"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
ในสัปดาห์นี้ ผมเห็นหนังสือเล่มหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเมือง จึงนำมาเล่าสู่กันฟัง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ “เส้นทางสู่การสูญสิ้นอิสรภาพ” (The Road to Unfreedom) ซึ่งเป็นผลงานชิ้นสำคัญของ ทิโมธี สไนเดอร์ (Timothy Snyder) ที่วิเคราะห์อย่างเฉียบคมถึงการฟื้นคืนชีพของลัทธิอำนาจนิยมในศตวรรษที่ 21 โดยมีรัสเซียเป็นกรณีศึกษาหลัก
ทิโมธี สไนเดอร์ เป็นนักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันและศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยเยล (Yale University) ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในนักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ยุโรปตะวันออก การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (Holocaust) และลัทธิเผด็จการเบ็ดเสร็จ (Totalitarianism) เขายังเป็นนักคิดทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งในยุคปัจจุบัน สิ่งที่ทำให้งานของสไนเดอร์โดดเด่นและแตกต่าง คือความสามารถในการเชื่อมโยงบทเรียนอันโหดร้ายจากประวัติศาสตร์ศตวรรษที่ 20 เข้ากับวิกฤตการณ์ทางการเมืองและประชาธิปไตยในยุคสมัยของเราได้อย่างแหลมคมและทรงพลัง
สไนเดอร์ชี้ให้เห็นว่าโลกตะวันตกตกหล่มความคิดที่เรียกว่า “การเมืองแห่งความเลี่ยงไม่ได้” (Politics of Inevitability) ที่เชื่อว่าประชาธิปไตยจะเบ่งบานไปทั่วโลกโดยอัตโนมัติ ในขณะที่ระบอบอำนาจนิยมสมัยใหม่กลับใช้ “การเมืองแห่งความเป็นนิรันดร์” (Politics of Eternity) สร้างเรื่องเล่าว่าชาติกำลังถูกคุกคามจากศัตรูตลอดกาล เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาภายในและรวบอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง หนังสือเล่มนี้จึงเปรียบเสมือนคำเตือนอันทรงพลังที่เผยให้เห็นกลไกการบ่อนทำลายความจริงและประชาธิปไตยจากภายใน ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในรัสเซีย แต่ยังส่งอิทธิพลมาถึงยุโรปและสหรัฐอเมริกาด้วย นับเป็นหนังสือที่ปลุกให้เราตื่นขึ้นมาตระหนักว่าอิสรภาพนั้นเปราะบางและต้องอาศัยการปกป้องอยู่เสมอ
งานของสไนเดอร์ไม่ได้หยุดอยู่แค่การวิเคราะห์อดีตในเชิงวิชาการ แต่ยังทำหน้าที่เป็น “คู่มือ” และ “คำเตือน” สำหรับพลเมืองในสังคมประชาธิปไตยให้รู้เท่าทันกลไกของทรราชย์และการเสื่อมถอยของเสรีภาพ งานชิ้นนี้จึงมิได้เป็นเพียงการวิเคราะห์เหตุการณ์ทางการเมืองเท่านั้น แต่เป็นการทำประวัติศาสตร์ร่วมสมัย ที่ผสมผสานการวิเคราะห์ความคิด การศึกษาภูมิรัฐศาสตร์ และการสังเกตการณ์เหตุการณ์ปัจจุบันเข้าด้วยกัน อันเป็นการตอบสนองต่อความจำเป็นในการทำความเข้าใจปรากฏการณ์ใหม่ในการเมืองโลกที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยกรอบความคิดแบบเดิม
แนวคิดเรื่อง “การเมืองแห่งความเลี่ยงไม่ได้” เป็นรากฐานสำคัญในการทำความเข้าใจเหตุผลที่นำไปสู่วิกฤตการณ์ปัจจุบัน สไนเดอร์ อธิบายว่าการเมืองรูปแบบนี้เป็นความเชื่อที่ว่าประวัติศาสตร์มีทิศทางที่แน่นอนและหลีกเลี่ยงไม่ได้ไปสู่ความก้าวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคหลังสงครามเย็น ที่โลกตะวันตกเชื่อมั่นว่าระบอบเสรีประชาธิปไตยและเศรษฐกิจตลาดเสรีจะขยายตัวไปทั่วโลกอย่างไม่หยุดยั้ง
