xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“แม้ว” ติดคุก “เพื่อไทย” ร่อแร่ “ใคร” จะเป็นผู้สืบสันดานคนต่อไป?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ในที่สุด “ทักษิณ ชินวัตร” ก็ต้องกลับไปติดคุกใหม่เป็นเวลา 1 ปี เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาว่า การส่งตัวทักษิณไปรักษาที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ไม่ถือเป็นการได้รับโทษตามกฎหมาย ส่งผลทำให้ถูกควบคุมตัวไปบังคับโทษจำคุกที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครทันที ก่อนที่จะย้ายไปรับโทษที่เรือนจำกลางคลองเปรมในเวลาต่อมา

นี่น่าจะนับเป็นสิ่งที่คนชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” รวมทั้งครอบครัวไม่คาดคิดมาก่อนว่า จะมีวันนี้ เพราะไม่เช่นนั้นแล้วหลังเดินทางออกนอกประเทศไทยไปตั้งหลักอยู่ที่ดูไบหลายวันคงไม่ตัดสินใจบินกลับมาอย่างแน่นอน

เหตุที่กล่าวเช่นนั้นก็เพราะวันนัดฟังคำพิพากษาคือวันที่ 9 กันยายน 2568 ท่าทีของทักษิณดูจะมีความมั่นใจว่า รอด โดยเฉพาะสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและไม่มีความวิตกกังวลปรากฏให้เห็นเลยแม้แต่น้อย

“สบายมาก” ทักษิณ กล่าวขณะเดินผ่านกองทัพสื่อมวลชนที่นั่งอยู่ด้านหลัง

ทว่า เหตุการณ์ไม่เป็นไปอย่างที่คาดคิด

หลังสิ้นคำพิพากษา “ทักษิณ” โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวโดยขอน้อมรับและพร้อมเข้าสู่กระบวนการตามคำพิพากษา พร้อมทั้งสาธยายคุณงามความดีที่ได้เคยทำมาในฐานะนายกรัฐมนตรี อย่างไรก็ดี ถ้าพิจารณาลงลึกก็จะเห็นว่า เขายังคงไม่ยอมรับความผิดในคดีที่เขาเผชิญ ด้วยการบอกว่า “ทุกคดีเกิดขึ้นหลังการรัฐประหารรัฐบาลของผมเมื่อปี 2549” และส่งสัญญาณอยู่ในทีว่าจะยังไม่วางมือทางการเมืองหลังจากพ้นโทษ

ที่ต้องขีดเส้นใต้สองเส้นคือ มีความพยายามในการปั่นกระแสเชิงกลยุทธ์ให้ทักษิณ ชินวัตรกลายเป็น “วีรบุรุษ” เพื่อเรียกคะแนนเห็นใจ ทว่า สังคมก็ยังคงไม่ลืมว่า ต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องติดคุก เป็นผลมาจากการทุจริตใน 3 คดีสำคัญ รวมระยะเวลารับโทษตามคำพิพากษา 8 ปี ตามหมายขังเมื่อ 22 สิงหาคม 2566 ประกอบด้วย

หนึ่ง -คดีสั่งการให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอกซิมแบงก์) อนุมัติปล่อยเงินกู้ 4,000 ล้านบาทให้แก่เมียนมา เอื้อประโยชน์แก่ บมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น ศาลฎีกาฯ พิพากษาเมื่อ 23 เม.ย. 2562 ให้จำคุก 3 ปี

สอง - คดีทุจริตโครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว หรือที่เรียกกันว่า "คดีหวยบนดิน" ศาลฎีกาฯ พิพากษาเมื่อ 6 มิ.ย. 2562 ให้จำคุก 2 ปี *(2 คดีแรก ศาลให้นับโทษซ้อนกัน รวมกำหนดโทษจำคุก 3 ปี)

และสาม - คดีให้นอมินีถือหุ้น บมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น และเข้าไปมีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นในกิจการโทรคมนาคม ศาลฎีกาฯ พิพากษาเมื่อ 30 ก.ค. 2563 ให้จำคุก 5 ปี

