ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ณ เวลานี้ มี 3 พรรคการเมืองที่ต้องจับตาเป็นพิเศษว่า สุดท้ายแล้วจะลงเอยอย่างไร นั่นก็คือ พรรคประชาธิปัตย์ พรรครวมไทยสร้างชาติและพรรคพลังประชารัฐ” ด้วยมีสัญญาณออกมาให้เห็นแล้วว่า ตกอยู่ในสภาพ “พรรคแตกสาแหรกขาด” เพราะมีปัญหาภายในที่หนักหนาสาหัสอยู่ไม่น้อย และที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ ทั้ง 3 พรรคล้วนแล้วแต่มีความชัดเจนว่าจัดอยู่ใน “ขั้วอนุรักษ์นิยม”
เริ่มจาก “พรรคประชาธิปัตย์” ที่อยู่ๆ “เสี่ยต่อ-เฉลิมชัย ศรีอ่อน” ได้ตัดช่องน้อยแต่พอตัวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยการประกาศลาออกจากเก้าอี้ “หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์” ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะขืนอยู่ต่อไปก็ยิ่งจะทำให้เงินทองในกระเป๋าร่อยหรอไปเรื่อยๆ แถมมองไปข้างหน้าก็ไม่มีอนาคตทางการเมืองอีกต่างหาก ไม่นับรวมถึงกระแสความขัดแย้งที่มีกับ “เดชอิศม์ ขาวทอง” เลขาธิการพรรค จนทำให้มองหน้ากันไม่ติดและไม่สามารถทำงานร่วมกันต่อไปได้
แต่ถ้ามองโลกในแง่ดี ก็ต้องบอกว่า การตัดสินใจลาออกของนายเฉลิมชัยคือการเปิดทางให้พรรคประชาธิปัตย์ “ยกเครื่อง” ใหม่ เพราะขืนอยู่ในสภาพนี้ต่อไปจะพากันพังทั้งพรรค
ทั้งนี้ ปัญหาใหญ่ของพรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศนี้ก็คือ จะเอา “ใคร” มาเป็น “หัวหน้าพรรค” คนต่อไป ด้วยมีเดิมพันสูงตรงที่จะต้องนำพาพรรคให้ฟื้นคืนชีพจากสถานการณ์ที่สาละวันเตี้ยลงไปทุกที หลังในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาในปี 2566 ประชาธิปัตย์เหลือเพียง 25 ที่นั่งในสภาเท่านั้น
คนแรกๆ ที่ถูกหยิบยกมาจะเป็นใครเสียมิได้นอกจาก “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตหัวหน้าพรรคและอดีตนายกรัฐมนตรี และก็ดูเหมือนว่า มีเสียงสนับสนุนค่อนข้างมากพอสมควร ทั้งจากคนในพรรคและบรรดาศิษย์เก่าที่แยกย้ายออกไปก่อนหน้านี้ ที่ออกตัวหนุนชัดก็คือ “กลุ่มนายชวน หลีกภัยและนายนิพนธ์ บุญญามณี” ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่า นายอภิสิทธิ์มีแฟนคลับที่ชื่นชนอยู่พอสมควร
นอกจากนั้น ยังปรากฏชื่อของนายกรณ์ จาติกวณิช เสธ.อ้าย-พลเอก บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ และอาจจะต้องนับรวม นายเดชอิศม์ ขาวทอง ที่ทำท่าว่าจะร่วมวงด้วยเพราะคุมเสียงสส.ของพรรคมากที่สุด เว้นเสียแต่ว่า สุดท้ายจะมุ่งหน้า “เปลี่ยนค่ายย้ายขั้ว” เดินย้อนรอยกลับไปหารังเดิมคือ “พรรคเพื่อไทย” ที่เคยอยู่มาแต่เก่าก่อน
ทั้งนี้ หากเป็นแค่ “เกมชิงพรรคคืน” ก็ต้องยอมรับว่า นายอภิสิทธิ์ดูจะมีภาษีดีกว่าตัวเลือกอื่นๆ แต่เมื่อเป้าหมายอยู่ที่อนาคตของพรรคประชาธิปัตย์ในอนาคตข้างหน้า โดยเฉพาะการเลือกตั้ง สส.ที่กำลังจะมาถึง ดูเหมือนว่า มิได้มีพลังเพียงพอที่จะเรียกคะแนนนิยมจนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญต่อพรรคได้เลย ยิ่งในฐานะ “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” ด้วยแล้ว มองไม่เห็นเลยว่า จะเอาอะไรไปแข่งกับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคอื่นได้ เพราะเอาแค่ฐานเสียงเดิมๆ ในขั้วอนุรักษ์นิยมก็ขายไม่ออกแล้ว ดังนั้น คงไม่ต้องถามว่า จะเรียกคะแนนจาก “คนรุ่นใหม่” ได้สักกี่มากน้อย .
