xs
xsm
sm
md
lg

บทบาทฝ่ายค้านของพรรคเพื่อไทย: ความสับสนและทางเลือก / Phichai Ratnatilaka Na Bhuket

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"

 การเมืองนั้นไม่แน่นอน มีพลวัตที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ยามรุ่งโรจน์ก็สูงเด่นเสมือนภูเขาที่ทุกคนแหงนมองด้วยความคาดหวัง แต่ยามตกต่ำก็พร่ามัวราวกับหมอกหนาในหุบเหวที่ยากจะหยั่งถึงทิศทาง เรื่องราวของพรรคเพื่อไทยในบทบาทฝ่ายค้าน ณ ห้วงเวลานี้ ช่างเป็นกรณีศึกษาที่น่าครุ่นคิดและวิเคราะห์อย่างยิ่งยวด พรรคการเมืองที่เคยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลมาอย่างยาวนาน คุ้นเคยกับกลไกและอำนาจบริหาร บัดนี้ต้องกลับมานั่งในที่นั่งของผู้ตรวจสอบ ถือเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ไม่ใช่แค่ตำแหน่งแห่งที่ในรัฐสภา แต่คือการเปลี่ยนผ่านทางจิตวิทยาและอัตลักษณ์ครั้งสำคัญ


การเปลี่ยนจาก “ผู้กระทำ” (Actor) มาเป็น “ผู้ตรวจสอบ” (Inspector) นั้นต้องอาศัยการปรับตัวอย่างมหาศาล ทว่าสิ่งที่สาธารณชนได้เห็นกลับไม่ใช่การปรับกระบวนทัพอย่างเป็นเอกภาพ หากแต่เป็นภาพสะท้อนของความสับสน ความลังเล และบาดแผลจากอดีตที่ยังไม่จางหาย บทความนี้จะวิเคราะห์ถึงสภาวะดังกล่าวของพรรคเพื่อไทยผ่านการกระทำ 3 ประการที่เด่นชัด คือ การประกาศตนเป็น “ฝ่ายค้านอิสระ” การเลือกเป้าโจมตีที่ผิดฝาผิดตัว และการขาดวุฒิภาวะทางการเมืองที่สังคมคาดหวัง ก่อนจะนำเสนอทางเลือกสองเส้นทางที่พรรคเพื่อไทยต้องตัดสินใจ เพื่อกำหนดอนาคตของตนเองและสร้างผลกระทบต่อการเมืองไทยในระยะยาว

สัญญาณแรกที่บ่งบอกถึงความสับสนภายในพรรคเพื่อไทย คือการประกาศจุดยืนว่าจะไม่เข้าร่วมกับวิปฝ่ายค้าน แต่จะขอทำหน้าที่ในฐานะ “ฝ่ายค้านอิสระ” เมื่อพิจารณาอย่างผิวเผิน คำว่า “อิสระ” นั้นดูงดงามและน่าเกรงขาม มันสื่อถึงการไม่ตกอยู่ใต้อาณัติของใคร มีเอกสิทธิ์ในการตัดสินใจ แต่ในบริบทของการเมืองระบบรัฐสภา โดยเฉพาะบทบาทของฝ่ายค้าน การประกาศตนเป็นอิสระเช่นนี้กลับสะท้อนนัยยะที่ลึกซึ้งและน่ากังวลกว่านั้น

การเป็น “ฝ่ายค้านอิสระ” คือกลไกป้องกันตัวทางการเมือง (Political Defense Mechanism) รูปแบบหนึ่ง ซึ่งเป็น จิตวิทยาแห่งการไม่ยอมรับความจริง มันคือความพยายามที่จะปฏิเสธความจริงว่าพรรคได้สูญเสียสถานะการเป็นผู้นำไปแล้ว การเข้าร่วมวิปฝ่ายค้านภายใต้การนำของพรรคอื่น (ซึ่งในที่นี้คือพรรคประชาชน) เปรียบเสมือนการยอมรับความพ่ายแพ้อย่างเป็นทางการ เป็นการลดทอนศักดิ์ศรีและบารมีที่สั่งสมมานานกว่าสองทศวรรษ

