xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ตีแผ่ปมส่งออกทองคำไปเขมรทำบาทแข็ง โยง “แก๊งสแกมเมอร์” ฟอกเงินผ่านคริปโตฯ และปริศนา “ฮุน เซน” ปกป้อง “ทักษิณ”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ข้อพิรุธในการส่งออกทองคำจากไทยไปกัมพูชาที่เพิ่มสูงขึ้นผิดปกติ เกี่ยวพันกับการฟอกเงินผ่านคริปโตเคอเรนซี โยงใยแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชาหรือไม่ เป็นปริศนาที่รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องต้องตรวจสอบเชิงลึกเพื่อหาคำตอบ และตีโจทย์แก้บาทแข็งให้ตรงจุด 

ปมร้อนเรื่องนี้ ล่าสุด นายอนุทิน ชาญวีรกูล  นายกรัฐมนตรี สั่งการให้  นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตรวจสอบข้อเท็จจริงการส่งออกทองคำไปยังกัมพูชาที่มีปริมาณสูงผิดปกติอย่างเร่งด่วน หากพบความผิดปกติหรือการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะดำเนินการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาด เพื่อปกป้องเสถียรภาพเศรษฐกิจไทย เนื่องจากการส่งออกทองกดดันค่าเงินบาทแข็งขึ้น กระทบต่อการส่งออกและการท่องเที่ยวเป็นลูกโซ่

ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เกิดขึ้นภายหลังจากการหารือกับ นายเกรียงไกร เธียรนุกูล  ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ซึ่งเรียกร้องให้ภาครัฐเข้ามาตรวจสอบเรื่องดังกล่าว

ความผิดปกติที่เกิดขึ้นเป็นประเด็นที่ภาคเอกชนมีข้อกังวลอย่างยิ่ง โดยก่อนหน้านี้นายเกรียงไกร เผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ตั้งข้อสังเกตสาเหตุที่ค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วและรุนแรง มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากความผิดปกติในการส่งออกทองคำไปยังกัมพูชา ซึ่งนับตั้งแต่เดือนมกราคม – กรกฎาคม 2568 ไทยส่งออกทองคำไปกัมพูชาเป็นอันดับที่ 2 รองจากสวิตเซอร์แลนด์ มูลค่ากว่า 2,149 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 19% จากปีก่อนหน้า ถือเป็นอัตราที่สูงมาก ทั้งที่กัมพูชาเป็นประเทศเล็ก และกัมพูชามีปัญหาเรื่องสแกมเมอร์ ทำให้ กกร.กังวลว่าเรื่องนี้จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจใต้ดินหรือไม่

 การส่งออกทองคำไปกัมพูชานั้น กกร.พบเห็นความผิดปกติมาตั้งแต่ปี 2567 ที่ผ่านมา โดยเพิ่มขึ้นจากปี 2566 ถึง 10 เท่า หรือมีมูลค่าอยู่ที่ 105,000 ล้านบาท และในปีนี้ก็เช่นกัน โดยเฉพาะช่วงเดือนกรกฎาคม 2568 ที่มีสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา พบว่า มีการส่งออกทองคำไปกัมพูชาสูงถึง 8,000 ล้านบาท 
แม้ว่ากรมศุลกากร และกระทรวงพาณิชย์ จะออกมายืนยันว่าการส่งออกทองคำไปยังกัมพูชาไม่มีความผิดปกติ แต่ กกร.อยากให้มีการตรวจสอบเชิงลึกไปยังผู้ซื้อและแหล่งที่มาของเงิน เนื่องจากเคยมีกรณีศึกษาที่สวิตเซอร์แลนด์และดูไบ ที่มีการซื้อขายทองคำในสกุลดอลลาร์แล้วนำกลับมาแลกเปลี่ยนเป็นสกุลเงินท้องถิ่น ส่งผลให้ค่าเงินของทั้งสองประเทศแข็งค่าจนส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ

สำนักข่าว Bloomberg รายงานโดยอ้างคำให้สัมภาษณ์ของประธาน ส.อ.ท. ว่า การส่งออกทองคำและเครื่องประดับไปยังกัมพูชาเพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่ปีที่แล้วเป็นต้นมา “มันดูน่าสงสัย” ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย ศุลกากร และกระทรวงพาณิชย์ ควรตรวจสอบธุรกรรมเหล่านี้  “มันอาจมาจากธุรกิจสีเทา เช่น นักต้มตุ๋นและกาสิโน และอาจเป็นไปได้ว่าพวกเขาใช้ทองคำเป็นเครื่องมือในการฟอกเงิน” 

