xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

Longevity ชีวิตดียืนยาว ดันธุรกิจ Wellness โต หนุนคนไทยสุขภาพดี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -   ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจุบันผู้คนหันมาดูแลสุขภาพกันมากขึ้น เกิดเทรนด์  “Longevity” หรือ “แนวคิดการมีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพ” ซึ่งเป็นการผสานระหว่าง  Lifespan (อายุขัย) กับ Healthspan (ช่วงชีวิตที่มีสุขภาพดี) โดยหัวใจสำคัญไม่ใช่การมีอายุให้นานที่สุด แต่คือการมีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพ สู่ชีวิตบั้นปลายที่มีความสุขและไม่เป็นภาระของผู้อื่น 

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยจากนวัตกรรมด้านสุขภาพล้ำสมัยและอาหารเสริมราคาแพง กำลังสร้างประเด็นความเหลี่ยมล้ำโดยถูกมองว่าการมีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพในโลกทุนนิยมต้องใช้เงิน เป็นเรื่องของคนมีเงินเท่านั้น...ใช่หรือไม่?

อีกทั้ง ประเด็น Longevity กลายเป็นข้อถกเถียงในโซเซียลมีเดียเมืองไทย จากการตั้งคำถามของ  นายสราวุธ เฮ้งสวัสดิ์  เจ้าของนามปากกา  นิ้วกลม  นักเขียนชื่อดัง ซึ่งมองว่า Longevity ในโลกทุนนิยมเปลี่ยนสุขภาพและความเยาว์วัยให้เป็นสินค้าที่มนุษย์ต้องซื้อและบริโภค อาทิ คอร์สออกกำลังกาย อาหารเสริม หรืออุปกรณ์ไฮเทคต่างๆ ทำให้การดูแลสุขภาพกลายเป็นเรื่องที่มีค่าใช้จ่ายสูงและกลายเป็นภาระ สะท้อนสร้างความเหลื่อมล้ำและแรงกดดันในการเข้าถึงการดูแลสุขภาพแบบพรีเมียมซึ่งต้องใช้เวลาและเงิน

ขณะที่ นายรวิศ หาญอุตสาหะ  ซีอีโอ บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด และผู้ก่อตั้งเพจ Mission to the Moon แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ Longevity ทีกำลังกลายเป็นการอวดสุขภาพดีและอายุยืนนั้น เป็นพฤติกรรมวิวัฒนาการที่คล้ายกับการแสดงสถานะทางสังคมในอดีต เช่น การอวดรถหรู เป็นต้น ทว่า การจะได้มาซึ่ง Longevity ซับซ้อนกว่า เพราะต้องใช้ “เวลา” และ “วินัย” นอกเหนือจาก “เงิน” ยิ่งทำให้ผู้ที่ทำได้รู้สึกอยากอวดมากขึ้น

สำหรับ Longevity แบ่งออกเป็น 5 ระดับ ได้แก่ Level 1 คือ อาหาร, ออกกำลังกาย, การนอน, สุขภาพจิต, ความสัมพันธ์, และการหลีกเลี่ยงสารพิษ, Level 2 คือการตรวจวัดข้อมูลสุขภาพชีวภาพต่างๆ เช่น เลือดหรือพันธุกรรม, Level 3 คือการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมวิตามินหรือฮอร์โมน, Level 4 คือการใช้เครื่องมือทางการแพทย์และเทคโนโลยี เช่น Cryotherapy หรือ Stem Cell และ Level 5 คือเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัย เช่น Epigenetic Reprogramming แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ Level 1 ซึ่งเป็นขั้นพื้นฐานและเพียงพอสำหรับคนส่วนใหญ่

อย่างไรก็ดี เขามองว่าการเข้าถึงแนวคิด Longevity ควรเป็นวาระแห่งชาติ เพราะหากประชากรส่วนใหญ่ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น จะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ได้ถึง 50% ซึ่งจะประหยัดงบประมาณด้านสาธารณสุขได้มหาศาล และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนทั้งประเทศในระยะยาว

ในประเด็นนี้ นพ. ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก และ บีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า  “การมีสุขภาพดี ไม่จำเป็นต้องจ่ายแพงเสมอไป” 