ต่อมา นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ได้ยื่นทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา และได้รับการพระราชทานอภัยลดโทษเหลือจำคุก 1 ปี และใช้เล่ห์เหลี่ยมที่จะไม่อยู่ในเรือนจำแม้แต่วันเดียวโดยอ้างว่าป่วย จึงถูกส่งตัวมาอยู่ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ก่อนที่ศาลฯ จะมีคำวินิจฉัยว่า ไม่ได้ป่วยหนักจริงอย่างที่กล่าวอ้าง และมีคำสั่งให้กลับไปรับโทษใหม่ตามที่ได้รับพระราชทานอภัยลดโทษเป็นเวลา 1 ปี

ขณะที่ในเรื่องการบังคับโทษในเรือนจำ มีการคาดการณ์กันว่า “ทักษิณ” น่าจะติดคุกไม่ถึง 1 ปีอย่างแน่นอน เพราะมีสิทธิที่จะได้รับการ “พักโทษ” ตามระเบียบของกรมราชทัณฑ์ รวมทั้งคุณสมบัติของทักษิณก็เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดเอาไว้ใน “ระเบียบคุมขังนอกเรือนจำ” นอกจากนี้ ระหว่างที่คุมขัง หากมีพระราชทานอภัยโทษเป็นการทั่วไป ถือว่ามีสิทธิได้รับเกณฑ์พิจารณาเช่นเดียวกัน

ส่วนในเบื้องต้น มีรายงานว่า ทักษิณจะได้รับการจัดลำดับชั้นเป็นนักโทษเด็ดขาดชั้นกลางก่อน และในทุกๆ 6 เดือน เรือนจำจะปรับเลื่อนชั้นผู้ต้องขัง นอกจากนี้ นายทักษิณถือเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ ทางเรือนจำอาจแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยในงานด้านต่างๆ เพื่อช่วยเหลืองานในเรือนจำได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ช่วยฝ่ายบรรณารักษ์ ห้องสมุด ผู้ช่วยงานสถานพยาบาล เพราะได้ภาษาอังกฤษ เป็นต้น

แต่ช้าก่อน...เพราะมีมุมมองจาก ““นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” ว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สามารถนำคำพิพากษาดังกล่าวของศาลฎีกาฯ มาใช้ประกอบกับการเดินหน้าไต่สวนเจ้าหน้าที่รัฐและแพทย์ รวม 12 รายที่เอื้อให้ “ทักษิณ” พักรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ถ้าป.ป.ช.ชี้มูลแล้วส่งเรื่องให้อัยการส่งฟ้องศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง และหากสุดท้าย ศาลอาญาฯ ตัดสินให้เจ้าหน้าที่รัฐมีความผิด ก็ต้องโทษจำคุก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ “ทักษิณ” จะถือเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ ต้องได้รับโทษเป็นจำนวน 2 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 .ซึ่งต้องโทษจำคุกอย่างน้อย 1 ปี

ทั้งนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับทักษิณ ชินวัตร ถือเป็น “มรสุมลูกใหญ่” ที่ถาโถมเข้าใส่อย่างต่อเนื่องสำหรับครอบครัวชินวัตร เพราะก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน “แพทองธาร ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เป็นลูกสาว ก็เพิ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในคดีคลิปเสียงการสนทนากับ “ฮุน เซน” จนทำให้พ้นจากการเป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้ว

แต่ถ้าจะว่าไป ต้องบอกว่า ความผิดพลาดของ “ทักษิณ” ก่อกำเนิดตั้งแต่เมื่อครั้งเปิดศึกกับ “ค่ายสีน้ำเงิน-พรรคภูมิใจไทย” เมื่อต้องการยึดเก้าอี้ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย” เพื่อหวังผลในการเลือกตั้งใหญ่ครั้งหน้า ทว่า “เสี่ยหนู-ครูใหญ่เน” ไม่ยอม และเมื่อโอกาสประจวบเหมาะเกิดกรณีคลิปสนทนา “แพทองธาร-ฮุนเซน” ที่ส่งผลกระทบรุนแรงกับรัฐบาล ทำให้ค่ายสีน้ำเงินตัดสินใจโบกมือลามาเป็นฝ่ายค้าน

จากนั้นก็มาพลาดซ้ำสองหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า “แพทองธาร” ผิดจริยธรรมร้ายแรงจนต้องพ้นจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เมื่อพรรคภูมิใจไทยเดินเกมไวด้วยการประกาศเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาล และประกาศยอมรับทุกเงื่อนไขของ “พรรคประชาชน” ที่เคยประกาศก่อนหน้านี้เมื่อเกิดกรณีคลิปหลุดและเรียกร้องให้มีการยุบสภาว่า จะยกมือสนับสนุนพรรคที่พร้อมจะยุบสภาภายใน 4 เดือนและแก้ไขรัฐธรรมนูญ

