xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

จับตา 3 รัฐมนตรี “มีดีล” “บิ๊กเล็ก” ดีลลุง คุมกลาโหม “รุทธพล” ดีลบุรีรัมย์ คุมยุติธรรม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


 พลตำรวจโท รุทธพล เนาวรัตน์  | พลโท อดุลย์ บุญธรรมเจริญ | นายอนุทิน ชาญวีรกูล
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เห็นรายชื่อ “คณะรัฐมนตรี” ของ “เสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล” ปรากฏออกมาชัดแจ้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ต้องบอกว่า เป็นส่วนผสมของรัฐมนตรีที่มาจาก “คนใน” และ “คนนอก” ที่น่าจับตาอยู่ไม่น้อยว่า จะสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่นและสร้างผลงานออกมาได้สำเร็จมากน้อยเพียงใด

อย่างไรก็ดี มี “3 รัฐมนตรี” ที่สามารถใช้คำว่า “ต้องจับตาเป็นพิเศษ” เพราะเมื่อตรวจสอบเบื้องหลังแล้ว น่าจะมีภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาเป็นแน่แท้ หรือจะใช้คำว่า “รัฐมนตรีมีดีล” ก็คงไม่ผิดจากความเป็นจริงสักเท่าไหร่

สองเก้าอี้ ปรากฏอยู่ที่ “กระทรวงกลาโหม” นั่นคือ “บิ๊กเล็ก-พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ “พลโท อดุลย์ บุญธรรมเจริญ” ที่นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม

ส่วนอีกหนึ่งเก้าอี้คือ “พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่โผล่มาแทบจะในช่วงท้ายๆ ก่อนที่จะมีการทูลเกล้าฯ

กล่าวสำหรับ “บิ๊กเล็ก-พลเอกณัฐพล” นั้น ในช่วงแรกไม่มีใครคาดคิดว่า จะสามารถหักปากกาเซียนขยับจากเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมในรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูลได้ ซึ่งนั่นย่อมหมายถึง “ความไม่ธรรมดา” ของเขา และ “ความไม่ธรรมดา” ดังกล่าวก็คือคำจำกัดความที่ว่า “บิ๊กเล็กเด็กลุง”

ในช่วงที่ “พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็นนายกรัฐมนตรี พลเอก ณัฐพลซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่ง “รองผู้บัญชาการทหารบก” ถือเป็นแคนดิเดตคนำสำคัญในเก้าอี้ผู้บัญชาการทหารบก ทว่า สุดท้ายก็ไม่ถึงฝั่งฝัน เมื่อ “บิ๊กตู่” ตัดสินใจเลือก “บิ๊กแดง-พลเอก อภิรัชต์ คงสมพงษ์” อีกหนึ่ง “น้องรัก” ให้เป็น ผบ.ทบ. อย่างไรก็ดี ด้วยความที่เป็นน้องรักเช่นกัน พลเอก ประยุทธ์จึงดึงตัว พลเอก ณัฐพล มาช่วยงานที่ทำเนียบรัฐบาล และในระหว่างที่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดฯ ก็ได้รับมอบหมายให้เป็น “ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019” จากนั้นขยับไปเป็น “เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ” ในปี2563 และเมื่อเกษียณอายุราชการก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีต่อ

ที่น่าสนใจก็คือ เมื่อพลเอก ประยุทธ์พ้นจากอำนาจ หลังดีลข้ามขั้วโดยพรรคเพื่อไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ โดยมีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ชื่อของ พลเอก ณัฐพล ก็ตกเป็นเป้าอีกครั้งว่าเป็นตัวเต็งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยเป็นโควตากลางในฐานะ “เด็กลุง” แต่เมื่อพรรคเพื่อไทยยอมและส่ง “สุทิน คลังแสง” มาเป็น “สนามไชย1” ชื่อของ “บิ๊กเล็ก” ก็เลื่อนลงมาเป็น “เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม” แทน

ต่อมาเมื่อนายเศรษฐาต้องพ้นจากเก้าอี้กรณีแต่งตั้งรัฐมนตรีถุงขนมและแพทองธาร ชินวัตร มาเป็นนายกรัฐมนตรี พลเอก ณัฐพลจึงขยับมาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย นั่งเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถมในการปรับคณะรัฐมนตรีแพทองธารเมื่อพรรคภูมิใจไทยถอนตัว ชื่อของพลเอก ณัฐพลก็ยังคงอยู่ พร้อมกับเป็นรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอีกต่างหากในระหว่างรัฐมนตรีตัวจริงซึ่งติดเงื่อนไขทางกฎหมายคือ “บิ๊กแก้ว-พลเอก เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์”

ทว่า สุดท้ายก็ประสบความสำเร็จในยุคที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะสามารถฝ่าด่านเข้ามานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้สำเร็จ แม้จะมีเสียงคัดค้านในช่วงท้ายหนาหูจากกรณีเปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาพร้อมเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนตัวก็ตามที