ดังนั้น จึงไม่แปลกใจว่า ทำไมถึงปรากฏชื่อ “มาดามแป้ง-นวลพรรณ ล่ำซำ” มาเป็นหนึ่งในตัวเต็งที่ได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์จำนวนไม่น้อยเช่นกัน
นี่นับเป็นโจทย์ใหญ่ที่พรรคประชาธิปัตย์จำต้อง “คิด วิเคราะห์และแยกแยะ” ให้จงหนัก
แต่พรรคที่อาการหนักกว่าประชาธิปัตย์หลายเท่าก็คือ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” หรือที่เรียกขานกันว่า “พรรคดีเอ็นเอลุงตู่” เพราะสถานการณ์ตกอยู่ในสภาพ “พังขั้นสุด” และมีแนวโน้มสูงที่สมาชิกพรรคจะแตกกระสานซ่านเซ็นไปคนละทิศละทาง กระทั่งถึงขั้น “พรรคแตก” กันเลยทีเดียว
ความจริงต้องบอกว่า สัญญาณแห่งความแตกแยกภายในพรรครวมไทยสร้างชาตินั้นปรากฏให้เห็นมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัยด้วยกัน ทั้งในสถานะของความเป็นพรรคเฉพาะกิจที่เกิดขึ้นเพื่อสนับสนุน “ลุงตู่-พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็นนายกรัฐมนตรี ภายหลัง “พี่น้อง 3 ป.” มีปัญหาจนไม่สามารถอยู่ร่วมกันในพรรคพลังประชารัฐได้ มิได้เป็นพรรคที่ก่อกำเนิดมาจากผู้คนซึ่งมีอุดมการณ์ทางการเมืองเดียวกัน โดยเป็นการผสมผสานระหว่างนักการเมือง “สายลุงตู่” กับนักการเมือง “สายกำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ” ที่แยกตัวออกมาจากพรรคประชาธิปัตย์ โดยมี “ลูกขิง-นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์” เป็นแกนนำ
ขณะที่ตัวหัวหน้าพรรคคือ “นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” หรือที่หลายคนเรียก “ลุงพี” นั้น ก็มิได้มีความโดดเด่นในตัวเองเพียงพอที่จะนำพาพรรคได้ แถมตลอดระยะเวลาที่เป็นรัฐมนตรีก็มิได้มีผลงานอะไรที่จับต้องได้เป็นชิ้นเป็นอัน สส.และลูกพรรคเข้าถึงยาก ทำให้เกิดความแตกแยกให้เห็นเป็นลำดับ ประกอบกับในเวลาต่อมามีความขัดแย้งกับ “นายทุนพรรคคนสำคัญ” ก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ของพรรคย่ำแย่หนักไปอีก เพราะเริ่มมีการประกาศตัวเป็นอิสระ ที่เห็นได้ชัดก็คือ “ก๊วนเสี่ยเฮ้ง-นายสุชาติ ชมกลิ่น” ที่สามารถรวมรวมสส.เอาไว้ในมือร่วม 20 คน พร้อมประกาศต่อหน้าธารกำนัลว่าจะยกขบวนไปอยู่ที่พรรคเงินถุงเงินถังอย่าง “พรรคโอกาสใหม่” ตามต่อด้วยการยกมือโหวตหนุน “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” ให้เป็นนายกรัฐมนตรี โดยที่ไม่สนใจพรรคว่าจะเอาอย่างไร พร้อมกับรับเก้าอี้รัฐมนตรีไปอย่างสบายใจเฉิบ
เช่นเดียวกับอีกหนึ่งแกนนำคนสำคัญอย่าง “เสธ.หิ-หิมาลัย ผิวพรรณ” ก็โบกมือลาไปซบ “พรรคกล้าธรรม” ของ “ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า” และแน่นอนว่า นายสัญญา นิลสุพรรณ สส.นครสวรรค์ ที่อยู่ในปีกนี้ ก็ต้องย้ายตามไป