บางคนเข้าใจว่า Wellness จะต้องจ่ายแพง ซึ่งการดูแลสุขภาพแบบ Wellness สามารถทำได้ไม่ยาก อาทิ การหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำลายสุขภาพ หรือ จากเดิมไม่ชอบรับประทานผัก ก็สามารถค่อยๆ เปลี่ยนพฤติกรรมวิถีชีวิตหันมาทานผักมากขึ้น ไม่เคยออกกำลังกายก็ลองลุกขึ้นมาออกกำลัง ทั้งหมดเป็นการทำได้ง่ายๆ ไม่มีค่าใช้จ่าย เรียกว่าเป็น Medicine lifestyle หรือ เวชศาสตร์วิถีชีวิต

 อย่างไรก็ดี งานวิจัยระดับโลกจากพื้นที่ที่เรียกว่า Blue Zones ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีผู้คนอายุยืนยาวถึง 100 ปีขึ้นไปจำนวนมาก บ่งชี้ว่าผู้คนที่มีอายุยืนยาวเกินร้อยปีนั้นไม่ได้มีชีวิตที่หรูหรา แต่พวกเขามีวิถีชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยความสมดุลและความสุขในทุกๆ วัน โดยไม่ได้เกิดจากเทคโนโลยีราคาแพง กล่าวคือทุกคนสามารถทำได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีหรือผลิตภัณฑ์ราคาแพง

อาทิ การเคลื่อนไหวร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งคนอายุยืนไม่ได้ไปเข้ายิมเพื่อยกเวทหรือวิ่งมาราธอนทุกวัน แต่พวกเขามีวิถีชีวิตที่ต้องเคลื่อนไหวตลอดเวลา เช่น การเดินขึ้นเขา การทำสวน การทำเกษตร หรือแม้แต่การลุกนั่งเป็นประจำ การเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ในชีวิตประจำวัน ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและลดความเสี่ยงของโรคที่มาพร้อมกับวัยชราได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

การกินอาหารจากพืชเป็นหลัก ซึ่งอาหารของคนใน Blue Zones เน้นพืชผักเป็นหลัก โดยเฉพาะถั่วชนิดต่างๆ พืชตระกูลถั่ว (เช่น ถั่วเหลือง, ถั่วดำ) และธัญพืชไม่ขัดสี ส่วนเนื้อสัตว์จะทานในปริมาณที่น้อยมาก หรือทานแค่ไม่กี่ครั้งต่อเดือน อาหารจากพืชมีกากใยสูง สารต้านอนุมูลอิสระ และสารอาหารที่ช่วยลดการอักเสบในร่างกายได้ดี

การกินอาหารแต่พออิ่ม โดยแนวคิดของ ชาวโอกินาว่า ประเทศญี่ปุ่น มีคำสอนโบราณที่เรียกว่า  Hara Hachi Bu  ซึ่งหมายถึงการกินอาหารให้รู้สึกอิ่มเพียง 80% การไม่กินจนอิ่มเกินไปช่วยลดภาระการทำงานของระบบย่อยอาหาร และมีส่วนช่วยในการควบคุมน้ำหนัก

การมีเป้าหมายในชีวิต กล่าวคือการมีเหตุผลที่จะลุกจากเตียงในทุกเช้าเป็นสิ่งสำคัญมาก คนญี่ปุ่นเรียกว่า  “อิคิไก” (Ikigai)   และชาวคอสตาริกาเรียกว่า  “แพลน เด วีด้า” (Plan de Vida) การมีเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นการดูแลครอบครัว การทำงานอดิเรก หรือการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ช่วยให้มีชีวิตชีวาและมีความสุข

และการพักผ่อนและผ่อนคลายความเครียด ความเครียดเรื้อรังเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้อายุสั้นลง คนที่อายุยืนมีกิจวัตรประจำวันเพื่อลดความเครียด เช่น การทำสมาธิ การสวดมนต์ การงีบหลับสั้นๆ หรือเพียงแค่ใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติ การจัดการความเครียดอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดการอักเสบในร่างกายและส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม เป็นต้น

ปฏิเสธไม่ได้ว่า คนรวยกว่าย่อมเข้าถึงบริการสุขภาพที่ดีกว่า ซึ่งปัจจุบันมีเทคโนโลยีการดูแลสุขภาพ Wellness ขั้นสูง สร้างเสริมการมีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพ ตอกย้ำ Longevity ไม่ใช่แค่เทรนด์สุขภาพดี แต่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อทุกสิ่ง ตั้งแต่ระบบสาธารณสุข การวางแผนการเงิน ไปจนถึงโครงสร้างทางสังคม