ดังนั้น การสร้างพื้นที่ของตนเองภายใต้ชื่อ “อิสระ” จึงเป็นหนทางรักษาสถานะทางใจให้รู้สึกว่ายังคงยิ่งใหญ่และแตกต่างจากฝ่ายค้านพรรคอื่น ๆ แม้ในทางปฏิบัติจะนั่งอยู่ในฝั่งเดียวกันก็ตาม มันคือความพยายามจะบอกว่า “เราไม่ใช่ฝ่ายค้านธรรมดา แต่เราคืออดีตรัฐบาลที่จำใจต้องมาเป็นฝ่ายค้าน”

ประสิทธิภาพของการตรวจสอบรัฐบาลนั้น มีหัวใจสำคัญอยู่ที่ความเป็นเอกภาพของฝ่ายค้าน การทำงานร่วมกันผ่านกลไกวิปฝ่ายค้านช่วยให้การอภิปราย การยื่นญัตติ หรือการลงมติ มีน้ำหนักและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน การที่พรรคเพื่อไทยซึ่งมีจำนวน ส.ส. เป็นกอบเป็นกำแยกตัวออกมา ย่อมทำให้พลังโดยรวมของฝ่ายค้านอ่อนแอลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รัฐบาลย่อมยินดีกับสภาวะ  “ฝ่ายค้านเสียงแตก” เช่นนี้ เพราะง่ายต่อการรับมือและลดทอนความน่าเชื่อถือของการตรวจสอบ

 นี่จึงไม่ใช่สัญญาณแห่งความมั่นคง หากแต่เป็นเงาของความสับสนในอัตลักษณ์ที่ยังหาจุดยืนที่เหมาะสมไม่เจอ เปรียบได้กับการลอยเคว้งอยู่กลางแม่น้ำ แม้จะมีอิสระที่จะลอยไปทางไหนก็ได้ แต่หากไร้ซึ่งหางเสือและทิศทางที่ชัดเจน อิสรภาพนั้นก็ไร้ความหมายและไม่นำไปสู่จุดหมายใดเลย

ท่าที “อิสระ” นี้ยังเป็นการส่งสัญญาณที่คลุมเครือไปยังทุกฝ่าย ทั้งฐานเสียงของตนเอง พันธมิตร และฝ่ายรัฐบาล สำหรับฐานเสียง ย่อมสร้างความไม่แน่ใจว่าพรรคจะเอาจริงเอาจังกับการตรวจสอบรัฐบาลมากน้อยเพียงใด สำหรับพรรคฝ่ายค้านอื่น คือการประกาศตัวไม่ขอร่วมหัวจมท้าย และสำหรับฝ่ายรัฐบาล ก็อาจถูกตีความได้ว่าพรรคเพื่อไทยพร้อมที่จะประนีประนอมหรือเจรจาต่อรองในบางประเด็นเพื่อแลกกับผลประโยชน์บางอย่างในอนาคต ความคลุมเครือนี้กัดกร่อนความไว้วางใจและทำให้บทบาทของพรรคเพื่อไทยในสนามการตรวจสอบขาดความศักดิ์สิทธิ์ ดูไปแล้วการเป็นฝ่ายค้านอิสระจึงเป็นเพียงวาทกรรมแห่งการปฏิเสธความจริงนั่นเอง

สิ่งที่น่าประหลาดใจและสะท้อนบาดแผลภายในใจของพรรคเพื่อไทยได้ชัดเจนยิ่งกว่า คือทิศทางการโจมตีทางการเมืองในช่วงแรกของการเป็นฝ่ายค้าน แทนที่จะมุ่งเป้าไปที่การตรวจสอบนโยบาย การใช้งบประมาณ หรือการบริหารงานของพรรครัฐบาลอย่างพรรคภูมิใจไทยและพรรคร่วมรัฐบาลอื่น ๆ พวกเขากลับเลือกที่จะใช้เวลาและทรัพยากรไปกับการเสียดสี เหน็บแนม โจมตี และพยายามลดทอนความน่าเชื่อถือของพรรคประชาชน ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านด้วยกันเอง

