xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“แขก คำผกา” ปะทะ “สส.หมิว” ปลุกปัญหาป่วยซึมเศร้าดันฆ่าตัวตายพุ่ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


 น.ส.ลักขณา ปันวิชัย หรือ แขก คำผกา | น.ส.สิริลภัส กองตระการ หรือ สส.หมิว
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - กรณีทัวร์ลง “แขก คำผกา” พิธีกรฝีปากกล้า หลังแสดงพฤติกรรมหยาบโลน พาดพิงอาการป่วย “โรคซึมเศร้า” ของ “สส.หมิว – สิริลภัส” พรรคประชาชน กลายเป็นประเด็นร้อนที่ปลุกกระแสสังคมให้ตระหนักถึงปัญหาสุขภาพจิต ทั้ง “ภาวะซึมเศร้า - ความเครียดสูง - เสี่ยงฆ่าตัวตาย” ว่า เป็นเรื่องใหญ่และถือเป็น “วาระแห่งชาติ” ที่จำต้องเร่งแก้ไขเป็นการด่วน


สืบเนื่องจาก “น.ส.ลักขณา ปันวิชัย” หรือ “แขก คำผกา” ล้อเลียนอาการป่วยโรคซึมเศร้าของ “น.ส.สิริลภัส กองตระการ” หรือ “สส.หมิว” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน ขณะลุกขึ้นโหวต “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” เป็นนายกรัฐมนตรีตามมติพรรคฯ ผ่านช่องทางไลฟ์สด จนตกเป็นเป้าวิพากษ์อย่างหนัก ถึงกระนั้น “เจ๊แขก คำผกา” ก็ยังออกอาการมั่นหน้า มิได้แคร์แม้แต่น้อย ยังคงคีพคาแรกเตอร์หยาบโลนผลิตคอนเทนต์ที่เต็มไปด้วยอคติ

แต่ประเด็นที่น่าสนใจเสียยิ่งกว่าก็คือ สถานการณ์ปัญหาสุขภาพจิตของคนไทย โดยรายงานสุขภาพคนไทย ปี 2568 จัดทำโดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยข้อมูลสุขภาพจิตพบคนไทย 13.4 ล้านคน เคยประสบปัญหาสุขภาพจิต หรือโรคจิตเวช รวมทั้งอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จในไทยยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนอายุ 15-29 ปี ที่ต้องเผชิญภาวะเครียด วิตกกังวล ซึมเศร้า และมีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสูง สาเหตุมาจากการเรียน สื่อสังคมออนไลน์ (Fear of Missing Out : FOMO) ความรุนแรงในครอบครัว และความคาดหวังจากสังคม นอกจากนี้ ยังพบว่ากลุ่มวัยก่อนสูงอายุ 45 – 59 ปี พบมีระดับความสุขต่ำที่สุด สะท้อนถึงความเปราะบางทางอารมณ์ในช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิต

ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต เปิดเผยว่า ทุกๆ 1 ชั่วโมงจะมีคนพยายามฆ่าตัวตายถึง 4 คน โดยกลุ่มวัยเรียน/วัยรุ่น อายุ 15 - 19 ปี เป็นกลุ่มที่มีอัตราการพยายามฆ่าตัวตายสูงที่สุดถึง 136.4 ต่อแสน

 นพ.จุมภฏ พรมสีดา   รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยว่า ข้อมูลสถิติปี 2567 พบว่ามีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายจำนวน 5,126 ราย คิดเป็น 7.89 ต่อแสนประชากร โดยกลุ่มวัยทำงานอายุ 20-59 ปี มีจำนวนสูงที่สุด 3,635 ราย รองลงมาคือผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป 1,345 ราย วัยรุ่นอายุ 15-19 ปี 122 ราย และเด็กอายุ 5-14 ปี 24 ราย โดยอัตราการพยายามฆ่าตัวตายอยู่ที่ 49.42 ต่อแสนประชากร

 น.ส.ณัฐยา บุญภักดี  ผู้อำนวยการสำนักอาวุโส สำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว สสส. กล่าวว่าปัญหาสุขภาพจิตของเด็กและเยาวชนไทยยังคงเป็นปัญหาใหญ่และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยพบอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จ มีการเพิ่มขึ้นจาก 6.11 คนต่อประชากรแสนคนในปี 2560 เป็น 7.94 ในปี 2566 โดยกลุ่มเยาวชนอายุ 15-19 ปี พยายามฆ่าตัวตายมากที่สุด คิดเป็นอัตรา 116.8 คนต่อประชากรแสนคน