ในบริบทสหรัฐอเมริกา “การเมืองแห่งความเลี่ยงไม่ได้” ปรากฏในรูปแบบของความเชื่อที่ว่าธรรมชาติสร้างตลาด ตลาดนำมาซึ่งประชาธิปไตย และประชาธิปไตยนำมาซึ่งความสุข สูตรสำเร็จนี้ได้กลายเป็นความเชื่อมั่นพื้นฐานของนโยบายต่างประเทศอเมริกันในยุค 1990s และต้นยุค 2000s โดยเฉพาะในการขยายนาโต้และการส่งเสริมประชาธิปไตยในยุโรปตะวันออกและเอเชียกลาง
สำหรับยุโรป “การเมืองแห่งความเลี่ยงไม่ได้” ปรากฏในโครงการบูรณาการยุโรป (European Integration) ที่เชื่อว่าการรวมตัวทางเศรษฐกิจจะนำไปสู่การรวมทางการเมืองและในที่สุดจะสร้าง “สันติภาพถาวร” ในทวีปยุโรป แนวคิดนี้สะท้อนออกมาในนโยบายขยายตัวของสหภาพยุโรปที่มุ่งรวมประเทศในยุโรปตะวันออกเข้าสู่กลไกประชาธิปไตยและเศรษฐกิจตลาดเสรี
แม้แต่สหภาพโซเวียตก็เคยมี “การเมืองแห่งความเลี่ยงไม่ได้” ในรูปแบบของคอมมิวนิสต์ที่เชื่อว่าประวัติศาสตร์กำลังเดินทางไปสู่สังคมไร้ชนชั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การล่มสลายของสหภาพโซเวียตจึงเป็นการล่มสลายของ "การเมืองแห่งความเลี่ยงไม่ได้" รูปแบบหนึ่ง และเปิดทางให้รูปแบบใหม่ของอเมริกาและยุโรปเข้ามาแทนที่
เมื่อ “การเมืองแห่งความเลี่ยงไม่ได้” เริ่มล่มสลาย โดยเฉพาะเมื่อความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเพิ่มสูงขึ้นและสัญญาแห่งความก้าวหน้าไม่เป็นจริง “การเมืองแห่งความเป็นนิรันดร์” ก็เข้ามาแทนที่ การเมืองรูปแบบนี้มีลักษณะเฉพาะคือการให้ความสำคัญกับ “ชาติ” ที่เป็นศูนย์กลางของเรื่องราวการตกเป็นเหยื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในระบบความคิดของการเมืองแห่งความเป็นนิรันดร์ เวลาไม่ได้เดินหน้าไปสู่ความก้าวหน้า แต่กลับหมุนวนอยู่ในวงจรของการกลับมาของภัยคุกคามเดิมจากอดีต ประเทศจึงไม่จำเป็นต้องปฏิรูปตนเองหรือเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น แต่เพียงแค่ต้อง “ปกป้อง” ตนเองจากภัยคุกคามที่กลับมาเยือนอยู่เสมอ
ผู้นำที่ใช้ “การเมืองแห่งความเป็นนิรันดร์” จะสร้างวิกฤตการณ์และใช้เรื่องราวในอดีตเพื่อสร้างตำนานความบริสุทธิ์ของชาติและภยันตรายจากภายนอก แทนที่จะพัฒนาประเทศหรือแก้ไขปัญหาจริง พวกเขากลับสร้างเรื่องแต่งทางการเมือง (Political Fiction) เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจและทำลายข้อเท็จจริง
การเมืองรูปแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในรัสเซียเท่านั้น แต่ยังปรากฏในหลายประเทศทั่วโลก เช่น ฮังการีภายใต้วิกเตอร์ ออร์บาน (Viktor Orbán) โปแลนด์ภายใต้พรรคกฎหมายและความยุติธรรม ตุรกีภายใต้ เรเซป ทัยยิป เอร์โดอัน (Recep Tayyip Erdogan) และแม้แต่สหรัฐอเมริกาภายใต้โดนัลด์ ทรัมป์
