คนแคระบนบ่ายักษ์
ไชยันต์ ไชยพร
ในตอนก่อนๆ ผู้เขียนได้กล่าวถึงกรอบแนวคิดในการทำความเข้าใจ “สมบูรณาญาสิทธิราชย์สวีเดน” และเค้าโครงของประวัติศาสตร์ของกฎหมายในฐานะที่เป็นกรอบกติกาการปกครองหรือ “รัฐธรรมนูญ” รวมทั้งโครงสร้างทางสังคมของสวีเดนก่อนการสถาปนาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในช่วง ค.ศ. 1680 ไปบางส่วน รวมทั้งคำอธิบายการกำเนิดสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของสวีเดน ค.ศ. 1680 รวมถึงการปรับปรุงกลไกและระบบราชการที่บริหารปกครองราชอาณาจักรสวีเดน ในตอนนี้จะได้กล่าวถึงการประเมินระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในรัชสมัยพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดในภาพรวม
ในยุคสมัยดังกล่าว การปกครองแบบอำนาจนิยมเป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นปกติทั่วไปในยุโรป การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในระดับมหภาค ก็เป็นเหมือนภาคต่อหรือส่วนขยายของ การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ – ปิตาธิปไตยระดับจุลภาค ในครอบครัวที่สมาชิกในครอบครัวก็ต้องเชื่อฟังอำนาจของหัวหน้าครอบครัวอย่างไม่อาจตั้งคำถามได้เช่นเดียวกัน
การเชื่อมโยงระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และปิตาธิปไตยในการปกครองสามารถเห็นได้จากคำกล่าวของ Lindschöld ต่อที่ประชุมสภาฐานันดรในปี ค.ศ.1686 ที่สรรเสริญพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดว่าเป็นพระมหากษัตริย์อันสมบูรณ์และมีพระหฤทัยดั่งบิดาของประชาชนทั้งปวง ซึ่งประสานกับโลกทัศน์ของประชาชนในยุคสมัยได้เป็นอย่างดี ควบคู่ไปกับความเชื่อและอุดมการณ์ที่เป็นเงื่อนไขหลักแล้ว ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ยังสอดคล้องไปกับประสบการณ์และความต้องการของประชาชนด้วย
ปัจจัยพื้นฐานประการหนึ่งคือ สังคมสวีเดนเป็นสังคมที่เป็นเนื้อเดียวกัน ทั้งในทางศาสนา วัฒนธรรม ธรรมเนียมปฏิบัติและหลักกฎหมาย แม้ว่าจะมีความแตกต่างในเรื่องภาษาและชาติพันธุ์บ้างก็ตาม ความเป็นเนื้อเดียวกันดังกล่าวทำให้สังคมสวีเดนมีอัตลักษณ์ที่ชัดเจน และมีศูนย์รวมความจงรักภักดีที่ชัดเจน สังคมสวีเดนเป็นสังคมแบบฉันทามติ ที่ทุกกลุ่มมีคุณค่าและเป้าหมายพื้นฐานร่วมกัน ดังจะเห็นว่า การถกเถียงเป้าหมายเชิงนโยบายจะมีก็แต่ในการถกเถียงในนโยบายการต่างประเทศเท่านั้น เช่น จะเข้าร่วมกับฝรั่งเศสหรือไม่, จะส่งกำลังสนับสนุนพันธมิตรหรือไม่, จะสนับสนุน Holstein-Gottorp หรือจะคืนดีกับเดนมาร์ก
แต่กระนั้น สังคมสวีเดนก็ยังมีเป้าหมายการต่างประเทศสุดท้ายร่วมกันคือการมุ่งรักษาสันติภาพ ในส่วนนโยบายอื่น ๆ ประเด็นถกเถียงเป็นเพียงการเลือกบุคคลที่เหมาะสมในการดำเนินนโยบายเท่านั้น
แน่นอนว่า สังคมสวีเดนก็มีข้อพิพาทและความขัดแย้งภายในสังคม แต่ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นแทบทั้งหมดเป็นความขัดแย้งระหว่างฐานันดรกันเอง ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์กลายเป็นกรรมการตัดสินข้อพิพาท ส่งผลให้เกิดลักษณะความสัมพันธ์ที่ประชาชนต้องพึ่งพาต่อองค์พระมหากษัตริย์ และทำให้พระองค์ทรงสามารถแบ่งแยกและปกครองได้โดยง่าย
ส่วนความขัดแย้งระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาชนที่เกิดขึ้นก็เป็นเพียงการขัดผลประโยชน์ของกลุ่มหรือบางส่วนเท่านั้น พระมหากษัตริย์ทรงขัดแย้งกับฐานันดรนักบวชในประเด็นการแก้ตัวบททางศาสนา ขัดแย้งกับฐานันดรชาวนาในประเด็นการเก็บภาษีต่อหัว และขัดแย้งกับฐานันดรอภิชนในประเด็นการบังคับรับราชการทหารม้า แต่ไม่มีการผสานกำลังระหว่างฐานันดรในการต่อสู้หรือต่อรองกับสถาบันพระมหากษัตริย์เลย เหตุการณ์ที่มีการประสานพลังระหว่างฐานันดรกลับกลายเป็นการลดทอนสถานะของฐานันดรอภิชนผ่านการสนับสนุนผลักดันการปฏิรูปการเงินของราชอาณาจักร
อนึ่ง อีกประเด็นที่ควรพิจารณาคือการให้ความหมายแนวคิดเสรีภาพในช่วงเวลาดังกล่าว เพราะในความเป็นจริงแล้ว เสรีภาพส่วนบุคคลถูกมองในแง่ลบว่าเป็นภัยต่อเสถียรภาพของสังคม
