ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -แม้จะมีเวลาอยู่ในอำนาจเพียงแค่ 4 เดือนก่อนจะยุบสภาตามที่ตกลงเอาไว้กับ “พรรคประชาชน” ซึ่งเชื่อว่า ในความเป็นจริงน่าจะยืดออกไปกว่านั้น แต่ดูเหมือนว่า คนไทยทั้งประเทศจะจับจ้อง “คณะรัฐมนตรี” ของ “เสี่ยหนู-นายอนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทยค่อนข้างมาก โดยเที่ยวนี้พรรคภูมิใจไทย ได้โควตา 16 ตำแหน่ง พรรคกล้าธรรม 7 ตำแหน่ง พรรคพลังประชารัฐ 4 ตำแหน่ง กลุ่มนายสุชาติ ชมกลิ่น 3 ตำแหน่ง กลุ่มนายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ จากเพื่อไทย 2 ตำแหน่ง และกลุ่มนายนิพนธ์ บุญญามณี จากประชาธิปัตย์ 1 ตำแหน่ง
ที่น่าสนใจก็คือบรรดา “รัฐมนตรีคนนอก” ที่ปรากฏชื่อให้เห็นถึง 7 คน ประกอบด้วย
“บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” อดีตประธานคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญที่จะมานั่งเก้าอี้ “รองนายกรัฐมนตรี” ฝ่ายกฎหมาย ตามต่อด้วย “เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” อธิบดีกรมธนารักษ์ ที่มารับตำแหน่ง “รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ ควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง” ถัดมาคือ “สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว” อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ที่มาในเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ “วรภัค ธันยาวงษ์” อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย ในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง “อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์” อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กับตำแหน่งรัฐมนตรีการกระทรวงพลังงาน และ “ศุภจี สุธรรมพันธุ์” ซีอีโอดุสิตธานี กับเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการะทรวงพาณิชย์
ส่วน “รัฐมนตรีคนใน” นั้น ก็เป็นเรื่องปกติของการเมืองไทยที่จะต้องแบ่งไปตามสัดส่วน สส.ที่แต่ละพรรค แต่ละกลุ่มก๊วนการเมืองมีอยู่ในมือ ในลักษณะของ “รัฐมนตรีต่างตอบแทน” แถมยังปรากฏด้วยว่า ในรายที่ไม่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติยังมีการ “ส่งต่อเก้าอี้” ให้กับทายาททางการเมืองให้เห็น จนสังคมวิพากษ์วิจารณ์กันขรมว่าเป็น “รัฐมนตรีสืบสันดาน” เช่น สันติ พร้อมพัฒน์ที่เดิมมีชื่อเป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แต่จำต้องส่ง “พัฒนา พร้อมพัฒน์” มาเป็นแทน เป็นต้น
นอกจากรายชื่อ “รัฐมนตรี” แล้ว สิ่งที่สังคมจับจ้องไม่แพ้กันก็คือ “นโยบายของรัฐบาลนายกฯ หนู” ว่าจะมีอะไรที่พอจะร้องว้าวบ้าง ซึ่งเมื่อตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ที่ออกมาในช่วงนี้ โดดเด่นที่สุดก็คงเป็นเรื่องการนำ “นโยบายคนละครึ่ง” ของ “ลุงตู่-พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา” มาใช้ นอกจากนั้นก็เป็นเรื่องปลีกย่อย เช่น การทบทวนโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นต้น ทว่า กลับไม่เห็นความจริงจังในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาเลย อันถือเป็น “วาระแห่งชาติเร่งด่วน”
ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่า การที่ “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” สามารถก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้เป็นผลมาจากกรณีคลิปการสนทนาระหว่าง “แพทองธาร ชินวัตร” กับ “ฮุน เซน” และถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามีความผิดจนต้องพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และ “พรรคภูมิใจไทย” เองก็ฉวยจังหวะในช่วงที่คลิปปรากฏถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลแบบ “หล่อๆ” จนได้รับเสียงชื่นชมจากประชาชนคนไทยอยู่ไม่น้อย ทั้งๆ ที่ความจริงเป็นเพราะขัดแย้งกับพรรคเพื่อไทยที่ต้องยึดเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลอนุทินต้องประกาศเดินหน้าทันทีก็คือ การประกาศยกเลิก “บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก” หรือ MOU 2543 และ “บันทึกความเข้าใจพื้นที่ทับซ้อนของไหล่ทวีป” หรือ MOU 2544 เป็นประการแรก
ที่สำคัญคือเมื่อย้อนกลับไปดูท่าทีของ “ไชยชนก ชิดชอบ” ในฐานะเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ซึ่งครั้งนี้ได้รับการเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ก็พบว่า ในช่วงที่เกิดสถานการณ์ชายแดน ได้ออกมาผสมโรงเรื่องการยกเลิก MOU ทั้ง 2 ฉบับ โดยปรากฏหลักฐานในการให้สัมภาษณ์ภาษณ์วันที่ 15 สิงหาคม 2568 โดยพูดออกมาเต็มปากเต็มคำว่า สถานการณ์ปัจจุบันไม่เป็นผลดีต่อไทย หวั่นผลประโยชน์สองตระกูลทับซ้อน และการคงไว้ซึ่ง MOU ดังกล่าวอาจกลายเป็นชนวนปัญหาใหญ่ด้านดินแดนในอนาคต
ทว่า เมื่อพลิกกลับมามีอำนาจอีกครั้ง “ไชยชนก” ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น “ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษา MOU 2543-2544 ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา สภาผู้แทนราษฎร” เมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ออกมา กลับออกไปแนวต้องศึกษารายละเอียดอีกแล้วครับท่าน ทั้งๆ ที่มีคำยืนยันว่า สามารถยกเลิกได้เลยด้วย “มติคณะรัฐมนตรี” โดยไม่จำเป็นต้องศึกษาอะไรเพิ่มเติมให้เสียเวลา ดังนั้น จึงต้องจับตาว่า สุดท้ายแล้ว หวยจะออกในรูปลักษณ์ใด
ขณะเดียวกัน “ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม” ซึ่งเป็น “สายตรงลุงตู่” อย่าง “บิ๊กเล็ก-พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์” ที่ยังไม่ทันรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการก็กลายเป็น “ตำบลกระสุนตก” เสียแล้ว เมื่อให้สัมภาษณ์หลังไปประชุมคณะกรรมการทั่วไปไทย-กัมพูชา หรือ GBC ที่เกาะกง ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 10 กันยายนและมีข้อสรุปร่วมกันของทั้งสองประเทศว่า จะผ่อนปรนให้มีการเปิดด่านจันทบุรี-ตราดเพื่อขนส่งสินค้า โดยอ้างว่า เป็นผลมาจากแรงกดดันของประเทศที่สาม ซึ่งได้รับการเฉลยในเวลาต่อมาว่าคือ “ญี่ปุ่น” พร้อมออกตัวกรณีพื้นที่บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว ว่า เรื่องดังกล่าวมีปัญหามานาน รัฐบาลขอให้ประชาชนเข้าใจ เพราะต้องใช้เวลาในการแก้ไข ปัจจุบันได้เริ่มหารือกันแล้ว โดยต้องส่งแผนที่ให้ตรวจสอบ ซึ่งกัมพูชาขอให้เข้าสู่เวทีเจบีซี (คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา) เพื่อหาข้อยุติ โดยจะดำเนินการในพื้นที่ที่มีความชัดเจนก่อน