นอกจากนี้ ยังพบว่าเด็กและเยาวชนเข้าถึงบริการสุขภาพจิตได้ยาก เพราะจำเป็นต้องใช้จิตแพทย์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะทางทั้งประเทศมีเพียง 295 คน และกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ ไปแล้ว 1 ใน 3 ของจำนวนจิตแพทย์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะทางทั้งหมด

รายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 1 ปี 2567 โดยสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เผยว่าประเทศไทยมีผู้ป่วยจิตเวชเข้ารับบริการเพิ่มขึ้น จาก 1.3 ล้านคน ในปี 2558 เป็น 2.9 ล้านคน ในปี 2566 ระหว่างวันที่ 1 ต.ค. 2566 - 22 เม.ย. 2567 พบมีผู้เสี่ยงป่วยซึมเศร้า 17.20% มีความเครียดสูง 15.48% และเสี่ยงฆ่าตัวตาย 10.63%

ขณะข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ชี้ชัดว่าคนไทยกำลังเผชิญกับปัญหาสุขภาพจิตที่ทวีความรุนแรงขึ้น ทั้งภาวะซึมเศร้า ความเครียดสูง เสี่ยงฆ่าตัวตาย นอกจากนี้ ยังมีผู้ถูกกระทำจากความรุนแรงจำนวนมาก

สำหรับปัญหาสุขภาพเป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐบาลไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของการแก้ไขปัญหา โดยมีผลักดันให้สุขภาพจิตที่ดีเป็นวาระแห่งชาติ ทำคลอดแผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2561 – 2580) เป็นแผนกำหนดทิศทางการดำเนินงานด้านสุขภาพจิตของประเทศไทย ตอบสนองต่อเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านความมั่นคงที่ขับเคลื่อนด้วยการสร้างการมีส่วนร่วม เพื่อให้หลุดพ้นจากกับดักความเหลื่อมล้ำในสังคม

โดยมุ่งพัฒนาและขับเคลื่อนงานสุขภาพจิตและจิตเวชให้มีประสิทธิภาพ ลดปัจจัยเสี่ยง เพิ่มปัจจัยคุ้มครองด้านสุขภาพจิต ส่งเสริมให้ประชาชนมีความตระหนักและความเข้าใจต่อปัญหาสุขภาพจิต รวมทั้งสร้างความเข้มแข็งของภาคีเครือข่าย ในการลดอคติต่อผู้มีปัญหาสุขภาพจิต

ตั้งเป้าหมายในภายในปี 2580 อัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จ ไม่เกิน 5.1 ต่อประชากรแสนคน ตลอดจนงทำให้เด็กมีความฉลาดทางสติปัญญา (IQ) มากกว่า 105, เด็กมีความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) อยู่ในเกณฑ์ปกติ มากกว่าร้อย 85, ครอบครัวมีความเข้มแข็งและความอบอุ่น ร้อยละ 95, ประเทศไทยมีคะแนนความสุข (World HappinessIndex) เพิ่มขึ้นจากปี 2560 มากกว่าหรือเท่ากับ 0.4 เป็นต้น

ขณะเดียวกัน รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร เดินหน้าเสริมสร้างระบบดูแลสุขภาพจิต สร้างความตระหนักรู้ถึงปัญหาสุขภาพจิต ส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีทางจิตใจ และลดการตีตราเกี่ยวกับโรคทางจิตเวช ตั้งแต่ระดับชุมชน โรงเรียน สถานที่ทำงาน ไปจนถึงระบบสาธารณสุข โดยเน้นทั้งการส่งเสริม ป้องกัน ดูแลรักษา และฟื้นฟู

ตั้งเป้าขยายครอบคลุมคนไทยในทุกช่วงวัยมากกว่า 13.5 ล้านคน โดยเฉพาะนโยบายสำคัญอย่างการจัดตั้งศูนย์ให้การปรึกษาสุขภาพจิต (Mental health counseling center) 340 แห่งภายในสิ้นปี 2568 ให้คำการปรึกษาและดูแลลดการเจ็บป่วยทางใจ โดยรัฐพยายามสร้างกลไกให้คนไทยมีสุขภาพจิตที่ดีอย่างถ้วนหน้า

