู่ที่ 12-15% รัฐบาลไม่สามารถปฏิรูปการจัดเก็บภาษีได้จริง

 สาม ปัญหารายจ่ายภาครัฐขยายตัวต่อเนื่อ  จากค่าใช้จ่ายบุคลากรและบำนาญเพิ่มขึ้น ค่ารักษาพยาบาลข้าราชการเพิ่มไม่หยุด กองทุนชราภาพเสี่ยงไม่ยั่งยืน

 และ สี่ โครงสร้างเศรษฐกิจ-สังคมของประเทศ ที่เป็นกับดักเชิงโครงสร้าง ทั้งการเข้าสู่สังคมสูงวัย รายได้ภาษีหดตัวสวนทางรายจ่ายบำนาญและสุขภาพเพิ่มขึ้น หนี้ครัวเรือนสูงถึง 90% ต่อจีดีพี ปัญหาความเหลื่อมล้ำ กลุ่มคนระดับบนเพียง 1% ถือครองรายได้ถึง 23% ของประเทศ

นายวรภัค ขมวดปมสรุปว่า โจทย์ใหญ่ของรัฐบาลใหม่จึงไม่ใช่แค่การเลือกใช้นโยบาย แต่คือการเลือกจะเผชิญความจริง เพราะหากเพิกเฉยต่อพื้นฐานของปัญหาในวันนี้จะกลายเป็นกับดักที่กัดกร่อนเสถียรภาพการคลังและเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

ทางด้าน ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ  ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ให้สัมภาษณ์สื่อทิ้งทวนก่อนลุกจากตำแหน่งผู้ว่าการ ธปท. ที่อยู่มาครบ 5 ปี ในสิ้นเดือนกันยายน 2568 นี้ว่า โจทย์ใหญ่อยู่ที่หนี้ครัวเรือน โดยประมาณ 2-3 ล้านครัวเรือน มีรายจ่ายมากกว่ารายได้

ขณะที่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก หรือ เอสเอ็มอี มีหนี้เสียหรือ NPL สูงถึง 7.6% เทียบกับธุรกิจใหญ่แค่ 3% ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องแก้ไขให้เอสเอ็มอีเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้นด้วยระบบการค้ำประกันจากภาครัฐ การพัฒนาข้อมูลเครดิต การแข่งขันในระบบการเงิน การกำหนดราคาตามความเสี่ยง ถ้าไม่ทำเรื่องเหล่านี้ต่อให้ดอกเบี้ยปรับขึ้นหรือลงก็ไม่ช่วยแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนหรือการเข้าถึงสินเชื่อได้จริง

ส่วนประเด็นความเหลื่อมล้ำ เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางสังคมและการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว โดยต้องดูจากทรัพย์สินสุทธิ เนื่องจากครัวเรือนไทยจำนวนมากมีหนี้สินสูงจนทำให้ทรัพย์สินสุทธิติดลบ หากเรียงลำดับครัวเรือน 24 ล้านครัวเรือนจากจนที่สุดไปจนถึงรวยที่สุด จะเห็นได้ว่ากลุ่มบนสุด 1% หรือประมาณ 240,000 ครัวเรือน ถือครองทรัพย์สินสุทธิ รวมกันมากถึง 13 ล้านล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงอย่างยิ่ง

ส่วนความเหลื่อมล้ำในภาคธุรกิจ จากโครงสร้างรายได้ธุรกิจขนาดใหญ่ 5% ของประเทศ มีสัดส่วนรายได้สูงถึง 80% ของรายได้ทั้งหมด สะท้อนให้เห็นว่าเอสเอ็มอี ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการแข่งขันสูงมาก

โจทย์ใหญ่เชิงโครงสร้างต้องแก้ด้วยการประสานงานกันระหว่างภาครัฐ เอกชน และสถาบันการเงินอย่างต่อเนื่อง สิ่งสำคัญคือ การสร้างกลไกให้ภาคเอกชนขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้เต็มที่ โดยที่รัฐคอยสนับสนุน ต้องทำให้เศรษฐกิจโตขึ้น เพื่อให้ครัวเรือนและธุรกิจมีรายได้เพียงพอที่จะจัดการหนี้และพัฒนาต่อไปได้

 ถึงแม้รัฐมนตรีช่วยคลัง โควต้าของพรรคภูมิใจไทย และผู้ว่าฯแบงก์ชาติ จะชำแหละปัญหาเศรษฐกิจไทยเชิงโครงสร้างอย่างถึงกึ๋น และเรียกร้องแก้ไขให้ตรงจุด แต่รัฐบาลนายอนุทิน กลับเลือกคิกออฟมาตรการระยะสั้นอย่างเช่น “โครงการคนละครึ่ง” เป็นอันดับแรก เพื่อเรียกคะแนนเสียงเตรียมสู้ศึกเลือกตั้งสมัยหน้า ซึ่งสำคัญเสียยิ่งกว่าเรื่องไหน ๆ  


กำลังโหลดความคิดเห็น