การไหลเข้าของทองคำจากไทยดังกล่าว ส่งผลให้กัมพูชาขยับเข้ามาอยู่ในระดับเดียวกับสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการสกัดทองคำของโลก และสิงคโปร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าทองคำระดับภูมิภาค

ในแวดวงอัญมณีและเครื่องประดับ ตั้งข้อสังเกตในทำนองเดียวกันว่า การนำเข้าทองคำของกัมพูชาที่เพิ่มมากขึ้น อาจเชื่อมโยงกับการฟอกเงินของธุรกิจสีเทาในกัมพูชา เพราะหากเป็นการนำเข้าเพื่ออุปโภคภายในประเทศก็ไม่น่าจะใช่ เนื่องจากเศรษฐกิจของกัมพูชาไม่สู้ดีนัก หรือหากจะนำเข้าเพื่อแปรรูปแล้วส่งออก ก็สวนทางกับสถานการณ์การค้าอัญมณีและเครื่องประดับของโลกที่ชะลอตัวลง

ข้อมูลจากศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร ระบุในปี 2567 ไทยส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไปกัมพูชา เป็นอันดับหนึ่ง มูลค่า 106,807 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 33% ของการส่งออกสินค้าจากไทยไปกัมพูชาโดยรวม เรียกว่าแซงหน้าการส่งออกน้ำมัน ซึ่งเป็นสินค้าจำเป็น โดยในปี 2567 ไทยส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปไปกัมพูชา มูลค่า 51,027 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 16% ของสินค้าส่งออกจากไทยไปกัมพูชาโดยรวม

ข้อมูลจากกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า การส่งออกทองคำของไทยไปยังประเทศกัมพูชามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี โดยในปี 2564 มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 8,627 ล้านบาท ปี 2565 เพิ่มขึ้นเป็น 55,781 ล้านบาท ปี 2566 ลดลงเหลือ 12,562 ล้านบาท และในปี 2567 เพิ่มขึ้นเป็น 105,982 ล้านบาท สำหรับช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม–กรกฎาคม) ไทยส่งออกทองคำไปยังกัมพูชาเป็นมูลค่า 71,312 ล้านบาท คาดว่าการส่งออกทองคำตลอดทั้งปี 2568 อาจทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 160,000 ล้านบาท

สอดคล้องกับความเห็นของ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช   ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ที่ชี้ว่า การส่งออกทองคำไปกัมพูชาเพิ่มสูงขึ้นมาเป็นเวลาสองสามปีแล้ว โดยปี 2567 ที่ผ่านมา ไทยส่งออกสินค้าไปกัมพูชา ประมาณ 9,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ โดยส่งออกทองคำมีสัดส่วน ประมาณ 3,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 33% สูงกว่าสินค้าอุปโภคบริโภคหรือสินค้าจำเป็นทั้งหมด โดยบริษัทกัมพูชาที่นำเข้าทองคำจากไทยเบื้องต้นทราบว่ามี 4-5 ราย


 “.... 10 ปีที่แล้ว ไทยส่งทองคำไปกัมพูชาแค่ระดับ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ วันนี้แตะระดับ 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นไปได้อย่างไร” ดร.อัทธ์ ตั้งคำถาม และชี้ว่า “.... หนึ่งในธุรกิจสีเทาที่ต้องการคือการถือทองคำ รองจากการถือเงินสด รองลงมาถืออสังหาริมทรัพย์และเปิดบริษัท” อีกทั้งยังอ้างถึงข้อมูลเชิงลึกในบทวิเคราะห์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่ระบุว่ารายได้หลัก และ GDP ของกัมพูชามาจากธุรกิจสีเทา 

ในเบื้องต้น ดร.อัทธ์ เสนอแนะแนวทางที่ควรดำเนินการอาจจะระงับ หรือ  “จำกัดการส่งออกทองคำ”  ซึ่งส่วนนี้ไม่ได้เกี่ยวกับประเด็นเปิด-ปิดด่านการค้า แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องแยกการส่งออกรายสินค้าเข้ามาดูแลเร่งด่วน