หนึ่งในจุดเด่นของหนังสือเล่มนี้คือการสืบค้นรากฐานทางความคิดของระบอบปูติน โดยชี้ให้เห็นอิทธิพลของอีวาน อิลยิน นักปรัชญาฟาสซิสต์ชาวรัสเซียที่ถูกเนรเทศออกจากสหภาพโซเวียตในปี 1922 และเสียชีวิตในสวิตเซอร์แลนด์ในปี 1954 อิลยินนำเสนอแนวคิด “ฟาสซิสต์แบบคริสเตียน” (Christian Fascism) ที่มองว่ารัสเซียคือ “อินทรียภาพอันบริสุทธิ์” (Virginal Organism) ที่ต้องได้รับการปกป้องจากโลกตะวันตกที่เสื่อมทราม และจากอิทธิพลของยิวและคอมมิวนิสต์ แนวคิดนี้ผสมผสานระหว่างชาตินิยมรัสเซีย ศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์ และการต่อต้านประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม
อิลยินเชื่อในแนวคิดเรื่อง “ผู้ไถ่บาป” (Redeemer) ซึ่งเป็นผู้นำที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จและมีความเชื่อมโยงทางจิตวิญญาณกับประชาชน ผู้นำคนนี้ไม่จำเป็นต้องได้รับการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย เพราะความชอบธรรมของเขามาจากการที่เขา “รู้” ถึงความต้องการที่แท้จริงของชาติ ผู้นำมีหน้าที่กำหนดศัตรูและใช้ความรุนแรงเพื่อปกป้องความบริสุทธิ์ของชาติ
ปูตินได้ฟื้นฟูและปรับใช้แนวคิดของอิลยินในการสร้างความชอบธรรมให้กับระบอบคณาธิปไตยในรัสเซียยุคใหม่ โดยนำเอาแนวคิดเรื่องความบริสุทธิ์ของรัสเซียและการต่อต้านอิทธิพลตะวันตกมาเป็นแกนหลักของอุดมการณ์รัฐ การที่รัฐบาลรัสเซียให้ความสำคัญกับอิลยินสามารถเห็นได้จากการที่ปูตินเป็นประธานในพิธีเคลื่อนย้ายอัฐิของอิลยินจากสวิตเซอร์แลนด์มายังมอสโก และการที่หนังสือของอิลยินถูกแจกจ่ายให้กับเจ้าหน้าที่รัฐบาลระดับสูง
รัสเซียภายใต้ปูตินได้เปลี่ยนจาก “การเมืองแห่งความเลี่ยงไม่ได้” ของยุคเยลซิน ซึ่งเชื่อว่ารัสเซียจะกลายเป็นประชาธิปไตยแบบตะวันตกโดยอัตโนมัติ ไปสู่ “การเมืองแห่งความเป็นนิรันดร์” ที่เน้นความมีเอกลักษณ์และความต่างจากตะวันตก สิ่งที่น่าสนใจคือรัสเซียไม่ได้หยุดอยู่แค่การใช้การเมืองรูปแบบนี้ภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังพยายาม “ส่งออก” มันไปยังประเทศอื่นเพื่อป้องกันตนเองจากแรงกดดันจากตะวันตก การส่งออกนี้ทำได้หลายรูปแบบ ดังนี้
การสนับสนุนพรรคการเมืองขวาจัด รัสเซียได้ให้การสนับสนุนทั้งทางการเงินและการประชาสัมพันธ์แก่พรรคการเมืองขวาจัดในยุโรป เช่น พรรคทางเลือกเพื่อเยอรมนีในประเทศเยอรมนี พรรคเลกาในอิตาลี พรรคแนวหน้าแห่งชาติ (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น พรรครวมชาติ) ในฝรั่งเศส และ พรรคเอกราชสหราชอาณาจักร (UKIP) ในอังกฤษ พรรคเหล่านี้มีจุดร่วมในการต่อต้านสหภาพยุโรป ต่อต้านการอพยพ และสนับสนุนรัสเซีย
สงครามข้อมูลข่าวสาร รัสเซียได้พัฒนากลยุทธ์สงครามข้อมูลข่าวสารที่ซับซ้อน โดยใช้ทั้งสื่อโซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ข่าวปลอม และการจ้างกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ต (Internet Trolls) เพื่อเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือนและสร้างความขัดแย้งในสังคมเป้าหมาย
การสนับสนุนขบวนการแบ่งแยกดินแดน รัสเซียได้สนับสนุนขบวนการที่เรียกร้องให้แบ่งแยกดินแดนจากประเทศต้นสังกัด เช่น การสนับสนุนการลงประชามติเรื่องเอกราชของคาตาโลเนียจากสเปน และการสนับสนุนการลงประชามติ Brexit ในอังกฤษ
