ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -**การกวาดล้าง “บัญชีม้า” อย่างเข้มข้น ส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้สุจริตเดือดร้อนเป็นวงกว้าง การค้าขายออนไลน์ถึงกับสะดุดกึก ต้องแขวนป้าย “งดโอนชั่วคราว” จนแบงก์ชาติต้องเร่งปรับขบวนกันใหม่ ตรวจสอบให้เร็ว ปลดล็อกให้ไว**
สภาองค์กรของผู้บริโภค ให้ข้อมูลว่าบัญชีม้ามีมากกว่า 3 ล้านเลขหมาย ทั้งม้ากู้เงินออนไลน์ ม้าหวยออนไลน์ ม้าพนันออนไลน์ ม้าขายของโจร ม้าหลอกให้ลงทุน ม้าหลอกให้รัก เสียหายมากว่า 90,000 ล้านบาท เมื่อยังจัดการบัญชีม้าที่ต้นทางไม่หมด ม้าก็อาละอาดเพื่อให้จัดการม้าไม่ได้
“บัญชีม้า” หมายถึงบัญชีธนาคารที่ถูกใช้รับหรือโอนเงินจากการกระทำผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการหลอกลวงออนไลน์ การฉ้อโกง การพนัน หรือการฟอกเงิน เจ้าของบัญชีบางรายอาจเป็นผู้ร่วมขบวนการโดยตรง แต่หลายกรณีกลับเป็นประชาชนคนธรรมดาที่ถูกหลอก ถูกจ้าง หรือถูกชักชวนให้เปิดบัญชีแลกค่าตอบแทน หรือขอเช่าบัญชีเพื่อใช้โอนเงินเพียงช่วงสั้น ๆ บางครั้งเพียงแค่ส่งสำเนาบัตรประชาชนหรือข้อมูลส่วนตัวให้คนแปลกหน้า ก็อาจถูกนำไปเปิดบัญชีม้าโดยไม่รู้ตัว
สิ่งที่น่ากังวลคือ แม้เจ้าของบัญชีจะไม่มีเจตนาทุจริต แต่หากบัญชีถูกใช้ทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย เจ้าของบัญชีก็จะถูกมองว่า “มีส่วนเกี่ยวข้อง” โดยอัตโนมัติ บางคนอาจเคยโอนเงินไปยังบัญชีม้าโดยไม่รู้ หรือบางคนอาจเคยได้รับเงินจากบัญชีม้าโดยไม่ตั้งใจ สถานการณ์ที่บัญชีม้าอาละวาด สะท้อนว่า ธนาคารพาณิชย์ ยังคุมเข้มบัญชีม้าไม่ได้ ผลกระทบจึงตกอยู่กับผู้บริสุทธิ์ สร้างความปั่นป่วนโกลาหลทั้งบ้านทั้งเมือง
ล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) วางแนวทางแก้ไขปัญหาให้เร็วที่สุด โดยโทร.แจ้งสายด่วน “ตำรวจไซเบอร์” - ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (ศปอท.) (Anti Online Scam Operation Center ) หรือ AOC หรือศูนย์ AOC 1441 ต่อ 2 เพื่อให้ตรวจสอบและส่งต่อข้อมูลให้ธนาคารปลดการระงับบัญชี ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงต่อรอบการปลดล็อก และสามารถติดต่อสถานีตำรวจทุกพื้นที่เพื่อดำเนินการแก้ไข โดยตำรวจยืนยันว่าใช้เวลาไม่เกินครึ่งวัน จากเดิมที่ใช้เวลานานถึง 3-7 วัน
ทั้งนี้ ธปท. แบ่งบัญชีม้าออกเป็นหลายระดับสีตามสถานะความอันตราย เริ่มจาก “ม้าน้ำตาลอ่อน” ซึ่งเป็นบัญชีน่าสงสัยที่มีธุรกรรมผิดปกติ “ม้าน้ำตาลเข้ม” ที่มีความผิดปกติชัดเจน “ม้าเทาอ่อน” ที่มีผู้เสียหายร้องเรียนแต่ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบ หากพบหลักฐานก็จะถูกยกระดับเป็น “ม้าเทาเข้ม” ซึ่งเป็นบัญชีม้าที่ได้รับการยืนยันแล้ว และร้ายแรงที่สุดคือ “ม้าดำ” ที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินและอาชญากรรมรุนแรง แสดงให้เห็นว่า แม้เพียงความผิดปกติเล็กน้อย ธนาคารก็สามารถติดตาม ตรวจสอบ และนำไปสู่การอายัดบัญชีได้
