xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“เครียดสูง – เนือยนิ่ง – กินแซ่บ” ดัน “เดอะแบก Gen Y” ป่วย NCDs พุ่ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -  จับตาประชากรไทยกลุ่ม “Gen Y (อายุ 30 – 40 ปี)” กำลังเผชิญกับ “โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs)” อาทิ โรคหัวใจ, เบาหวาน, ความดันฯ, โรคอ้วน, ฯลฯ ที่น่าตกใจปัจจุบันพบว่าอายุเฉลี่ยของผู้ป่วยใหม่ขยับลงมาอยู่ที่ 30 ปี จากอดีตมักพบโรค NCDs ในกลุ่มอายุ 50 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นผลมาจากความเครียดเรื้อรัง พฤติกรรมกินแซ่บอิ่มไมอั้นบุฟเฟต์ฉ่ำและเนือยนิ่งขาดการออกกำลังกาย 

 นพ.นิพัฒน์ กุหลาบขาว  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลวิมุต โฮลดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันปัญหาโรคหัวใจขยายตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะใน Gen Y (อายุ 30 – 40 ปี) ซึ่งเป็น  “เดอะแบกของครอบครัว”  โดยพบผู้ป่วย  “โรคหัวใจ”  เริ่มต้นในกลุ่มอายุเริ่มต้น 30 ปี จากอดีตเริ่มพบในกลุ่มอายุ 50 ปีขึ้นไป

ข้อมูลกระทรวงสาธารณสุขไทย ปี 2566 พบว่า มีผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดสะสมมากกว่า 2.5 แสนราย และมีผู้เสียชีวิตมากถึง 4 หมื่นราย หรือเฉลี่ยชั่วโมงละ 5 คน ปัจจุบันแนวโน้มน่ากังวล เพราะพบในกลุ่มอายุน้อยมากขึ้น โดย American College of Cardiology ระบุว่า 1 ใน 5 ของผู้ป่วยหัวใจวายมีอายุต่ำกว่า 40 ปี และระหว่างปี 2000 – 2016 อัตราการเกิดหัวใจวายในคนอายุ 20–30 ปีเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 2%

ทั้งนี้ โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของโลก ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี 2022 ระบุว่ามีผู้เสียชีวิตจากโรคกลุ่มนี้ราว 19.8 ล้านคน หรือคิดเป็น 32% ของการเสียชีวิตทั้งหมดทั่วโลก โดยกว่า 85% เกิดจากภาวะหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมอง

ภาพรวมสถานการณ์โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) โดยเฉพาะโรคหัวใจในกลุ่ม Gen Y กำลังเผชิญความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากความเครียด ภาระงาน และพฤติกรรมการใช้ชีวิต อาทิ อาหารการกินที่เน้นความรวดเร็ว (ฟาสต์ฟู้ด) ตลอดจนการรับประทานบุฟเฟต์หมูกระทะในอัตราถี่ขึ้น หรือการนั่งอยู่กับที่นานๆ แทบไม่ขยับ และการพักผ่อนน้อย

ขณะที่การประชุมคณะกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ครั้งที่ 7/2568 นำเสนอผลงานวิจัยเบื้องต้น โดย รศ.พญ.เริงฤดี ปธานวนิช  คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี หัวหน้าโครงการวิจัย “โครงการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 7” สำรวจสถานการณ์และแนวโน้มของสถานะทางสุขภาพ ความชุกของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ตลอดจนปัจจัยเสี่ยงและพฤติกรรมทางสุขภาพของประชาชนไทยในกลุ่มประชากรอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป รวม 30,057 ราย

จากการสำรวจพบความชุกของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ตลอดจนปัจจัยเสี่ยงและพฤติกรรมทางสุขภาพของประชาชนไทย ซึ่งเปรียบเทียบระหว่าง ครั้งที่ 6 กับ ครั้งที่ 7 พบว่า โรค NCDs เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคอ้วน มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

 “เบาหวาน” จาก 9.5% เพิ่มเป็น 10.6% โดย 27% ไม่รู้ตัวว่าเป็นเบาหวานมาก่อน ซึ่งกลุ่มที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเบาหวานอยู่ที่อายุ 15 - 34 ปี, “ความดันโลหิตสูง” จาก 25.4% เพิ่มเป็น 29.5%, “โรคอ้วน” จาก 42.2% เพิ่มเป็น 45.0% โดยผู้ชายเป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้นมากกว่าผู้หญิง  

ทั้งนี้ พบว่าคนไทยส่วนใหญ่มีพฤติกรรมเนือยนิ่งมากขึ้น รวมถึงการบริโภคผักและผลไม้ลดลงจากการสำรวจครั้งก่อน รวมทั้งด้านการบริโภคโซเดียมคนไทยยังบริโภคโซเดียมสูงกว่าที่องค์การอนามัยโลกแนะนำเกือบ 2 เท่า โดยคนไทยบริโภคอยู่ที่ 3,650 มิลลิกรัมต่อวัน ทั้งนี้ ต่อวันไม่ควรเกิน 2,000 มิลลิกรัม