ทั้งนี้ กรมสุขภาพจิตได้ขยายสายด่วนสุขภาพจิต 1323 จากเดิม 15 คู่สาย เป็น 60 คู่สาย โดยครอบคลุมการบริการทั่วประเทศทุกพื้นที่ ตลอด 24 ชั่วโมง และพัฒนานวัตกรรม DMIND แอปพลิเคชั่นคัดกรองภาวะซึมเศร้าด้วย AI ที่สามารถประเมินภาวะเสี่ยงได้แม่นยำถึง 85% เชื่อมโยงการช่วยเหลือฉุกเฉินผ่านระบบหมอพร้อม ซึ่งถูกนำมาใช้จริงแล้วกว่า 500,000 ครั้ง

สำหรับปัญหาการฆ่าตัวตายเป็นปัญหาที่ต้องการความร่วมมือจากทุกทุกองค์กร โดยกรมสุขภาพจิตได้ดำเนินงานเชิงรุกผ่านทีมปฏิบัติการพิเศษป้องกันการฆ่าตัวตาย (Hope Task Force) ผ่านความร่วมมือระหว่างบุคลากรสาธารณสุข ตำรวจ สื่อมวลชน และอินฟลูเอ็นเซอร์ เพื่อเข้าถึงผู้ที่มีความเสี่ยง การป้องกันการฆ่าตัวตายไม่ใช่เพียงแค่ช่วยผู้ที่คิดสั้นหรืออยู่ในภาวะซึมเศร้าเท่านั้น แต่ยังต้องให้การเยียวยาครอบครัวและคนใกล้ชิดของผู้ที่เสียชีวิต เพื่อให้ก้าวข้ามความสูญเสีย ลดความรู้สึกผิดและการตีตรา (Stigma) และกลับมามีพลังใจในการใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างเข้มแข็ง

ทั้งนี้ ประเทศไทยมีพระราชบัญญัติสุขภาพจิต โดยมีวัตถุประสงค์หลักที่สำคัญ 4 ประการ ได้แก่ 1. การสร้างเสริมสุขภาพจิต มุ่งส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจ และทัศนคติที่ถูกต้องต่อผู้ที่มีความผิดปกติทางจิต ลดการตีตราและการเลือกปฏิบัติ 2. การป้องกันและควบคุม เพื่อป้องกันและควบคุมปัจจัยที่คุกคามสุขภาพจิต เช่น ความเครียด ความรุนแรง และสารเสพติด รวมทั้งการป้องกันเหตุอันตรายที่อาจเกิดขึ้นต่อตนเอง ผู้อื่น และสังคม

3. การบำบัดรักษาและฟื้นฟู ให้ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตได้รับการรักษาตามมาตรฐานทางการแพทย์อย่างเหมาะสม ฟื้นฟูสมรรถภาพ และคืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เพื่อกลับมาดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างมีคุณค่า และ 4. การคุ้มครองสิทธิ โดยคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ป่วยจิตเวชอย่างรอบด้าน ทั้งสิทธิในการเข้าถึงการรักษา การรักษาความลับ ความปลอดภัยจากการวิจัย และการได้รับบริการที่เท่าเทียม เสมอภาคไม่ถูกเลือกปฏิบัติ ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างระบบสุขภาพจิตที่มีคุณภาพและยั่งยืนของประเทศ

 นพ.กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ระบุว่าโรคทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า ความวิตกกังวล โรคอารมณ์สองขั้ว และโรคจิตเภท เกิดจากความผิดปกติของสมองและสารสื่อประสาท ซึ่งเป็นกลไกทางชีววิทยาที่สามารถอธิบายได้เช่นเดียวกับโรคทางกาย เช่น เบาหวานที่เกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนอินซูลิน หรือความดันโลหิตสูงที่เกี่ยวข้องกับระบบหลอดเลือดและการไหลเวียนเลือด ผู้ป่วยจิตเวชจึงไม่ควรถูกตีตราหรือเหมารวมว่าเป็นบุคคลผิดปกติ แปลกแยก

ดังนั้น การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสาเหตุและลักษณะของโรคจะช่วยลดอคติและความหวาดกลัวในสังคม โดยในปัจจุบันการรักษาโรคทางจิตเวชทั้งด้วยยาและการบำบัดทางจิตสังคมมีประสิทธิภาพสูง สามารถควบคุมอาการ ฟื้นฟูสมรรถภาพ และช่วยให้ผู้ป่วยดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างปกติ

ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันสุขภาพจิตที่ดีเป็นวาระแห่งชาติ.


กำลังโหลดความคิดเห็น