 Bangkok Bank SME ระบุว่า ตลาด Longevity ทั่วโลกคาดการณ์มีมูลค่าสูงถึง 27 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2026 (Bank of America) โดยที่ผ่านมีธุรกิจจำนวนมากที่นำหลักการ Longevity มาปรับใช้ได้อย่างน่าสนใจ อาทิ ธุรกิจคลินิกและศูนย์สุขภาพเฉพาะทาง (Longevity Clinics & Wellness Centers) ศูนย์สุขภาพประเภทนี้ไม่ได้รอให้ป่วยแล้วค่อยรักษา แต่ใช้เทคโนโลยีการวินิจฉัยขั้นสูงเพื่อ “ตรวจหาความเสี่ยงตั้งแต่ยังไม่เกิดอาการ” เช่น การทำ Full-body MRI หรือการตรวจพันธุกรรม เพื่อให้ผู้รับบริการทราบถึงความเสี่ยงของโรคร้ายแรงอย่างมะเร็งหรือโรคหัวใจตั้งแต่เนิ่น ๆ ทำให้สามารถวางแผนการป้องกันได้ทันท่วงที 

หรือ ธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพและยา (Biotechnology & Pharmaceuticals) บริษัทวิจัยและพัฒนายาในปัจจุบันหันมาใช้ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการค้นหาและออกแบบโมเลกุลยาใหม่ๆ เพื่อพุ่งเป้าไปที่กลไกของความชรา (Hallmarks of Aging) โดยเฉพาะ ซึ่งช่วยลดระยะเวลาและต้นทุนในการค้นคว้ายาได้อย่างมหาศาล

รวมถึง ธุรกิจเทคโนโลยีสวมใส่และข้อมูลสุขภาพ (Wearables & Health Data) อุปกรณ์ Wearable เช่น Smartwatch หรือแหวนอัจฉริยะ (Smart Ring) ที่เน้นการเก็บข้อมูลสุขภาพเชิงลึกตลอด 24 ชั่วโมง เช่น คุณภาพการนอนหลับ, อัตราการฟื้นตัวของร่างกาย (Heart Rate Variability - HRV) หรือระดับความเครียด ทำให้ผู้ใช้มีข้อมูลที่จับต้องได้เพื่อนำไปปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันอย่างมีประสิทธิภาพ

โดยเทรนด์การมีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพส่งผลให้ธุรกิจในตลาด Longevity มีศักยภาพเติบโต อาทิ 1. บริการตรวจสุขภาพเชิงลึกและให้คำปรึกษาเฉพาะบุคคล (Personalized Health-Tech) อาทิ การใช้เทคโนโลยีและ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลพันธุกรรม, การตรวจเลือดเชิงลึก, อุปกรณ์ Wearable Device , การให้คำแนะนำด้านสุขภาพแบบเฉพาะบุคคล

2. ธุรกิจอาหารเสริมและอาหารฟังก์ชัน (Supplements & Functional Foods): ตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่ได้เน้นแค่รสชาติ แต่ผสมสารอาหารหรือส่วนประกอบที่มีคุณสมบัติด้านสุขภาพโดยเฉพาะ เช่น อาหารที่มีโปรไบโอติกเพื่อสุขภาพลำไส้ หรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของสารที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง

3. ธุรกิจฟิตเนสและ Wellness Retreat รูปแบบใหม่: สวนทางกับฟิตเนสแบบเดิม ๆ ที่เน้นความเหนื่อยล้า ฟิตเนสยุคใหม่จะเน้นการฟื้นฟูและ Biohacking โดยมีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้ เช่น การบำบัดด้วยความเย็น (Cryotherapy) หรือห้องอุณหภูมิต่ำ (Cold Plunge)

และ 4. แพลตฟอร์มและเทคโนโลยีสำหรับผู้สูงวัย (Age-Tech Platforms): ครอบคลุมตั้งแต่แพลตฟอร์มดูแลผู้สูงอายุถึงบ้าน, อุปกรณ์ Smart Home ที่ช่วยอำนวยความสะดวกและความปลอดภัย, ไปจนถึงแอปพลิเคชันที่ช่วยให้ผู้สูงอายุเชื่อมต่อกับสังคม

หันกลับไปมองที่นโยบายสุขภาพของรัฐบาลไทย ที่ผ่านมามีการดำเนินการผลักดันโครงการต่างๆ มากมาย โดยมุ่งเน้นลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่กำลังคุกคามคนรุ่นใหม่ โดนกระแส Longevity แนวคิดการมีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพในโลกทุนนิยม

ล่าสุด มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจนำกำลังนำไปสู่นโยบายสุขภาพกระตุ้นการออกกำลังกาย  “ฟิตเนส คนละครึ่ง”  ตอบโจทย์นโยบายด้านสาธารณสุขของประเทศ มุ่งลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs)

โดยสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ชงประเด็น “ฟิตเนส คนละครึ่ง” มาตรการสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนออกกำลังกาย โดยรัฐบาลช่วยอุดหนุนค่าบริการ ผ่านที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนานโยบายสาธารณะว่าด้วยการสานพลังสร้างสภาวะแวดล้อมทางกายภาพและสังคมเพื่อลดโรคไม่ติดต่อ 1/2568 ภายใต้แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนนโยบายเพื่อส่งเสริมการสร้างสภาวะแวดล้อมทางกายภาพและทางสังคมเพื่อลดโรคไม่ติดต่อ หรือ NCDs Ecosystem เตรียมเสนอรัฐบาลออกมาตรการสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนออกกำลังกายโดยรัฐช่วยอุดหนุนค่าบริการ

 นพ.โสภณ เมฆธน ประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนานโยบายสาธารณะฯ ระบุว่าปัจจัยของการลดโรค NCDs ต้องมุ่งเน้นให้ความสำคัญ เรื่องการลดน้ำหนักควบคู่กับการออกกำลังกาย ซึ่งสามารถขับเคลื่อนได้ในระดับนโยบายส่วนกลาง ที่ต้องแสวงหามาตรการหรือนวัตกรรมเข้ามาช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงในภาพกว้าง และขับเคลื่อนในระดับพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นในระดับท้องถิ่น หน่วยงาน องค์กร หรือชุมชน ที่จะนำเครื่องมือหรือนวัตกรรมที่เกิดขึ้นไปประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสมสอดคล้องกับบริบทของแต่ละแห่ง

ยกตัวอย่าง ระดับนโยบาย เช่น ปัจจุบันมีการพูดถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยโครงการคนละครึ่ง อาจนำนโยบายมากกระตุ้นการออกกำลังกายด้วย เมื่อประชาชนไปสมัครฟิตเนสแล้วรัฐช่วยออกให้อีกส่วนหนึ่ง เป็นต้น ซึ่งเป็นกลไกที่สามารถออกแบบมาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างสภาวะแวดล้อมเพื่อลดโรค NCDs


ทั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการเพื่อขับเคลื่อนแผน NCDs Ecosystem ที่มุ่งสร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพและลดปัจจัยเสี่ยงของโรคในประเทศไทย

 ข้อมูลจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พบว่าคนไทยเสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ โรค NCDs ปีละกว่า 400,000 ราย หรือ เฉลี่ยวันละกว่า 1,000 ราย โดยคิดเป็น 81% ของสาเหตุการเสียชีวิตทั้งหมด โดยมีสาเหตุมาจากปัจจัยเสี่ยงด้านพฤติกรรม สิ่งแวดล้อม และระบบการเผาผลาญของร่างกาย 


ขณะเดียวกัน หน่วยงานสาธารณสุขของไทยดำเนินงานตามกรอบ 9 เป้าหมาย ลดโรค NCDs ระดับโลก โดยโอกาสการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากโรค NCDs มีแนวโน้มลดลงเล็กน้อยจาก 14.8 % ในปี 2553 เป็น 14.6 % ในปี 2565 ซึ่งค่าเป้าหมายในปี 2568 คือ 11.07 % ส่วนตัวชี้วัดอื่นๆ มีแนวโน้มลดลงเล็กน้อย ได้แก่ ปริมาณการบริโภคแอลกอฮอล์ต่อหัวประชากรต่อปี, ค่าเฉลี่ยปริมาณการบริโภคเกลือโซเดียมต่อคนต่อปี และความชุกของการสูบบุหรี่ เป็นต้น

การผลักดันให้คนไทยมีสุขภาพดีนับโจทย์ท้าทายของนโยบายด้านสาธารณสุข “ฟิตเนส คนละครึ่ง” เป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจกระตุ้นการออกกำลังกายอย่างน่าจับตา ที่ผ่านมา มีสถิติเผยว่าคนไทยออกกำลังกายสม่ำเสมอเพิ่มขึ้นเป็น 44.4% ในปี 2567 หนุนให้รายได้ธุรกิจฟิตเนสปี 2568 โต 18% คาดทะลุ 12,000 ล้านบาท