นั่นแสดงให้เห็นว่า ความเป็น “บิ๊กเล็ก เด็กลุง” นั้น ไม่ธรรมดา เพราะยังคงยืนหนึ่งในเก้าอี้สนามไชย 1 โดยเบียดคู่ชิงคนอื่นๆ ไปแบบราบคาบ

ที่สำคัญคือ แสดงให้เห็นว่า “ลุงตู่” ยังไม่ได้วางมือการเมือง ยังคงอยู่ในสมการอำนาจตลอด ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลเพื่อไทย หรือรัฐบาลภูมิใจไทย เพราะมองไม่เห็นเหตุผลอื่นว่า ทำไม พลเอก ณัฐพล จึงต้องเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

ด้วยเหตุดังกล่าว ประชาชนคนไทยคงไม่อาจไว้วางใจในการเข้ามาเป็นเบอร์หนึ่งในกระทรวงกลาโหมของพลเอก ณัฐพลได้ และต้องจับตาการทำงานอย่างใกล้ชิด เพราะเด็กลุงคนนี้สนับสนุนการดำรงอยู่ของ MOU 2543 และ MOU 2544 โดยให้สัมภาษณ์เอาไว้ชัดเจน

แถมนายอนุทินยังได้มีการแก้เกมเพื่อช่วยประคับประคองพลเอก ณัฐพลไม่ให้กลายเป็นตำบลกระสุนตกมากเกินไปด้วยการหยิบชื่อ “บิ๊กดุล-พลโท อดุลย์ บุญธรรมเจริญ” มาเสริมทีมในการแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ในเก้าอี้สนามไชย 2

ทั้งนี้ การที่นายอนุทินเลือกเคาะชื่อ พลโท อดุลย์มาเป็นผู้ช่วยของ พลเอก ณัฐพงษ์ ต้องขีดเส้นใต้เป็นพิเศษ เพราะพลโทอดุลย์คือ อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 แถมยังเป็น “ตท.26” รุ่นเดียวกับทั้ง “บิ๊กปู-พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์” ผู้บัญชาการทหารบก “แม่ทัพกุ้ง-พลโท บุญสิน พาดกลาง” แม่ทัพภาคที่ 2 คนปัจจุบัน และ “บิ๊กเติ่ง-พลตรี วีระยุทธ์ รักศิลป์” ว่าที่แม่ทัพภาคที่ 2 ด้วย ขณะที่บัญชีการโยกย้ายของกองทัพบกล่าสุดที่ออกมา ก็เห็นได้ชัดว่า ตท.26 ขึ้นในไลน์อำนาจของกองทัพบกยกแผงทั้งในส่วนของ “5 เสือ ทบ.” และแม่ทัพภาคต่างๆ

งานนี้ ไม่รู้ว่า มีลับลวงพรางหรือไม่ เพราะจริงๆ แล้ว สิ่งที่เหมาะสมที่สุดก็คือ นายอนุทินจะต้องควบเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระกลาโหมมากกว่าที่จะไปควบเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ด้วยในฐานะนายกรัฐมนตรีจำต้องให้ความสำคัญกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาเป็นลำดับแรกๆ ขณะที่การไปควบเก้าอี้ มท.1 มองไม่เห็นความจำเป็นใดๆ นอกเหนือจากความต้องการจัดทัพเลือกตั้ง และกำกับ “กรมที่ดิน” ที่มีความสำคัญต่อคดีเขากระโดงของบ้านใหญ่บุรีรัมย์แค่นั้น

ที่สำคัญคือ เมื่อตรวจสอบเส้นทางของ พลโท อดุลย์แล้ว ก็ต้องร้องอื้อหือ เพราะอดีตแม่ทัพภาคที่ 2 รายนี้ ถือเป็นแม่ทัพอีสานใต้ กล่าวคือ หลังจบ รร.จปร. รับราชการที่หน่วยทหารจังหวัดบุรีรัมย์มาตลอด เติบโตขึ้นเป็นผู้หมวด ผู้บังคับการกอง ก่อนจะขึ้นเป็น ผบ.ร.23 พัน4 ในยุคที่ตระกูล “ชิดชอบ” กำลังรุ่งเรือง จะถือว่าเป็น “สายตรงบ้านใหญ่บุรีรัมย์” ก็คงไม่เกินเลยไปจากความเป็นจริง รวมทั้งเป็นเพื่อนร่วมรุ่น วปอ. กับนายอนุทิน ชาญวีรกูลอีกต่างหาก

สำหรับเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นกระทรวงเกรดรองที่ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่สำหรับยุค “หนู-เนเป็นใหญ่” แล้ว เป็นกระทรวงที่ไม่อาจปล่อยให้พรรคอื่นไปครอบครองได้ เพราะคุม 2 หน่วยงานสำคัญคือ “กรมสอบสวนคดีพิเศษ” หรือ “ดีเอสไอ” ซึ่งในรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ดีเอสไอถือเป็นหัวหอกใน 3 คดีสำคัญที่โยงใยกับคนของ “ค่ายสีน้ำเงิน คือ “คดีฮั้วเลือกตั้ง สว.-คดีที่ดินเขากระโดง และคดีร้องเรียนการรุกล้ำที่ดินสาธารณะเพื่อสร้างสนามกอล์ฟและสนามบินส่วนตัวที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา” กับ “กรมราชทัณฑ์” ที่ ณ เวลานี้มีงานช้างหลังจาก “ทักษิณ ชินวัตร” จำต้องกลับไปรับโทษอยู่ในเรือนจำกลางคลองเปรมเป็นเวลา 1 ปี หลังศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาว่า การไปพำนักรักษาตัวอยู่ที่ชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจ ไม่ถือเป็นการรับโทษ ซึ่งสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรองทางการเมืองได้

ดังนั้น เก้าอี้ตัวนี้จึงต้องคัดสรรเป็นพิเศษ เพื่อหาคนที่ไว้ใจได้มารับตำแหน่ง และคนๆ นั้นก็พร้อมที่จะรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

แรกเริ่มเดิมที ปรากฏชื่อ “พลตำรวจโท ชาญชัย พงษ์พิชิตกุล” อดีตรองผู้บัญชาการภาค 3 เป็นคนแรก แต่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์หนักเช่นกัน เพราะเมื่อตรวจสอบเบื้องหน้าเบื้องหลังก็พบว่า เชื่อมโยงกับ “บุรีรัมย์คอนเนกชัน” อย่างแยกไม่ออก เพราะเคยเป็น “อดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์” ก่อนถูกย้ายไปเป็น ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุรินทร์ และต่อมาได้ขึ้นเป็น รองผู้บัญชาการ ตำรวจภูธรภาค 3 โดยเจ้าตัวได้ขอเออร์ลี่รีไทร์ออกจากการเป็นตำรวจ ในวันที่ 31 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา

ทว่า ทำไปทำมาพรรคภูมิใจไทยก็เคาะชื่อ “พลตำรวจโท รุทธพล เนาวรัตน์” มานั่งเก้าอี้ตัวนี้ ซึ่งจะว่าไป ก็มิได้ต่างจากพลตำรวจโท ชาญชัย ด้วยถือเป็นสายตรงบ้านใหญ่บุรีรัมย์เช่นเดียวกัน

ส่วนเบื้องลึกที่ต้องเปลี่ยนชื่อเป็นพราะ พลตำรวจโท ชาญชัยขอถอนตัวเอง เนื่องจากครอบครัวไม่เห็นด้วย เพราะครอบครัวภรรยาเป็นเจ้าของโรงงานน้ำตาลบุรีรัมย์ ไม่อยากจะไปยุ่งกับความเสี่ยงใดๆ ที่จะเกิดภายหลังจากรับเก้าอี้เผือกร้อนตัวนี้

กล่าวสำหรับพลตำรวจโท รุทธพลนั้น รับราชการในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 3 ตั้งแต่ปี 2540 ในตำแหน่งสารวัตรสืบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองบุรีรัมย์ ก่อนจะเติบโตมาเป็นรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ และถูกแต่งตั้งให้ขึ้นเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ และรับราชการในตำแหน่งสุดท้าย คือ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3

นอกจากนี้ มีรายงานว่า พลตำรวจโท รุทธพล มักได้รับความไว้วางใจให้ดูแลงานสำคัญๆ เช่น การรักษาความปลอดภัยและการจราจร การจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ MotoGP สนามที่ 1 “PT Grand Prix of Thailand 2025” ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ และการรักษาความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกจราจร ในพิธีเปิด การแข่งขันวิ่ง “บุรีรัมย์ มาราธอน“ ประจำปี 2568 (BURIRAM MARATHON 2025) ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ที่มี พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษา เป็นประธานการเปิดงาน

ดังนั้น ไม่ว่าจะพยายามค้นหาเหตุผลต่างๆ นานามาอธิบายถึงการเคาะชื่อพลตำรวจโท รุทธพล ก็สรุปได้เพียงข้อเดียวคือ “สายตรงครูใหญ่เน” และเป็นสายตรงในระดับที่ต้องไว้ใจได้ขั้นสุด

กระนั้นก็ดี คงต้องยกนิ้วให้พลตำรวจโท รุทธพล ที่กล้าตัดสินใจรับตำแหน่งนี้ด้วยรู้อยู่เต็มอกว่า แบกรับ “ความเสี่ยง” เอาไว้เต็มบ่า เพราะถูกหมายหัวว่าเป็นเด็กในคาถามาตั้งแต่แรก

แถมที่ต้องขีดเส้นใต้สองเส้นเป็นพิเศษก็คือ มีข่าวว่า “นายโสภณ ซารัมย์” ว่าที่รองนายกฯ ซึ่งจัดอยู่ในสายตรงบุรีรัมย์จะได้รับการแบ่งงานให้มากำกับดูแลกระทรวงยุติธรรมอีกชั้นหนึ่งด้วย....งานนี้ ถึงกับต้องร้องอุทานว่า “พระเจ้าจอร์จ มันยอดมาก” กันเลยทีเดียว.


กำลังโหลดความคิดเห็น