 พฤติกรรมเช่นนี้บ่งชี้ว่าพรรคเพื่อไทยไม่ได้กำลังทำหน้าที่ของ “ฝ่ายค้าน” ตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย หากแต่กำลังแสดงบทบาทของ “ฝ่ายแค้น” ที่ถูกอดีตฝังลึกในใจ ความแค้นนี้มีที่มาจากผลการเลือกตั้งครั้งล่าสุดที่พรรคประชาชน (พรรคก้าวไกล) สามารถกวาดคะแนนเสียงและความนิยมไปได้อย่างถล่มทลาย แซงหน้าพรรคเพื่อไทยที่มั่นใจมาตลอดว่าเป็นผู้นำของขั้วประชาธิปไตย ความพ่ายแพ้ต่อคู่แข่งที่เคยเป็นเหมือน “รุ่นน้อง” ในสนามการเมืองเดียวกันนั้นเจ็บปวดกว่าการพ่ายแพ้ให้กับขั้วอำนาจเก่าเป็นไหน ๆ การโจมตีพรรคประชาชนจึงเปรียบเสมือนการระบายความคับแค้นใจและพยายามทวงคืนสถานะ “ผู้นำ” ในใจของมวลชนกลับคืนมา

การเมืองคือการเลือกสมรภูมิรบที่ถูกต้อง ในฐานะฝ่ายค้าน สมรภูมิหลักคือการตรวจสอบรัฐบาลในสภาและนอกสภา แต่พรรคเพื่อไทยกลับเลือกที่จะเปิดศึกในสมรภูมิรอง คือการแย่งชิงความเป็นใหญ่ในหมู่ฝ่ายค้านด้วยกันเอง การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างอะไรจากการหันปืนเข้าหากองทัพของตัวเองในขณะที่ข้าศึกตัวจริงกำลังรุกคืบ เป็นการสิ้นเปลืองกระสุน (ประเด็นทางการเมือง) และกำลังพล (ความสนใจของประชาชน) ไปโดยเปล่าประโยชน์ ไฟแห่งความแค้นนั้นอาจเผ็ดร้อนและสะใจในระยะสั้น แต่มันไม่เคยสร้างสะพานแห่งความร่วมมือเพื่อเป้าหมายที่ใหญ่กว่า มีแต่จะเผาสะพานที่มีอยู่ให้มอดไหม้ลงไป

ทุกครั้งที่ฝ่ายค้านทะเลาะกันเอง คนที่ยิ้มกริ่มอยู่ข้างสนามก็คือรัฐบาล พวกเขาสามารถบริหารบ้านเมืองต่อไปโดยมีการตรวจสอบที่เบาบางลง ประเด็นการทุจริตหรือความล้มเหลวเชิงนโยบายอาจถูกกลบด้วยข่าวความขัดแย้งของฝ่ายค้าน การกระทำของพรรคเพื่อไทยจึงกลายเป็นการช่วยเหลือรัฐบาลทางอ้อมอย่างไม่ตั้งใจ และท้ายที่สุด เมื่อประชาชนเอือมระอากับความขัดแย้งภายในของฝ่ายค้าน พวกเขาอาจหันไปมองว่ารัฐบาลที่ดู “นิ่ง” กว่านั้นน่าฝากความหวังไว้มากกว่า ซึ่งจะเป็นการสูญเสียทางการเมืองที่ร้ายแรงที่สุดของพรรคเพื่อไทย

สังคมย่อมมีความคาดหวังต่อพรรคการเมืองที่แตกต่างกันไปตามขนาด ประสบการณ์ และประวัติศาสตร์ สำหรับพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคขนาดใหญ่ที่แตกหน่อมาจากพรรคไทยรักไทยและพลังประชาชน มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีบุคลากรที่เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมานับไม่ถ้วน สังคมจึงคาดหวังที่จะเห็น “ความเป็นผู้ใหญ่” (Political Maturity) ในการทำหน้าที่ ณ รัฐสภา

 “ความเป็นผู้ใหญ่” คือศิลปะของการยับยั้งชั่งใจ การแยกแยะระหว่างเรื่องส่วนตัวกับผลประโยชน์ส่วนรวม การเลือกใช้เหตุผลและข้อมูลมากกว่าอารมณ์และความรู้สึก และที่สำคัญคือการเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของตนเองอย่างถ่องแท้ ฝ่ายค้านที่เป็นผู้ใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่การตรวจสอบอย่างสร้างสรรค์ ชี้ให้เห็นข้อบกพร่องของรัฐบาลพร้อมเสนอทางออกที่ดีกว่า พวกเขาจะใช้เวทีสภาในการอภิปรายเชิงนโยบายอย่างคมคาย ไม่ใช่เวทีสาดโคลนหรือระบายความอัดอั้นตันใจ
แต่สิ่งที่ปรากฏผ่านสื่อในช่วงที่ผ่านมา กลับเป็นการใช้โวหารและถ้อยคำเสียดสี ประชดประชัน คล้ายเด็กน้อยที่งอแงเมื่อไม่ได้ของเล่นตามใจหวัง การตอบโต้ทางการเมืองเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกส่วนตัวมากกว่าการยกหลักการและเหตุผลมาหักล้างกัน การกระทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่ทำลายภาพลักษณ์ของนักการเมืองรายบุคคล แต่ยังบั่นทอนภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของพรรคเพื่อไทยในภาพรวมอย่างรุนแรง