  จากผลสำรวจของกรมพลศึกษา พบคนไทยมีแนวโน้มออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และการออกกำลังกายเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ โดยสัดส่วนของกลุ่มสำรวจที่อายุมากกว่า 15 ปี ที่ออกกำลังกายมากกว่า 3 วันต่อสัปดาห์ ออกกำลังกายต่อเนื่องอย่างน้อย 30 นาที เพิ่มขึ้นจาก 40.4% ในปี 2565เป็น 44.4% ในปี 2567 


โดยผลสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภค ในปี 2567 ระบุว่า 60.2% ของผู้ที่ออกกำลังกายเลือกใช้บริการฟิตเนส ขณะที่มีเพียง 39.8% ที่ออกกำลังกายในสถานที่อื่นๆ โดยปัจจุบันบทบาทของฟิตเนสนั้นไม่ใช่แค่สถานที่ออกกำลังกาย แต่ยังเป็นคอมมูนิตี้ที่รวมทั้งพื้นที่สำหรับการดูแลสุขภาพพบปะผู้คน

 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย 
 คาดการณ์รายได้ปี 2568 ธุรกิจฟิตเนสโต 18% ทะลุ 12,000 ล้านบาท จากจำนวนนิติบุคคลจัดตั้งใหม่ใน 5 เดือนแรกของปีนี้ที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 31 บริษัท รายได้ของธุรกิจฟิตเนสในประเทศไทยเริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจนตั้งแต่ปี 2566 หลังการระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่กระตุ้นให้คนหันมาใส่ใจการออกกำลังกายมากขึ้นจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์

อย่างไรก็ตาม รายได้ของธุรกิจฟิตเนสยังคงกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ โดยคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 80% ของรายได้รวมทั้งประเทศ เนื่องจากการใช้บริการฟิตเนสมักมีค่าใช้จ่าย และกรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ที่มีประชากรกลุ่มมีกำลังซื้อสูง ทำให้รายได้ส่วนใหญ่ยังคงมาจากตลาดในเมืองเป็นหลัก

ทั้งนี้ เดือนมกราคม - พฤษภาคม 2568 มีการจัดตั้งนิติบุคคลใหม่ในกรุงเทพฯ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจฟิตเนสจำนวน 41 บริษัท โดยกว่า 56% มีการให้บริการโยคะหรือพิลาทิส บ่งชี้ว่ากระแสการออกกำลังกา ที่เน้นการเสริมสร้างความแข็งแรง ปรับบุคลิกภาพ และฟื้นฟูร่างกาย เช่น พิลาทิสและโยคะ กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สอดคล้องกับข้อมูลจากการกีฬาแห่งประเทศไทยในปี 2564 ซึ่งเก็บจากผู้ใช้งานโซเชียลมีเดีย 48.59 ล้านคน พบว่า พิลาทิส เป็นกิจกรรมที่ผู้คนคาดหวังจะออกกำลังกายมากเป็นอันดับ 3 โดยมีสัดส่วนถึง 29.3% รองจาก ฮูลาฮูป และ เวทเทรนนิ่ง สะท้อนแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของตลาดจากฟิตเนสแบบดั้งเดิม สู่รูปแบบการออกกำลังกายแบบเฉพาะทางที่อยู่ในกระแสมากขึ้น

ขณะเดียวกัน องค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดอายุขัยของมนุษย์เพิ่มมากขึ้นในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยรายงานจำนวนผู้ที่มีอายุเกิน 100 ปี (Centenarian) มีจำนวนเพิ่มขึ้นประมาณ 3 เท่า จาก 180,000 คน ในปี 2544 เพิ่มเป็น 593,000 คน ในปี 2564 อายุขัยเฉลี่ย (Life Expectancy) ของมนุษย์ทั่วโลก เพิ่มขึ้น 6.6 ปีจาก 66.8 ปี เมื่อปี 2543 อยู่ที่ 73.4 ปี ในปี 2562 ซึ่งหากแบ่งตามเพศ ผู้หญิงจะมีอายุขัยเฉลี่ย 75.9 ปี ส่วนผู้ชายอายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 70.8 ปี ส่วนคนไทย อายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 77.7 ปี โดยผู้หญิงอยู่ที่ 81.04 ปี และผู้ชายอยู่ที่ 74.36 ปี

 ปรากฎการณ์อายุขัยของมนุษย์เพิ่มมากขึ้น ยิ่งทำให้แนวคิด Longevity การมีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพได้รับความสนใจ หันมาใส่ใจดูแลสุขภาพกายและใจ เพราะอย่างน้อยๆ ก็สามารถชีวิตบั้นปลายที่มีความสุข 





กำลังโหลดความคิดเห็น