ยูเครนถือเป็นกรณีศึกษาสำคัญในหนังสือเล่มนี้ เพราะเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ระหว่างการดึงดูดของสองแนวคิดที่ขัดแย้งกัน คือ “การบูรณาการ” (Integration) ของยุโรป และ “จักรวรรดิ” (Empire) ของรัสเซีย
การปฏิวัติไมดาน (Maidan Revolution) ในปี 2013-2014 เป็นเหตุการณ์สำคัญที่สร้าง “สิ่งใหม่” (Novelty) ทางการเมือง ประชาชนยูเครนได้ลุกขึ้นเพื่อปฏิเสธทั้งการเมืองแห่งความเลี่ยงไม่ได้ที่ยุโรปเสนอ (ที่คาดหวังว่ายูเครนจะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปสู่ประชาธิปไตยโดยอัตโนมัติ) และการเมืองแห่งความเป็นนิรันดร์ที่รัสเซียนำเสนอ (ที่ต้องการให้ยูเครนยอมรับบทบาทเป็นส่วนหนึ่งของโลกรัสเซีย)
แทนที่จะเป็นการปฏิวัติที่มุ่งกลับไปสู่อดีตหรือยอมรับอนาคตที่ถูกกำหนดไว้แล้ว การปฏิวัติไมดานเป็นความพยายามที่จะสร้างทางเลือกใหม่ที่ไม่มีอยู่ในกรอบความคิดเดิม นี่คือสาเหตุที่รัสเซียตัดสินใจแทรกแซงทางทหารโดยการยึดครองไครเมียและสนับสนุนกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในภาคตะวันออกของยูเครน รวมทั้งการรุกรานยูเครนอย่างเต็มรูปแบบในเวลาต่อมา
การตอบสนองของรัสเซียต่อการปฏิวัติไมดานแสดงให้เห็นถึงความกลัวของมอสโกที่ว่า หากยูเครนสามารถสร้างรูปแบบการเมืองใหม่ที่ประสบความสำเร็จได้ มันอาจเป็นแรงบันดาลใจให้กับประชาชนรัสเซียในการเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงในทำนองเดียวกัน
สหรัฐอเมริกาในช่วงปลายยุค 2000s และต้นยุค 2010s ก็เริ่มแสดงสัญญาณของความเปราะบางที่รัสเซียสามารถใช้ประโยชน์ได้ ปัจจัยหลายประการได้ทำให้สังคมอเมริกันเปิดรับต่อการแทรกแซงจากภายนอ ช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนในสหรัฐอเมริกาได้ขยายกว้างขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดความไม่พอใจในระบบเศรษฐกิจและการเมืองที่มีอยู่ ความไม่พอใจนี้สร้างความเปิดรับต่อข้อความที่วิพากษ์วิจารณ์ระบบ แม้ว่าข้อความเหล่านั้นจะมาจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือก็ตาม
ยิ่งกว่านั้นการอ่อนแอของสื่อมวลชนในสหรัฐฯ ทั้งการลดลงของหนังสือพิมพ์และสื่อมวลชนแบบเดิมในสังคม ทำให้เกิดช่องว่างทางข้อมูลข่าวสารที่สื่อออนไลน์และแหล่งข้อมูลที่ไม่ได้รับการตรวจสอบสามารถเข้ามาเติมเต็มได้ รัสเซียได้จัดตั้งหน่วยงานวิจัยอินเทอร์เน็ต (Internet Research Agency) ในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งจ้างคนหลายร้อยคนเพื่อสร้างบัญชีปลอมในสื่อโซเชียลมีเดียอเมริกันและเผยแพร่ข้อมูลที่มุ่งสร้างความแตกแยก ทำให้ประชาชนมีแนวโน้มที่จะเชื่อข้อมูลที่สอดคล้องกับความเชื่อทางการเมืองของตนและปฏิเสธข้อมูลจากฝ่ายตรงข้าม ส่งผลให้การแบ่งขั้วทางการเมืองในสหรัฐอเมริกาได้รุนแรงมากขึ้น
อีกทั้งยังมีการใช้ “ข่าวปลอม” (Fake News) ซึ่งไม่ได้หมายถึงเพียงการโกหกหรือข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเท่านั้น แต่เป็นระบบการทำลายความจริงโดยสร้างสภาพที่ประชาชนไม่สามารถแยกแยะระหว่างข้อมูลจริงและข้อมูลเท็จได้ เทคนิคหลักในการสร้างข่าวปลอมของรัสเซีย ได้แก่ การเติมความจริงลงในข้อมูลเท็จ โดยการนำข้อมูลจริงบางส่วนมาผสมกับข้อมูลที่บิดเบือนหรือไม่จริง เพื่อให้ทั้งหมดดูน่าเชื่อถือ มีการเผยแพร่ข้อมูลเดียวกันผ่านแหล่งที่มาหลายแหล่ง เพื่อสร้างความรู้สึกว่าข้อมูลนั้นได้รับการยืนยันจากหลายฝ่าย และการสร้างความสงสัยต่อสื่อที่มีชื่อเสียงและน่าเชื่อถือ เพื่อให้ประชาชนหันไปพึ่งพาแหล่งข้อมูลอื่นที่อาจถูกจัดการได้ง่ายกว่า