 ความน่าเชื่อถือคือทุนทางการเมืองที่สำคัญที่สุด เมื่อพรรคการเมืองสูญเสียความน่าเชื่อถือ การจะเรียกร้องความไว้วางใจจากประชาชนในอนาคตย่อมเป็นเรื่องยากลำบาก การแสดงออกที่ขาดวุฒิภาวะทำให้ประชาชนตั้งคำถามว่า พรรคเพื่อไทยยังคงเป็นที่พึ่งและความหวังได้อยู่หรือไม่ พวกเขายังมีความสามารถในการบริหารประเทศอย่างที่เคยกล่าวอ้างจริงหรือ หากแม้แต่การควบคุมอารมณ์และทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างตรงไปตรงมายังทำไม่ได้ ประชาชนจะมั่นใจได้อย่างไรว่าพวกเขาจะสามารถบริหารประเทศที่เต็มไปด้วยปัญหาสลับซับซ้อนได้ คำถามเหล่านี้คือสิ่งที่กำลังกัดกร่อนฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยให้ร่อยหรอลงไปทุกขณะ

ความผิดหวังทางการเมืองนั้นเป็นสิ่งที่ทุกพรรคการเมืองต้องเผชิญ ไม่มีใครสามารถอยู่ในอำนาจได้ตลอดกาล สิ่งสำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่การล้มลง แต่อยู่ที่ว่าจะลุกขึ้นยืนใหม่อย่างไร ณ จุดนี้ พรรคเพื่อไทยกำลังยืนอยู่บนทางสองแพร่งที่ชัดเจน ซึ่งการตัดสินใจเลือกเดินในเส้นทางใดเส้นทางหนึ่ง จะเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของพรรคในทศวรรษต่อไป

 เส้นทางแรก ยอมจำนนต่อไฟแค้นและวังวนแห่งอดีต หากพรรคเพื่อไทยยังคงเลือกที่จะให้ความแค้นและความผิดหวังในอดีตเป็นตัวชี้นำการกระทำ พวกเขาก็จะยังคงดำเนินบทบาท “ฝ่ายแค้น” ต่อไป พวกเขาจะยังคงมุ่งเป้าโจมตีพรรคประชาชนต่อไป เพื่อแย่งชิงพื้นที่สื่อและพยายามทำลายฐานเสียงของคู่แข่งในขั้วเดียวกัน อาจมีการใช้ข้อมูลเชิงลึกหรือวาทกรรมที่รุนแรงขึ้นเพื่อสร้างความแตกแยกให้ชัดเจน

การตรวจสอบรัฐบาลจะกลายเป็นเรื่องรอง อาจทำไปตามวาระหรือตามกระแสสังคม แต่จะขาดความต่อเนื่องและความจริงจัง เพราะพลังงานส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับการต่อสู้ภายในฝ่ายค้านด้วยกันเอง

เส้นทางนี้อาจให้ความสะใจแก่สมาชิกและผู้สนับสนุนบางกลุ่มในระยะสั้น แต่ในระยะยาว มันคือเส้นทางที่นำไปสู่ความเสื่อมถอย พรรคจะสูญเสียความน่าเชื่อถือในฐานะสถาบันทางการเมืองที่รับผิดชอบต่อส่วนรวม ฐานเสียงที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางนี้จะค่อยๆ ตีจากไปหาทางเลือกอื่น และท้ายที่สุด พรรคเพื่อไทยจะกลายเป็นเพียงพรรคขนาดกลางที่จมอยู่กับความขมขื่นในอดีต ไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าเพื่อสร้างอนาคตได้

 เส้นทางที่สอง กลับมาตั้งหลักใหม่ในฐานะ “ฝ่ายค้านมืออาชีพ” นี่คือเส้นทางที่ยากกว่า เพราะต้องอาศัยการกลืนเลือด การยอมรับความจริง และการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กร แต่เป็นหนทางเดียวที่จะนำพรรคกลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่ได้