 ขณะที่ ดร. เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตอบคำถามในประเด็นการส่งออกทองคำของไทยที่พุ่งสูงในปีนี้ โดยเฉพาะการส่งออกไปยังกัมพูชาที่มีข้อสงสัยกันว่าเชื่อมโยงกับทุนเทาหรือธุรกรรมการฟอกเงินหรือไม่ ผู้ว่าฯ ธปท. ยอมรับว่า ตัวเลขดุลชำระเงินของไทย (balance of payments) มีความผิดปกติจริง แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเกี่ยวข้องกับเงินผิดกฎหมายหรือไม่ ขณะนี้กำลังเร่งตรวจสอบ โดย ธปท. ได้ประสานสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตรวจสอบเส้นทางการเงินอย่างเข้มงวด  

 ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย  หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) สะท้อนมุมมองเรื่องค่าบาทแข็ง และการส่งออกทองคำ ที่อาจเกี่ยวโยงกับ “ธุรกิจสีเทา” โดย โพสต์เฟซบุ๊ก Pipat Luengnaruemitchai ว่า เป็นไปได้ไหมที่การส่งออกทองคำเป็นแค่อาการ แต่ไม่ใช่ต้นเหตุของปัญหาที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็ง? พร้อมกับชวนให้คิดว่าข้อสงสัยเงินบาทแข็งเพราะการส่งออกทอง โดยเฉพาะการส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้านกระทั่งจะตามไปเก็บภาษีทองคำ หากย้อนกลับมาดูตัวเลขจริง ๆ จะเห็นว่า ไทยเป็นผู้นำเข้าทองสุทธิ คือ นำเข้ามากกว่าส่งออก ซึ่งแทบจะไม่มีโอกาสทำให้ค่าบาทแข็งได้มากขนาดนี้

ตามสมมุติฐานหาก “ทอง” เป็นอาการปลายทาง เป็นไปได้หรือไม่ที่มีเงินไหลเข้ามาจากต่างประเทศ ผ่านช่องทางที่ตรวจสอบสอบยาก เช่น ตลาดคริปโตเคอเรนซี เข้ามาในบัญชีของ residence เงินนี้ถูกแปลงเป็นเงินบาท เพิ่มดีมานด์ต่อบาททำให้บาทแข็ง แต่ธุรกรรมนี้อาจจะไม่ได้ถูกบันทึกใน BoP เพราะดูไม่ออกว่าเป็น cross border transaction และมีการใช้เงินบาทไปซื้อทองคำ แล้วส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้าน เราจึงเห็นสถิติการส่งออกทอง แต่แรงกดดันบาทแข็งเกิดขึ้นตั้งแต่ขั้นแรกที่มีเงินไหลเข้ามาแล้ว

ทำไมเรื่องนี้จึงน่าสงสัย นั่นเพราะประเทศเพื่อนบ้านของเรา และอาจจะรวมถึงไทยด้วย ได้กลายเป็นฮับธุรกิจสีเทา ที่แม้แต่สหรัฐฯ ยังรายงานว่าในปี 2024 ปีเดียวมีชาวอเมริกัน ถูกหลอกผ่านสแกมมากกว่าหมื่นดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมิจฉาชีพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่รู้ประเทศอื่นโดนกันอีกเท่าไหร่

และที่น่าสังเกตคือใน Balance of Payments (BOP) ของไทย มีรายการ Errors & Omissions หรือธุรกรรมที่ “ไม่สามารถอธิบายได้” ที่ขยายตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ นี่อาจเป็นสัญญาณว่ามีเงินเข้า–ออก จำนวนมากที่เรายังไม่แน่ใจว่าคืออะไร ยิ่งไปกว่านั้น ธุรกรรมที่ผ่านตลาดอย่างคริปโตฯอาจไม่ได้ถูกบันทึกใน BOP เลยด้วยซ้ำ

ปัญหาสำคัญ อยู่ที่กลไกการกำกับที่ไม่เท่าเทียมกัน กล่าวคือภาคธนาคารมีกฎ KYC, AML, Travel Rule ชัดเจน เงินเข้า–ออก ต้องรายงาน มี residency code แต่ในตลาดคริปโตฯ ยังไม่มีเครื่องมือเทียบเท่า หลายครั้งการซื้อขายใน exchange ไทยถูก “netting” ทำให้ไม่รู้ว่าเงินมาจากคนไทยหรือชาวต่างชาติ นี่คือช่องโหว่ที่ทำให้เงินบาทแข็งจาก inflows ที่ตรวจสอบไม่ได้ และอาจถูกใช้เป็นช่องทางฟอกเงิน