แถมเมื่อแก้เกมด้วยการผลัก “ชัยเกษม นิติสิริ” เข้าสู้และประกาศจะยุบสภาทันทีถ้าได้รับเลือก ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากพรรคส้มด้วยเห็นว่า ไม่มีความจริงใจ มีแต่ความต้องการเอาชนะทางการเมืองเท่านั้น และในที่สุดก็ต้องพ้นไปจากวงจรอำนาจ เมื่อพรรคประชาชน” เท 143 เสียง โหวตประเคนเก้าอี้ “สร.1” ให้กับ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แถมพรรคร่วมรัฐบาลที่เคยไว้ใจมากอย่าง “พรรคกล้าธรรม” ของร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า ก็หันหัวเรือไปยกมือโหวตให้ พร้อม “ก๊กเสี่ยเฮ้ง-สุชาติ ชมกลิ่น” ที่เวลานั้นสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ ผสมกับ “งูเห่า” จากพรรคของตัวเองที่แปรพักตร์ไปร่วมวงไพบูลย์กับ “ค่ายสีน้ำเงิน” อีกหลายคน

แน่นอนว่า มีประเด็นที่ต้องตรวจสอบและวิเคราะห์กันต่อไปว่า อนาคตทางการเมืองของตระกูลชินวัตร จะดำเนินไปอย่างไร รวมถึง “พรรคเพื่อไทย” ว่าจะมีการปรับกลยุทธ์เพื่อรับแรงกระแทกทางการเมืองที่เกิดขึ้นในรูปลักษณ์ไหน

ใครๆ ก็รู้ว่า ถ้าไม่มี “ทักษิณ” ก็ไม่มีใครเชื่อมั่นใน “พรรคเพื่อไทย” ว่าจะประสบความสำเร็จในทางการเมือง เพราะในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ทักษิณเสื่อมความนิยมลงไปค่อนข้างมากจนทำให้พ่ายแพ้ต่อ “พรรคประชาชน” ที่ขณะนั้นมี “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เป็นหัวหน้าพรรค ทำให้ไม่สามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ในช่วงแรก ก่อนที่จะตัดสินใจถีบหัวส่งพรรคส้มหันไปจับ “พรรค 2 ลุง” และพรรคขั้วอำนาจอนุรักษ์นิยมจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ พร้อมส่ง “เศรษฐา ทวีสิน” เป็นนายกรัฐมนตรีสำเร็จ

มีการคาดการณ์กันว่า การเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคเพื่อไทยจะมี สส.ไม่เกิน 50 คน นั่นหมายความว่า จะไม่สามารถเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งส่งผลในเชิงจิตวิทยากับบรรดาสส.และคนของพรรคว่า จะตัดสินใจร่วมหอลงโรงต่อไป หรือค่อยๆ ทยอยแยกย้ายไปหาโอกาสที่ดีกว่า

สำหรับงานการเมืองของพรรคเพื่อไทยนั้น ถ้าดูปฏิกิริยาจากตัว “ทักษิณ” เองในวันที่ศาลฯ พิพากษาให้กลับไปรับโทษใหม่ ก็เห็นว่า เขายังจะอยู่ในถนนสายการเมืองต่อไป ขณะที่ “ลูกอิ๊งค์” ก็ประกาศออกมาเช่นกันว่า จะ “รัน” พรรคเพื่อไทยต่อไป เช่นเดียวกับ “ภูมิธรรม เวชยชัย” ซึ่งถือเป็น “สายตรงบ้านจันทร์ส่องหล้า” ก็ให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า กำลังเตรียมตัวปรับปรุงพรรคและปฏิรูปพรรค กลับไปสร้างระบบ ประสานงานต่าง ๆ ให้ดี และเดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น

กระนั้นก็ดี สิ่งที่ต้องไม่ลืมก็คือ คดีของตระกูลชินยังไม่หมดเพียงเท่านั้น โดยเฉพาะตัว “แพทองธาร” เองยังมีเรื่องร้องเรียนในชั้นการไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 4 เรื่องใหญ่ ดังนี้