การปรับกระบวนทัศน์เป็นจำเป็นโดยพรรคต้องยอมรับบทบาทฝ่ายค้านอย่างเต็มภาคภูมิ และเข้าใจว่านี่คือหน้าที่อันทรงเกียรติในระบอบประชาธิปไตย ต้องละทิ้งอัตตาและความรู้สึกว่าเป็น “อดีตรัฐบาล” และมุ่งมั่นทำหน้าที่ “ผู้ตรวจสอบ” ให้ดีที่สุด

 อีกทั้งต้องเปลี่ยนเป้าหมายจากการโจมตีฝ่ายค้านด้วยกันเอง หันไปตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มข้น โดยทุ่มเทและใช้พลังงานทั้งหมดไปศึกษาและวิเคราะห์นโยบายของรัฐบาลอย่างลึกซึ้ง ตรวจสอบการใช้งบประมาณทุกบาททุกสตางค์ เปิดโปงการทุจริตคอร์รัปชันอย่างจริงจัง และนำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ




นอกจากการตรวจสอบแล้ว ควรนำเสนอ “นโยบายเงา” หรือทางเลือกที่ดีกว่าให้ประชาชนได้เห็น เพื่อแสดงให้เห็นว่าพรรคมีความพร้อมที่จะกลับไปเป็นรัฐบาลในอนาคต และควรทำงานร่วมกับพรรคฝ่ายค้านอื่น ๆ ในประเด็นที่มีเป้าหมายร่วมกัน เพื่อสร้างพลังการต่อรองให้มากที่สุด

แม้เส้นทางนี้อาจไม่หวือหวาเท่าการสาดโคลนทางการเมือง แต่จะช่วยฟื้นฟูความน่าเชื่อถือและความศรัทธาจากประชาชนกลับคืนมาอย่างยั่งยืน พรรคจะถูกมองว่าเป็นสถาบันการเมืองที่มีวุฒิภาวะ มีความรับผิดชอบ และทำงานเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญที่สุดที่จะนำไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งต่อไป

ผมเฝ้าดูการเมืองไทยมาหลายยุคหลายสมัย เห็นการรุ่งโรจน์และล่มสลายของพรรคการเมืองมาแล้วนับไม่ถ้วน สิ่งหนึ่งที่ประวัติศาสตร์ไม่เคยเปลี่ยนแปลงคือ ประชาชนและกาลเวลาจะเป็นผู้พิพากษาและจดจำว่า พรรคการเมืองหนึ่ง ๆ ได้ทำหน้าที่ของตนอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามวิกฤตหรือยามที่ต้องตกอยู่ในสถานะที่ยากลำบาก

ณ วันนี้ พรรคเพื่อไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของพรรค การตัดสินใจและทุกการกระทำนับจากนี้ จะถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยอย่างไม่มีวันลบเลือน

คำถามสุดท้ายจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าพรรคเพื่อไทยจะกลับมาเป็นรัฐบาลได้อีกครั้งเมื่อไหร่ แต่อยู่ที่ว่าระหว่างทางที่ต้องเดินในบทบาทฝ่ายค้านนี้ พวกเขาจะเลือกให้ประวัติศาสตร์จารึกชื่อของตนเองไว้อย่างไร จะถูกจดจำในฐานะ “ฝ่ายค้านผู้ใหญ่” ที่แม้จะเจ็บปวดจากความพ่ายแพ้ แต่ก็สามารถลุกขึ้นยืนหยัดทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจรัฐอย่างเข้มแข็ง มีวุฒิภาวะ และสร้างคุณูปการให้แก่ระบอบประชาธิปไตยของประเทศได้สมศักดิ์ศรี

หรือจะถูกตราหน้าว่าเป็นเพียง “ฝ่ายแค้น” ที่หลงวนอยู่ในอดีต ปล่อยให้ความขุ่นเคืองส่วนตัวบดบังผลประโยชน์ของส่วนรวม มุ่งทำลายคู่แข่งทางการเมืองมากกว่าตรวจสอบรัฐบาล และท้ายที่สุดก็ค่อย ๆ เลือนหายไปจากความทรงจำและความไว้วางใจของประชาชน ทางเลือกทั้งหมด...อยู่ในการตัดสินใจของพรรคเพื่อไทยเอง.


กำลังโหลดความคิดเห็น