เมื่อบัญชีถูกระบุว่าเป็น “บัญชีม้า”เจ้าของบัญชีจะต้องเผชิญกับบทลงโทษทางกฎหมาย เช่น หากขายหรือให้เช่าบัญชี อาจถูกจำคุกสูงสุด 3 ปี หรือปรับถึง 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากเป็นผู้จัดหาหรือโฆษณาเพื่อหาคนมาเปิดบัญชี จะมีโทษหนักขึ้น คือจำคุก 2 - 5 ปี หรือปรับ 200,000 - 500,000 บาท กฎหมายถือว่าการกระทำเหล่านี้คือการสนับสนุนการฟอกเงินและอาชญากรรมโดยตรง
การยกระดับกวาดล้างบัญชีม้า กระทั่งส่งผลกระทบต่อประชาชนทั่วไปที่ไม่เกี่ยวข้องกับบัญชีม้าในครั้งนี้ มีคำชี้แจงจาก น.ส.ดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่นำทีมแถลงเมื่อวันที่ 15 กันยายน ที่ผ่านมา ว่ากระบวนการทั้งหมดดำเนินการตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา กฎหมายดังกล่าว ให้อำนาจและเพิ่มมาตรการป้องกันประชาชนจากการตกเป็นเหยื่อของอาชญากร
ส่วนสาเหตุที่มีประชาชนถูกระงับการทำธุรกรรมจำนวนมาก มาจากกระบวนการ “ต่อเส้นเงิน” เพื่อจับเงินที่ถูกหลอกโอนมา โดยการกักเงินให้อยู่ในระบบมากที่สุดเพื่อนำเงินมาคืนผู้เสียหายให้ได้มากที่สุด แต่เนื่องจากมิจฉาชีพมีความสามารถในการหลอกลวงบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องให้เข้ามามีส่วนร่วมโดยใช้บัญชีของพวกเขา จึงทำให้เกิดผลกระทบต่อผู้สุจริตได้
สำหรับสถิติการถูกระงับบัญชีรายสัปดาห์ พบว่า ช่วงวันที่ 17 - 23 สิงหาคม 2568 มียอดระงับบัญชีสูงถึง 1.4 หมื่นบัญชีต่อสัปดาห์ ภายหลังเชื่อมบัญชี e-Money และคริปโตเคอร์เรนซี แล้วทยอยปรับลดลง ล่าสุด วันที่ 7 - 11 กันยายน 2568 อยู่ที่ 1 หมื่นบัญชีต่อสัปดาห์ ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
“หลังจากนี้ ธปท.และสมาคมธนาคารไทย และ ศปอท. จะกวาดบัญชีเท่าที่จำเป็น ซึ่งจะมีเงื่อนไขออกมาเพื่อไม่ให้กวาดโดนคนสุจริต โดยไม่ได้ดูที่จำนวนวงเงินน้อยหรือมาก แต่จะดูลักษณะวิธีการโอนเงินเข้า-ออก ที่ต้องสงสัย เพื่อให้การกวาดเส้นเงินทำเฉพาะบัญชีที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ไม่กวาดบัญชีผู้บริสุทธิ์เข้ามาตั้งแต่แรก” ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท.กล่าว
ส่วนการปรับแนวทางปลดล็อกบัญชี หากเป็น “ม้าดำ - ม้าน้ำตาล” จะไม่ปลดล็อก แต่หากเป็นบัญชีปกติ โอนเงินเข้า-ออกในลักษณะร้านค้าปกติจะไม่เอาเข้าข่ายบัญชีต้องสงสัย และปลดล็อกให้เร็วที่สุด และปรับการแจ้งผู้ถูกระงับธุรกรรมให้ชัดเจนขึ้น โดยแบงก์พาณิชย์จะต้องแจ้งให้ลูกค้าทราบว่าจะเป็นการระงับธุรกรรมชั่วคราว และวงเงินเท่าไหร่ ไม่ได้ระงับทั้งบัญชี แนวทางที่ปรับใหม่นี้จะเริ่มภายในเดือนกันยายน 2568