สไนเดอร์ เสนอว่าทางออกจากวิกฤตของการเมืองแห่งความเป็นนิรันดร์ไม่ใช่การกลับไปสู่ “การเมืองแห่งความเลี่ยงไม่ได้” แต่เป็นการสร้าง “การเมืองแห่งความรับผิดชอบ” (Politics of Responsibility) ที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการสร้างอนาคตของประเทศ
การเมืองแห่งความรับผิดชอบเป็นการเรียกร้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการสร้างอนาคตของตนเอง แทนที่จะพึ่งพาความเชื่อว่าประวัติศาสตร์จะดำเนินไปในทิศทางที่ดีโดยอัตโนมัติ หรือยอมรับว่าอนาคตถูกกำหนดโดยอดีตแล้ว แนวคิดนี้เน้นความสำคัญของการกระทำเชิงรุกและการตัดสินใจอย่างมีสติของพลเมือง
สไนเดอร์เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเสริมสร้างความสามารถในการคิดวิเคราะห์และแยกแยะข้อมูลจริงจากข้อมูลเท็จ การศึกษาและการพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีเหตุผลจึงเป็นรากฐานสำคัญของประชาธิปไตยที่แข็งแกร่ง
การสร้างสื่อที่เข้มแข็งถือเป็นอีกหนึ่งเสาหลักสำคัญ โดยสนับสนุนให้สื่อท้องถิ่นและสื่อออนไลน์มีความรับผิดชอบต่อข้อเท็จจริง ช่วยต่อต้านการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จ และสร้างพื้นที่สำหรับการอภิปรายที่มีคุณภาพ นอกจากนี้ การเสริมสร้างสถาบันประชาธิปไตยให้มีความแข็งแกร่งและสามารถต้านทานการโจมตีจากภายนอกได้ก็เป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาความมั่นคงทางการเมือง
ในมิติของการป้องกันการแทรกแซงจากภายนอก สไนเดอร์เสนอให้พัฒนาความสามารถในการรู้เท่าทันสงครามข้อมูลข่าวสาร เพื่อตรวจจับและต่อต้านการแพร่กระจายข้อมูลเท็จที่มุ่งสร้างความแตกแยก และที่สำคัญคือการเสริมสร้างความยืดหยุ่นของสังคม โดยการลดความเหลื่อมล้ำและเสริมสร้างความสามัคคีจะช่วยลดช่องว่างที่อาจถูกใช้ประโยชน์โดยผู้มีเจตนาร้าย ขณะเดียวกันความร่วมมือระหว่างประเทศในการแบ่งปันข้อมูลและการต่อต้านการแทรกแซงเป็นกลไกสำคัญในการปกป้องประชาธิปไตยในระดับโลก
การเมืองแห่งความรับผิดชอบจึงเป็นทั้งการป้องกันและการสร้างสรรค์ โดยเรียกร้องให้ทุกคนเป็นผู้กระทำที่มีส่วนร่วมในการรักษาและพัฒนาประชาธิปไตย แทนที่จะเป็นเพียงผู้รับผลจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ท้ายที่สุด หนังสือเล่มนี้เป็นเครื่องเตือนใจว่าเสรีภาพและประชาธิปไตยไม่ใช่สิ่งที่จะมีอยู่เองโดยธรรมชาติ แต่ต้องได้รับการปกป้องและพัฒนาอย่างต่อเนื่องผ่านการมีส่วนร่วมและความรับผิดชอบของประชาชนทุกคน การที่เราจะสามารถรักษาสิ่งเหล่านี้ไว้ได้นั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถในการเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ การคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล และการไม่ยอมจำนนต่อการบิดเบือนข้อเท็จจริงของกลุ่มผู้ที่ต้องการทำลายประชาธิปไตย