ความเสี่ยงหากแก้ปลายเหตุ ถ้าเราโฟกัสแต่ “การส่งออกทอง” โดยไม่แก้ที่ต้นตอ อาจซ้ำรอยเดิม คือ ธุรกิจสุจริตต้องรับภาระ ถูกตรวจสอบหนัก ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวกับฟอกเงิน ส่วนต้นเหตุจริง (crypto/illicit inflows) กลับไม่ถูกแตะ ปัญหายิ่งย้ายไปช่องทางอื่น ผลลัพธ์คือ รักษาอาการ แต่ไม่รักษาแผล

ดร.พิพัฒน์ เสนอแนะว่า สิ่งที่นโยบายควรทำ คือ ปิดช่องฟอกเงินที่ต้นทาง ทำให้ crypto exchanges ในไทยมีกฎ AML/CFT เทียบเท่าธนาคาร และเชื่อมข้อมูล Exchange – Banking – Customs – ปปง. – BoT เพื่อเห็นทั้งเส้นทางเงิน และภาครัฐลงทุนใน blockchain analytics เพื่อตามรอย inflows ที่ไม่ถูกจับในสถิติ BOP และให้ระบบกำกับ AML/CFT ของเรามีระดับเดียวกับประเทศชั้นนำ ไม่อย่างนั้น ไทยอาจถูกมองเป็นช่องโหว่ระดับภูมิภาคสำหรับการฟอกเงิน รวมทั้งทำมาตรฐานการตรวจสอบแหล่งที่มาของเงินในธุรกรรมการส่งออกทองคำและการทำ export due diligence และเน้นเรื่อง “source of funds transparency”

“คำถามที่สำคัญจึงไม่ใช่เพียงว่า “ทำไมส่งออกทองเยอะ?” แต่คือ… “ทองคือปลายทางของเงินจากไหน?”

อย่างไรก็ตาม ในส่วนสื่อกัมพูชาอย่าง Khmer Times กลับมองเห็นว่า ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ พร้อมระบุว่า เนื่องจากกัมพูชามีเศรษฐกิจค่อนข้างเล็กและอุปสงค์สินค้าหรูภายในประเทศมีอย่างจำกัด การที่ไทยส่งออกทองคำมามากขึ้น บ่งชี้ว่าพนมเปญกำลังโผล่ขึ้นมาในฐานะศูนย์กลางสำคัญในด้านการค้าทองคำระหว่างประเทศ รวมทั้งเป็นการสร้างโอกาสแก่ธนาคาร พวกเจ้าหน้าที่ศุลกากรและผู้ควบคุมกฎระเบียบทั้งหลายในการยกระดับการกำกับดูแล เช่นเดียวกับภาคธุรกิจที่จะแสวงหากำไรจากการค้าทองคำ ค้าปลีกและงานด้านบริการที่เกี่ยวข้อง

นอกจากนี้แล้วการค้าทองคำยังอาจช่วยส่งเสริมทุนสำรองระหว่างประเทศของกัมพูชา เนื่องจากการทำธุรกรรมเหล่านั้นดำเนินการด้วยดอลลาร์สหรัฐฯเป็นส่วนใหญ่ สอดคล้องกับเศรษฐกิจที่พึ่งพาดอลลาร์ของประเทศ อย่างไรก็ตามทางขแมร์ไทม์ส ปิดท้ายว่า การนำเข้าที่พุ่งขึ้นนั้น ได้ก่อคำถามเช่นกันว่า กัมพูชา มีศักยภาพควบคุมปริมาณทองคำมหาศาลดัวกล่าวได้อย่างสมบูรณ์หรือไม่

สำหรับแนวทางลดผลกระทบจากการซื้อขายทองคำต่อค่าเงินบาทนั้น ขณะนี้ ธปท. และกระทรวงการคลัง อยู่ระหว่างหารือกับผู้ค้าทองคำ เพื่อหาแนวทางจัดเก็บภาษีจากการซื้อขายทองคำในประเทศ โดยเฉพาะธุรกรรมผ่านช่องทางออนไลน์และชำระเป็นเงินบาท เพื่อสกัดแรงหนุนค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากสุดรอบ 4 ปี ขณะที่การซื้อขายทองคำด้วยดอลลาร์ หรือตลาดล่วงหน้าอาจได้รับการยกเว้น ซึ่งเท่าที่ได้มีการตรวจสอบมีเสียงค้านจากสมาคมผู้ค้าทองอยู่พอสมควร