นอกจากนั้น ภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ แบงก์จะนำข้อมูลบัญชีที่ถูกระงับจากการทำธุรกรรมจากกระบวนการ “ต่อเส้นเงิน” มาตรวจสอบทั้งหมด เพื่อแยกผู้บริสุทธิ์ออกมา และปลดล็อกการระงับการทำธุรกรรมให้ลูกค้าก่อนที่ลูกค้าแจ้งปลดล็อก คาดว่าจำนวนบัญชีที่ถูกระงับจะลดลงจากเดิมเฉลี่ยสัปดาห์ละ 1 หมื่นบัญชี
ขณะที่ “บัญชีม้าปลอม” ปั่นป่วน พวกมิจฉาชีพที่เป็น “บัญชีม้าจริง” ก็ผสมโรงป่วนฮอตไลน์ และแจ้งขอปลดล็อกบัญชีสร้างกระแสกดดัน โดย น.ส.ดารณี ระบุว่า จากการตั้งวอร์รูมตรวจสอบการขอปลดล็อกระงับธุรกรรมผ่านศูนย์ AOC เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2568 พบว่า ผู้ที่ถูกระงับบัญชีมีการติดต่อ ศปอท. และสถาบันการเงิน 100 กว่ากรณี มีเพียง 11 กรณี หรือ 10% เท่านั้นที่สามารถปลดระงับได้จริง เนื่องจากบางส่วนไม่สามารถตอบข้อมูลบัญชีได้ เช่น ไม่มีเลขที่บัญชี ไม่มีเลขบัตรประชาชน สะท้อนว่าอาจเป็นบัญชีม้าตีเนียนมาขอปลดล็อก หรือเป็นม้าดำที่รับเงินเป็นต่อแรกจากผู้เสียหาย และมีบัญชีม้าบางส่วนโทร.ป่วนศูนย์ AOC 1441 กด 2 เป็นจำนวนมาก ทำให้ศูนย์ AOC ทำงานได้ช้าลง
ต่อมา เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2568 นายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอี ให้ข้อมูลว่า ในช่วงวันที่ 14-15 กันยายนที่ผ่านมา มีผู้โทรศัพท์เข้ามาร้องเรียนผ่านศูนย์ AOC 1441 แจ้งให้ปลดล็อกบัญชีประมาณ 1,300 สาย แต่มีเพียง 30 สาย หรือ 10% ที่ตรวจสอบข้อมูลแล้วปลดล็อกได้ ส่วนอีก 270 สาย มีส่วนเกี่ยวข้องกับบัญชีม้า ทั้งนี้ สายบัญชีม้าอาจหวังปลุกกระแส และกดดันให้เจ้าหน้าที่รีบปลดล็อกบัญชีโดยไม่ตรวจสอบก็เป็นได้
ธปท. ระบุว่า ข้อมูลจากศูนย์ AOC 1441 แจ้งว่า นับตั้งแต่วันที่ 14-16 กันยายน 2568 เวลา 11.00 น. มีจำนวนผู้ที่โทร.เข้ามาขอถอนการระงับธุรกรรม 5,274 สาย แต่มีถึง 3,526 สาย ที่ไม่ยอมบอกข้อมูลพื้นฐานส่วนตัว เช่น เลขบัญชี หรือธนาคาร ซึ่งอ้างว่าไม่รู้ ขณะที่มีผู้ที่ให้ข้อมูลเพื่อเพิกถอนการระงับธุรกรรม จำนวน 1,748 สาย
นายสุปรีชา ลิมปิกาญจนโกวิท ผู้แทนจากสมาคมธนาคารไทย กล่าวย้ำถึงขั้นตอนการปลดล็อกบัญชีว่า เมื่อผู้เสียหายโทรเข้า 1441 กด 2 เพื่อแจ้งว่าตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์ ทาง 1441 จะรวบรวมชื่อส่งให้ธนาคาร จากนั้นธนาคารจะพิจารณาว่าบัญชีผู้แจ้งมีความสุจริต ติดหมายหรือไม่, การใช้จ่ายเป็นปกติหรือไม่ หากมีจำนวนเงินไม่มากก็ถือว่าปกติ แต่หากจำนวนเงินมาก ธนาคารจะตรวจสอบการเดินบัญชีว่ามีความปกติหรือไม่