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกำลังสร้างปัญหาต่อสังคมไทย เพราะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขอย่างมหาศาล การเพิ่มจำนวนผู้ป่วยเกิดภาระค่าใช้จ่ายสูงในการดูแลรักษาพยาบาล เกิดปัจจัยต่อเสี่ยงความพิการ ตลอดอัตราการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ทั้งหมดส่งผลต่อศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่าจากข้อมูลสถิติผู้ป่วยนอกที่เข้ารับบริการภายใต้สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในปี 2567 ที่ผ่านมา มีการเข้ารับบริการทั้งหมด 220 ล้านครั้ง โดยในจำนวนนี้เป็นโรค NCDs ที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการบริโภคถึง 167.5 ล้านครั้ง หรือคิดเป็นประมาณ 3 ใน 4 ของทั้งหมด โดยสาเหตุสำคัญคือการบริโภคคาร์โบไฮเดรตที่จะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาล และนำไปสู่การเกิดโรค NCDs ซึ่งปัจจุบันค่าใช้จ่ายในการรักษาโรค NCDs ปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 79,500 ล้านบาท

กล่าวสำหรับโรค NCDs เป็นปัญหาสุขภาพที่ส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว โดยในปี 2562 ประเทศไทยต้องสูญเสียทางเศรษฐกิจสูงถึง 1.6 ล้านล้านบาท 91% หรือประมาณ 1.495 ล้านล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายแฝงที่เกิดจากการขาดงาน ทำงานไม่เต็มความสามารถ ออกจากงานก่อนวัยอันควร และการสูญเสียกำลังผลิตจากการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร อีก 9% หรือประมาณ 1.39 พันล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายทางตรงในการรักษาพยาบาล ซึ่งเป็นรายจ่ายส่วนใหญ่ของระบบสาธารณสุข

ทั้งนี้ สธ. มีนโยบายที่จะทำให้คนไทยห่างไกลโรค NCDs โดยขับเคลื่อนนโนบายต่งๆ อาทิ นโยบายคนไทยห่างไกล NCDs มุ่งเป้าในการลดจำนวนผู้ป่วยจากโรคโรคไม่ติดต่อเรื้อรังรายใหม่ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคไตเรื้อรัง และลดความรุนแรงของการเจ็บป่วยในผู้ป่วยรายเก่า ด้วยการส่งเสริมให้มีการปรับพฤติกรรมสุขภาพ

ขับเคลื่อนการดำเนินงานผ่านศูนย์คนไทยห่างไกล NCDs ในระดับตำบล และคลินิก NCDs ที่ตั้งอยู่ในโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป และมีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เป็นกลไกสำคัญในการถ่ายทอดความรู้แก่ประชาชน ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรม เช่น การนับคาร์บ ซึ่งมีคนที่ได้รับการสอนนับคาร์บแล้วกว่า 42 ล้านคน โดยข้อมูล ณ วันที่ 24 ส.ค. 2568 มีจำนวนผู้ป่วยเข้าเกณฑ์ NCDs Remission 28,506 คน หยุดยาได้ 17,700 คน ลดยาได้ 29,886 คน ประหยัดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 780 ล้านบาทต่อปี รวมทั้ง สามารถลดแออัดในโรงพยาบาลและกำลังคนในการดูแลรักษาผู้ป่วยได้

อย่างไรก็ดี นโยบายลดการเจ็บป่วยจากโรค NCDs ของไทยจำเป็นต้องเสนอเป็น “วาระแห่งชาติ” เพราะต้องยอมรับว่าลำพัง สธ. ไม่สามารถดำเนินการให้สำเร็จได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกกระทรวง ทุกหน่วยงาน เพื่อให้เกิดการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การใช้มาตรการทางภาษี ที่ต้องอาศัยกระทรวงการคลัง การขอความร่วมมือผู้ว่าราชการจังหวัดขับเคลื่อนนโยบายลงสู่พื้นที่ ต้องขอความร่วมมือจากกระทรวงมหาดไทย โดยต้องเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้เกิดการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

สำหรับกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ถือเป็นปัญหาสาธารณสุขอันดับต้นๆ ของโลก เนื่องจากพฤติกรรมเสี่ยง อาทิ การบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสม การขาดกิจกรรมทางกาย การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ และความเครียดเรื้อรัง เป็นปัจจัยเร่งนำไปสู่โรคกลุ่ม NCDs ไม่ว่าจะเป็น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด หรือ โรคมะเร็ง เป็นต้น

ข้อมูลจากสำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค เปิดเผยว่าโรค NCDs เป็นตัวการสำคัญและเป็นภาระของการคลังด้านสุขภาพ ซึ่งการคลังด้านสุขภาพของประเทศไทยจะล่มจมหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าสามารถจัดการกับ NCDs ได้ดีขนาดไหน เพราะสาเหตุการตาย 2 ใน 3 มาจาก NCDs และค่าใช้จ่ายของผู้ป่วย NCDs ผูกพันเป็นระยะเวลานานหลายสิบปี จึงเป็นปัญหาระดับประเทศโดยเฉพาะกับประเทศที่ยากจน

 สถานการณ์ “โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs)” กำลังคุกคามผู้คนในสังคมไทย โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Y กำลังเผชิญอัตราการเกิดโรคเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ ทั้งหมดนี้เป็นโจทย์ข้อใหญ่ของรัฐตลอดจนภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องสร้างกลไกเข้ามากำกับดูแล. **


กำลังโหลดความคิดเห็น