 “นายศุภวุฒิ สายเชื้อ” ประธานบอร์ดคณะกรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ให้ข้อมูลที่น่าสนใจ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีเงินไหลเข้ามาในประเทศประมาณ 3,000 ล้านดอลลาร์ต่อไตรมาส แล้วธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) บอกไม่ได้ว่าเป็นเงินมาจากไหน ซึ่งมีผลต่อค่าเงินบาทมากกว่าทอง รวมทั้งปัญหาการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาทต่อเดือน

แต่ช้าก่อน...เพราะขณะที่บรรดากูรูต่างระดมสมอง ให้มุมมอง เสนอความเห็น เพื่อสืบสาวต้นสายปลายเหตุและหาทางแก้ไข กลับมีปรากฏการณ์ความเคลื่อนไหวที่ต้องบันทึกไว้ในจังหวะเวลานี้ของ “เกลอเก่าคู่แค้นบันลือโลก” นั่นคือ ฮุน เซน  อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ประธานวุฒิสภากัมพูชา ที่มีต่อ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ซึ่งต้องโทษจำคุกในเวลานี้

ทั้งนี้ ฮุน เซน ออกโรงสยบข่าวลือที่สื่อหลายสำนักประโคมข่าวว่า นายทักษิณมีทรัพย์สินอยู่ในกัมพูชา และทางการกัมพูชากำลังเตรียมอายัดทรัพย์สินดังกล่าว โดย ฮุน เซน ตอกย้ำว่าข่าวดังกล่าว “เป็นเท็จและจงใจสร้างความเข้าใจผิด” ขณะเดียวกัน แถลงการณ์ที่เผยแพร่ก่อนหน้าเมื่อวันที่ 15 กันยายน ฮุน เซน ยืนยันว่าทั้งทักษิณ และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้เป็นน้องสาว ไม่ได้มีทรัพย์สินหรือแหล่งรายได้ใด ๆ ในกัมพูชา

“แม้ในอดีตผมเคยมีปัญหากับ ฯพณฯ ทักษิณ แต่ผมต้องรับผิดชอบในการปกป้องเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของ ฯพณฯ ทักษิณ” สมเด็จฯ ฮุน เซน ระบุในแถลงการณ์

“....ฯพณฯ ทักษิณ และผมไม่เคยหารือเรื่องธุรกิจใด ๆ เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวหรือครอบครัว” สมเด็จฯ ฮุน เซน กล่าวเสริม

แถลงการณ์ดังกล่าวมีขึ้นหลังจาก “Whale Hunting” ซึ่งเป็นสำนักข่าวเชิงสืบสวน ได้เปิดประเด็นว่า ทักษิณ ซึ่งกำลังรับโทษจำคุก 1 ปีในคดีทุจริตและใช้อำนาจมิชอบ ได้สร้างอาณาจักรมืด มูลค่าราว 2.5-3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ผ่านธุรกิจเหมืองในแอฟริกา กาสิโนในกัมพูชา และบริษัทนอกประเทศ โดย เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ นักต้มตุ๋นชาวแอฟริกาใต้ที่เคยต้องโทษ ทำหน้าที่เป็นตัวกลางคนสำคัญให้กับอดีตนายกฯ ไทย และเป็นศูนย์กลางเครือข่ายบริษัทนอมินีที่เข้าถือหุ้นใหญ่ในภาคพลังงานของไทย

บทความของ Whale Hunting สอดคล้องกับรายงานของ The Online Citizen และ Asia Sentinel ที่ยืนยันบทบาทของเมาเออร์เบอร์เกอร์ ในการทำธุรกรรมการเงินของทักษิณและพวกพ้อง ซึ่งเชื่อมโยงกับชนชั้นนำทางการเมืองของกัมพูชา

ขณะเดียวกัน   สม รังสี   แกนนำฝ่ายค้านในต่างแดน โจมตี ฮุน เซน – ทักษิณ ว่าทั้งคู่มีความขัดแย้งทางธุรกิจ กระทั่งนำไปสู่ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งรัฐบาลกัมพูชา ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว

นี่นับว่า เป็นความแปลกประหลาด เป็นปริศนา และยังคงนำมาซึ่งคำถามว่า “ฮุน เซน” ลุกขึ้นมาปกป้อง “ทักษิณ ชินวัตร” เพื่ออะไร.


กำลังโหลดความคิดเห็น