อย่างไรก็ดี ทางแบงก์ชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะนำข้อมูลที่คัดกรองรอบนี้ไปปรับปรุงเกณฑ์การพิจารณาบัญชีม้าภายในเดือนกันยายน 2568 ภายใต้หลักการ 3 ข้อ คือ กวาดข้อต่อบัญชีม้าเท่าที่จำเป็น จากนั้นจะแจ้งให้ผู้อยู่ในเส้นเงินรับทราบว่าถูกระงับธุรกรรมตามจำนวนเงินที่เกิดความเสียหาย และหากเป็นผู้สุจริตจะได้รับการปลดล็อกบัญชีโดยเร็ว
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวขอโทษผู้บริสุทธิ์ที่ได้รับผลกระทบจากการระงับการทำธุรกรรมที่เป็นผลจากการกวาดล้างบัญชีม้า แต่ย้ำว่าเป็นมาตรการที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เพื่อป้องกันมิจฉาชีพ ซึ่งเปรียบเสมือน “มะเร็งร้าย” จำเป็นต้องฉายแสง แม้ผู้สุจริตบางส่วนจะได้รับผลกระทบ แต่หากไม่ทำความเสียหายจะลุกลามหนักกว่านี้ และอาจกระทบความเชื่อมั่นในประเทศ เหมือนกรณีนักท่องเที่ยวจีนหลีกเลี่ยงการมาเที่ยวไทยด้วยปัญหาความปลอดภัย
อย่างไรก็ดี ผลข้างเคียงจากการ “ฉายแสง” ฆ่าบัญชีม้าของมิจฉาชีพ ไม่เพียงกระทบประชาชนผู้บริสุทธิ์ทั่วไป แต่ยังรวมไปถึงกิจการร้านค้าออนไลน์ที่ธุรกิจชะงักงันขาดสภาพคล่องและเสียหาย
นายกิตติ พรศิวะกิจ นายกสมาคมการตลาดท่องเที่ยวไทย ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า มาตรการอายัดบัญชีที่ส่งผลกระทบผู้ประกอบการทำให้ขาดสภาพคล่องทันที หลายร้านค้าระงับการรับโอนเงิน ทำให้ยอดขายตก หน่วยงานรัฐต้องมีช่องทางที่ทำให้ผู้อายัดปลดล็อกบัญชีได้รวดเร็วให้จบภายในหนึ่งชั่วโมง และเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นจากรายได้ที่สูญเสียไปด้วย
นายสรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารและที่ปรึกษากิติมศักดิ์สมาคมโฮสเทลประเทศไทย กล่าวในทำนองเดียวกันว่า การอายัดบัญชีนอกจากกระทบร้านค้าที่ใช้ระบบสแกนจ่ายแล้ว ยังกระทบธุรกิจค้าขายออนไลน์ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น แอดไลน์ ที่ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าโดยตรงกับร้าน และข้อกังวลคือ ร้านต้องอาศัยการหมุนเวียนเงินสดทุกวันเพื่อซื้อของจากซับพลายเออร์ หากหมุนเงินไม่ทันก็กระทบต่อธุรกิจ มันง่ายมากที่จะอายัด แต่มันยากมากที่จะปลดล็อก แบงก์ก็ไม่รับผิดชอบ พยายามโยนปัญหาไปให้ตำรวจรับผิดชอบ การดำเนินการลักษณะนี้มันผิด และไม่มีการเตรียมการรองรับไว้ล่วงหน้าเลย
เช่นเดียวกันกับที่ นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย ให้สัมภาษณ์สื่อว่า การใช้บัญชีม้าในธุรกิจร้านอาหารกำลังเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อภาคธุรกิจนี้ โดยเฉพาะร้านที่รับบัตรเครดิตหรือสแกนชำระเงิน