ด้วยเหตุปัจจัยที่กล่าวมานี้ ระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จึงเป็นระบอบการปกครองที่เหมาะสมกับสังคมสวีเดนที่มีคติคุณธรรมและโครงสร้างสังคมแบบอำนาจนิยม พระมหากษัตริย์ที่ทรงพระราชอำนาจยังสามารถเป็นเครื่องป้องกันการกดขี่ของอภิชนชนชั้นนำได้อีกด้วย ดังที่พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดได้ทรงกระทำอย่างต่อเนื่องจนเป็นที่ประจักษ์ นอกจากนี้ บันทึก จดหมายและคำกล่าวต่างๆ ยังชี้ว่าชาวสวีเดนที่มีการศึกษารับรู้เหตุการณ์เกี่ยวกับโอลิเวอร์ ครอมแวล และการสำเร็จโทษโดยการบั่นพระเศียรพระมหากษัตริย์ที่เกิดขึ้นในอังกฤษ พวกเขาคัดค้านต่อต้านเหตุการณ์ดังกล่าวและกลัวว่าการท้าทายพระราชอำนาจที่ชอบธรรมตามกฎหมายของพระมหากษัตริย์จะนำไปสู่เหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งไม่มีใครต้องการให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในราชอาณาจักรของพวกเขา
ฉะนั้น ภายใต้บริบททั่วไปของวัฒนธรรมหลักในยุโรปยุคต้นสมัยใหม่ และบริบทเฉพาะของสังคมสวีเดนเอง ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในสวีเดนในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 จึงพัฒนาการเกิดขึ้นไปตามธรรมชาติของบริบท ที่วางหลักอยู่บนฐานทางอุดมการณ์ศาสนา และตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนที่คาดหวังการบริหารราชการที่ราบรื่นและการปฏิบัติต่อประชาชนแต่ละฐานันดรตามลำดับชั้นในการเมืองของสวีเดน
แน่นอนว่าระบอบการปกครองเช่นนี้ย่อมต้องอาศัยตัวบุคคลที่เหมาะสม และไม่มีใครจะเหมาะสมไปกว่าพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดอีก พระองค์ทรงเชี่ยวชาญในการรบแต่ทรงมุ่งหลีกเลี่ยงสงครามทรงปกครองราชอาณาจักรอย่างระมัดระวัง แต่ก็ทรงผลักดันการปฏิรูปที่ทรงเห็นว่าเหมาะสมแก่ราชอาณาจักร ทรงดำเนินพระราชกรณียกิจอย่างเต็มสุดกำลัง และทรงปกครองด้วยหลักการความเชื่อที่ว่าพระองค์มีพันธะหน้าที่ต่อพระผู้เป็นเจ้าในการนำพาและปกป้องพสกนิกรของพระองค์ เป็นเรื่องน่าสังเกตว่า แม้พระองค์ไม่ได้ทรงได้รับการศึกษาและเตรียมตัวที่ดี แต่ก็ทรงสามารถเป็นแบบอย่างของพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ขณะเดียวกัน แม้ว่า พัฒนาการสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สวีเดนจะเกิดขึ้นตามเงื่อนไขทางบริบทและประวัติศาสตร์ของยุโรปโดยทั่วไปและลักษณะเฉพาะของสังคมสวีเดนเองแล้ว การขับเคลื่อนทางการเมืองโดยกลุ่มคนที่เป็นเครือข่ายของพระมหากษัตริย์ที่อยู่ภายใต้อุดมการณ์สมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็เป็นปัจจัยสำคัญพร้อมๆไปกับเงื่อนไขบริบททางประวัติศาสตร์ด้วย
ต่อไปจะได้กล่าวถึง ความโดดเด่นประการต่อมาในพัฒนาการทางการเมืองการปกครองของสวีเดน หลังจากที่ได้กล่าวความโดดเด่นสองประการไปแล้ว อันได้แก่ ชาวนาสวีเดนไม่เคยตกเป็นทาสติดที่ดิน (serfdom) และเป็นชาวนาเสรีมาโดยตลอด และการเปลี่ยนแปลงไปสู่ “สมบูรณาญาสิทธิราชย์” ในปี ค.ศ. 1680 ไม่มีการใช้ความรุนแรงเสียเลือดเนื้อแต่อย่างใด โดยเป็นการเปลี่ยนแปลงผ่านทางกระบวนการนิติบัญญัติในสภาฐานันดร (Riksdag) และในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของสวีเดน ยังคงให้สภาฐานันดรมีอำนาจนิติบัญญัติอยู่บ้าง
ความโดดเด่นประการที่สาม คือ การปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของสวีเดนมีอายุเพียง 38 ปี (ค.ศ. 1680 – 1718) นับว่าสั้นมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในยุโรปหรือแม้แต่กับประเทศไทยเอง หากนับว่าประเทศไทยมีการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ตั้งแต่ พ.ศ. 2435-2475 ในขณะที่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของเดนมาร์กมีอายุถึง 189 ปี (ค.ศ. 1660 – 1849)
อะไรคือ สาเหตุของที่ทำให้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สวีเดนมีอายุขัยเพียง 38 ปี ?