เรื่องแรก” คดีคลิปเสียงสนทนากับฮุน เซน” ที่ยังมีกรณีที่ “สมชาย แสวงการ” และคณะ ยื่นเรื่องต่อกองบัญชาการสอบสวนกลาง ให้สอบสวนในข้อหาปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และข้อหาความมั่นคง โดยเบื้องต้นกองบัญชาการสอบสวนกลางส่งเรื่องต่อให้ ป.ป.ช.ซึ่งมีอำนาจไต่สวน ดำเนินการต่อแล้ว ซึ่งหากสุดท้ายศาลพิพากษามีความผิดจริง จะถูกตัดสิทธิการเมืองตลอดชีวิต

เรื่องที่สอง กรณี “ครม.แพทองธาร” ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 กรณีโยกย้ายงบประมาณ แบ่งเป็น 2 สำนวน ได้แก่ กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติรับเรื่องไว้ตรวจสอบข้อเท็จจริง กล่าวหา “รัฐบาลแพทองธาร” ส่อจัดทำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง รวม 2 สำนวน คือ กรณีกล่าวหา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกฯ คณะรัฐมนตรี(ครม.)ทั้งคณะ คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 2568 เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 2568 รวมไปถึง สส. และ สว. ที่ลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 2568 ดังกล่าว

และกรณีกล่าวหา สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยบรรดา สส.และอดีต สส.พรรคเพื่อไทย เช่น สาโรจน์ หงส์ชูเวช พิษณุ หัตถสงเคราะห์ จักรพงษ์ แสงมณี ที่ปรึกษานายกฯ อดีต รมต.ประจำสำนักนายกฯ รวมถึงผู้บริหารระดับสูงในสำนักงบประมาณว่า มีพฤติการณ์ฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง มีพฤติการณ์ใช้สถานะหรือตำแหน่งกระทำการสั่งการ บังคับ ก้าวก่าย หรือเข้าแทรกแชง ในการจัดทำงบประมาณ การอนุมัติงบประมาณ การบริหารงบประมาณ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ปี 2568 วงเงินราว 51,584 ล้านบาท ผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อประโยชน์ของตนเอง และผู้อื่น หรือพรรคการเมือง ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 โดยทั้ง 2 สำนวนนี้ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการไต่สวนของ ป.ป.ช.

เรื่องที่สาม กรณีกล่าวหา “ตั๋ว PN” หรือตั๋วสัญญาใช้เงิน ในการซื้อขายหุ้นกว่า 4.4 พันล้านบาท แก่บุคคลในครอบครัวของ “แพทองธาร” โดยถูก “ฝ่ายค้าน” นำโดย “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชนกังขา และนำไปสู่การซักฟอกในสภาฯ อย่างเผ็ดร้อนว่า เข้าข่ายทำ“นิติกรรมอำพราง” หลบเลี่ยงการจ่ายภาษีการรับให้กว่า 218.7 ล้านบาทหรือไม่

และสุดท้าย กรณี “สนามกอล์ฟอัลไพน์” มี 2 ประเด็นด้วยกัน ได้แก่ กรณีเพิกถอนโฉนดที่ดินนับพันไร่ของสนามกอล์ฟอัลไพน์ โดยรัฐจะต้องจ่ายเงินเยียวยาราว 7.7 พันล้านบาท เบื้องต้น บริษัท อัลไพน์ฯ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง ขอคุ้มครองชั่วคราว และขอให้เพิกถอนคำสั่งเพิกถอนที่ดินดังกล่าวแล้ว และอีกกรณีสำคัญน่าจับตา เงื่อนปม “แพทองธาร ชินวัตร” ถือครองหุ้น “อัลไพน์” ภายหลังเข้ารับตำแหน่งนายกฯคนที่ 31 ก่อนจะโอนหุ้นดังกล่าวให้แก่ “มารดา” คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ จำนวน 22,410,00 หุ้น มูลค่า 224.1 ล้านบาท เมื่อ 18 ส.ค. 2567 ซึ่งถูก “เรืองไกร” ร้องต่อ กกต.ให้ตรวจสอบไปแล้วข้างต้น

ดังนั้น โจทย์ใหญ่ที่ตระกูลชินจำต้องเตรียมการไว้ก็คือ “ใคร” คือทายาททางการเมืองคนต่อไปที่จะมานำทัพพรรคเพื่อไทยในช่วงขาลงสุดๆ แบบนี้


กำลังโหลดความคิดเห็น