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า บัญชีม้า ธุรกิจสีดำ ธุรกิจกิจสีเทา เศรษฐกิจนอกระบบ เป็นภัยร้ายที่กัดกร่อนรากฐานชาติ นอกจากธุรกิจที่ผิดกฎหมายแล้ว ประเทศไทยเผชิญปัญหาเศรษฐกิจนอกระบบในระดับที่น่ากังวล โดยประเมินกันว่ามีสัดส่วนสูงถึง 50% ของ GDP ของประเทศ จัดเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ปัญหานี้ไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจเชิงตัวเลข แต่เป็นปัญหารากลึกที่เปิดช่องให้กับการทุจริตคอร์รัปชัน การฟอกเงิน และการหลอกลวงแบบเป็นระบบเติบโตจนกลายเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน
ส่วนสาเหตุทำไมบัญชีม้าจึงลุกลาม เนื่องจากการเปิดบัญชีทำได้ง่าย ไม่มีค่าใช้จ่าย ทำให้ไทยกลายเป็น “พื้นที่อำนวยความสะดวก” สำหรับเครือข่ายอาชญกรรมข้ามชาติ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทั้งที่อาจตั้งอยู่ในต่างประเทศ แต่ใช้บัญชีไทยเป็นศูนย์กลางหมุนเงิน การหลอกลวงและการฟอกเงิน ซึ่งทำได้หลายช่องทาง ทั้งเงินสด คริปโตเคอร์เรนซี e-Wallet หรือทองคำ ที่สำคัญแก๊งมิจฉาชีพมักใช้กลยุทธ์ “รากฝอย” แตกเงินเป็นรายการเล็กจำนวนมากกระจายไปหลายบัญชีอย่างรวดเร็ว เพื่อหลบเลี่ยงการถูกตรวจจับ และเมื่อเกิดความผิดปกติก็ยากต่อการตามรอยเส้นเงินทั้งหมด
นอกจากช่องโหว่เชิงระบบแล้ว พฤติกรรมของผู้คนที่ขายหรือรับจ้างเปิดบัญชีเพื่อแลกกับค่าตอบแทน หรือการใช้บัญชีรับรายได้ธุรกิจหรือกิจกรรมอื่นที่ไม่โปร่งใส การใช้บัญชีไปทำกิจกรรมผิดกฎหมาย เช่น การพนันออนไลน์ ขณะที่ผู้เสียหายหลายรายไม่แจ้งความ เพราะขั้นตอนลำบากหรือมองว่าเสียหายน้อย เสียหน้าถ้าบอกใคร จึงปล่อยให้การกระทำผิดดำเนินต่อไปได้โดยไม่มีผู้ฟ้องร้อง พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้ระบบการเงินไม่สามารถแยกแยะได้ระหว่างผู้สุจริตและผู้กระทำผิด ส่งผลให้ช่องว่างสำหรับการทุจริตขยายตัว
การแก้ปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างธนาคาร ภาครัฐ และหน่วยงานด้านความปลอดภัย การดำเนินมาตรการที่สำคัญ เช่น จัดตั้งศูนย์ข้อมูลกลางการทุจริต เชื่อมข้อมูลระหว่างธนาคารเพื่อให้สามารถต่อเส้นทางการเงินและเห็นภาพรวมของการไหลของเงินได้เร็วและชัดเจนขึ้น กำหนดระดับบัญชีม้าเพื่อจัดการได้ตรงเป้า ตั้งเกณฑ์การใช้งานบัญชีให้เหมาะสมกับโปรไฟล์ผู้ใช้ ลดโอกาสถูกใช้เป็นช่องทางฟอกเงิน หรือถูกหลอกโอนจำนวนมากในแต่ละครั้ง ฯลฯ
การฉายแสง จ่ายยาแรง เพื่อ “ฆ่าบัญชีม้า” ยังต้องรอดูว่าได้ผลตามเป้าหมายหรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ “ผลข้างเคียง” ที่กระทบกับประชาชนทั่วไปและผู้ประกอบการรายเล็กรายย่อย นับว่า “สาหัส” กันไม่น้อยเลยทีเดียว