และแตกละเอียดไม่มีชิ้นดีเมื่อ “นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์” เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) พร้อมด้วยนายดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง กรรมการบริหารพรรค รทสช. ได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค โดยก่อนหน้านี้ “บ้านใหญ่ชุมพร” ซึ่งมีความใกล้ชิดกับนายเอกนัฏ นำโดย “นายชุมพล จุลใส” อดีตสส.ชุมพร นายสุพล จุลใส สส.ชุมพร และนายวิชัย สุดสวาทดิ์ สส.ชุมพร ได้เปิดตัวร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทยเป็นที่เรียบร้อย ส่วนนายสันต์ แซ่ตั้ง สส.ชุมพร เขต 2 เป็นที่ชัดแจ้งแล้วว่า ได้ขอแยกทางจาก “ลูกหมี” ไปหาโอกาสใหม่กับก๊วนเสี่ยเฮ้ง
เช่นเดียวกับ “บ้านใหญ่สุราษฎร์ธานี” นำโดย “นายชุมพล กาญจนะ” และ างโสภา กาญจนะ นายก อบจ.สุราษฏร์ธานี ซึ่งมี สส. 3 คนคือ นางสาวกานสินี โอภาสรังสรรค์ สส.สุราษฎร์ธานี เขต,นางสาววชิราภรณ์ กาญจนะ สส.สุราษฎร์ธานี เขต 3 และนายธานินทร์ นวลวัฒน์ สส.สุราษฎร์ธานี เขต 7 ที่ก็ตบเท้าเข้าสังกัดพรรคภูมิใจไทยเช่นกัน โดยมี “กำนันชัย” นายพิชัย ชมภูพล สส.สุราษฏร์ธานี คนสนิทของ “ชุมพล-โสภา” ที่สังกัดพรรคภูมิใจไทยอยู่แล้วยืนยิ้มต้อนรับ
รายงานข่าวยืนยันตรงกันว่า แม้ฉากหน้าทั้งสองคนคือนายพีระพันธุ์กับนายเอกนัฏจะยังยั้งไมตรีให้เห็น และอาจไม่ถึงขั้น “ผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ” แต่ก็รุนแรงถึงขนาดไม่สามารถทำงานร่วมกันต่อไปได้
ที่สำคัญ ความขัดแย้งระหว่างหัวหน้าพรรคและเลขาฯ พรรคมีมาพักใหญ่แล้ว จนเกือบจะแยกทางกันตั้งแต่เมื่อครั้ง “ก๊วนเสี่ยเฮ้ง” รวบรวม สส.และประกาศว่า สนใจในพรรคโอกาสใหม่ กระทั่งพังทลายด้วยฟางเส้นสุดท้ายกับความเห็นในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีที่ไม่ตรงกันในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีหลังแพทองธาร ชินวัตรพ้นจากตำแหน่งตามคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็มี มีคำยันยันจาก นายพีระพันธุ์ว่าจะขับเคลื่อนพรรค รทสช. ต่อไป โดยมีกระแสข่าวว่า กำลังทาบทามนายวิทยา แก้วภราดัย หรือนายชัชวาลย์ คงอุดม (ชัช เตาปูน) ให้มาดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคนใหม่ ขณะที่เมื่อตรวจ สส.ในก๊วน “หัวหน้าพี” ก็พบว่า ยังมีคนที่อาจร่วมงานกันต่อไป ประกอบด้วย นายวิทยา แก้วภราดัย สส.บัญชีรายชื่อ , นายจุติ ไกรฤกษ์ สส.บัญชีรายชื่อ , นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู สส.บัญชีรายชื่อ , นายอนุชา บูรพชัยศรี สส.บัญชีรายชื่อ , พ.ท.สินธพ แก้วพิจิตร สส.นครปฐม, นายพงษ์มนู ทองหนัก สส.พิษณุโลก และนายนิติศักดิ์ ธรรมเพชร สส.พัทลุง แต่อะไรๆ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีกนั่นแหละ
ที่ยังไม่ชัดว่า จะไปอยู่ฝั่งไหนคือนายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ สส.บัญชีรายชื่อ แต่ลาออกจากกรรมการบริหารพรรคแล้ว รวมถึง 2 สส.บัญชีรายชื่อหน้าใหม่คือ นางสาว ทิพานัน ศิริชนะ และ พลตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง
ดังนั้น ในทางการเมืองคงสามารถกล่าวได้ว่า “หัวหน้าพีไม่มีอนาคต” เพราะแทบไม่มี สส.เหลืออยู่ในมือ ไหนจะปัญหาเรื่อง “ทุน” และ “ท่อน้ำเลี้ยง” ที่ต้องถือเป็นเรื่องใหญ่ในการทำงานการเมืองอย่างปฏิเสธไม่ได้ ว่าก็ว่าเถอะ สส.ที่ว่าจะร่วมหัวจมท้ายในเวลานี้ สุดท้ายก็หนีไม่พ้นต้องย้ายพรรคเช่นเดียวกัน
ส่วนพรรคสุดท้ายคือ “พรรคพลังประชารัฐ” ที่มี “ลุงป้อม-พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ” เป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งย่ำไปในรอยเดียวกับพรรครวมไทยสร้างชาติเช่นกัน เพียงแต่จะเป็นเมื่อไหร่ก็เท่านั้น โดยเฉพาะบรรดานักการเมืองจอมเก๋าที่จำต้องหาบ้านอยู่ใหม่ในศึกเลือกตั้งครั้งหน้าเพื่ออนาคตในทางการเมืองซึ่งน่าจะหาไม่ได้จากพรรคนี้
ที่เปิดฉากตั้งแต่ปีมะโว้ก็คือ “ก๊วนผู้กองธรรมนัส พรหมเผ่า” ที่ขน สส.แยกตัวออกไปตั้ง “พรรคกล้าธรรม” ตามต่อด้วย “แก๊งสี่กุมารเดิม” ที่ “อุตตม สาวนายน” และ “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” ก็ตัดสินใจโบกมือลา และที่กำลังจะตามมาคือ “ก๊วนมะขามหวาน” ที่นำโดย “นายสันติ พร้อมพัฒน์” เพราะมีความชัดแจ้งว่า โยกย้ายสำมะโนครัวไปสังกัดค่ายสีน้ำเงิน-พรรคภูมิใจไทยของ “เสี่ยหนู-ครูใหญ่เน” อย่างแน่นอน แม้ในระยะหลัง “ลุงป้อม” จะไว้วางใจมากขึ้นเป็นลำดับก็ตามที
ยิ่งเมื่อดูเก้าอี้รัฐมนตรีที่พรรคพลังประชารัฐในการเข้าร่วมกับพรรคภูมิใจไทย ก็ยิ่งเห็นว่า “ลุงป้อมบ้อท่า” เพราะไม่เหลือโควตาตกลงมาถึงเด็กในคาถาอย่าง “ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์” ขณะที่ “ก๊วนมะขามหวาน” ของนายสันติได้ไปถึง 2 เก้าอี้คือเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขที่ถูกส่งต่อไปให้ “พัฒนา พร้อมพัฒน์” ผู้เป็นลูกชาย ส่วนอีก 1 เก้าอี้ก็คือ “วรโชติ สุคนธ์ขจร” กับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เรียกว่า ไม่อิงกับพรรคพลังประชารัฐเลยแม้แต่น้อย
หนักไปกว่านั้นคือ มีการรวมกลุ่มของ สส.กันเองภายในพรรค นำโดย “นายทวี สุระบาล” และ “นายสุธรรม จริตงาม” ไปเปิดดีลกับนายอนุทินและนายทุนคนสำคัญ จนส่งตัวแทนคือ “นายสันติ ปิยะทัต” คว้าเก้าอี้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีมาอีก 1 ตัว
นั่นเท่ากับว่า สายลุงป้อมได้มาแค่ 1 เก้าอี้คือ “ตรีนุช เทียนทอง” ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และก็ไม่แน่ใจว่า อนาคตจะยังคงอยู่กับลุงป้อมหรือไม่
แถมผลพวงของการที่ “ก๊วนนายสันติ” ได้รับความไว้วางใจจาก “ลุงป้อม” ให้มาดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค ก็ส่งผลทำให้ “ก๊วนกำแพงเพชร” ของ “นายวราเทพ รัตนากร” ก็เตรียมจะโลกมือลา “ลุงป้อม” ไปด้วยเช่นกัน แต่มีข้อมูลยืนยันว่า เป้าหมายไม่ใช่ “พรรคกล้าธรรม” ของ “ร้อยเอกธรรมนัส” แน่นอนด้วยมี “ไผ่ ลิกค์” คู่แข่งทางการเมืองยืนขวางอยู่ ส่วนจะเป็นพรรคไหน คงต้องติดตามกันต่อไป
ดังนั้น คงต้องถามใจว่า สุดท้ายแล้ว “ลุงป้อม” จะเอาอย่างไร จะเล่นการเมืองต่อไปหรือตัดสินใจล้างมือในอ่างทองคำ โดยเฉพาะในยามที่สังขารล่วงโรยไปทุกที.