คำถามมีอยู่ว่า แล้วพลเอก ณัฐพลจะใช้เวลานานแค่ไหนในการจัดการกับปัญหาที่หนองจาน เพราะมีปัญหาหมักหมมมานานจากกรณีที่ชาวกัมพูชารุกล้ำพื้นที่อธิปไตยของไทย เข้ามาสร้างบ้านเรือน สร้างชุมชนอย่างหนาแน่นกว่า 200 หลังคาเรือน เป็นเวลายาวนานหลายสิบปี ขณะที่สภาพ “บ้านหนองจาน” เวลานี้ไม่ต่างอะไรกับแดนเถื่อน กลายเป็นแหล่งซ่องสุมของอาชญากรรมทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นแก๊งขนของเถื่อน-ขนแรงงานเถื่อน, ขนยาเสพติด ของผิดกฎหมาย, อาวุธสงคราม, จุดพักรถเปลี่ยนป้าย-ชำแหละชิ้นส่วนของแก๊งลักรถจักรยานยนต์-รถยนต์ และอีกมากมายสารพัดสารพัน ฯลฯ
แถมถ้ายังจำกันได้ “บิ๊กเล็กเด็กลุง” คนนี้ ก็เคยให้สัมภาษณ์อย่างชัดเจนว่า MOU นั้นมีประโยชน์อีกต่างหาก ดังนั้น เมื่อไปนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็คงจะเป็นอีกหนึ่งเสียงที่ทำให้ MOU ดำรงอยู่ต่อไป
อย่างไรก็ดี ต้องบอกว่า กระแสเสียงไม่เห็นด้วยกับการเปิดด่านนั้น รุนแรงอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะจากฝ่ายประชาชน ขณะที่ “ฝ่ายทหาร” ก็มีปฏิกิริยาคัดค้านเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น “บิ๊กกุ้ง-พลโท บุญสิน พาดกลาง” แม่ทัพภาคที่ 2 ซึ่งส่งเสียงเตือนออกมาดังๆ ว่า คิดให้ดีก่อนเปิดด่าน เพราะส่งผลต่อเศรษฐกิจกัมพูชา น้ำมัน ปูนซีเมนต์ สินค้าอุปโภคบริโภคเข้ามา ทำฝั่งตรงข้ามเข้มแข็ง แถมคนไทยข้ามไปเล่นพนัน-เป็นสแกมเมอร์หลอกลวง แถมกลับมาทำร้ายทหารไทย พร้อมทั้งตั้งคำถามด้วยว่า เป็นผลประโยชน์ของใครไม่ทราบ
เช่นเดียวกับ “พลเอก มนัส จันดี” เสนาธิการทหารกองบัญชาการกองทัพไทย ที่ให้ความเห็นผ่านเพจเฟซบุ๊ก กองบัญชาการกองทัพไทย Royal Thai Armed Forces Headquarters ขณะกำลังสนทนากับรองผบ.กกล.สุรนารี และ ผบ.หน่วย บนยอดภูมะเขือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ในโอกาสที่มาตรวจการสร้างถนนและติดตั้งกล้องวงจรปิด สรุปสาระสำคัญได้ว่า “เขมรเป็นคนเคลื่อนย้ายอาวุธมาก่อน เพราะฉะนั้นถ้าอยากจะแสดงความจริงใจ แล้วเราไม่เคยรุกราน ถอนกลับไปแค่นั้นแหละ ถ้าคุยกันรู้เรื่อง แสดงความจริงใจด้วยการถอนกำลังกลับ เราให้คำมั่นว่าเราไม่ไปไล่ติดตามมัน เราไม่ได้ไปรุกไปอะไรหรอก ก็แค่มันถอนกำลังกลับ ทุกอย่างก็จะอยู่ด้วยความสงบ ก็แค่นั้น แต่ถ้ามันไม่ถอนกำลังกลับ อย่างอื่นก็ไม่ควรจะมาพูดกัน เปิดด่านปิดด่านอะไรไม่รู้ ไม่มีประโยชน์ ถ้ามันไม่แสดงความจริงใจต่อกัน”
ขณะเดียวกัน กองทัพภาคที่ 2 ยังคงตรวจพบการวางทุ่นระเบิด ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง เป็นประจักษ์พยานหลักที่การตอกย้ำภาพ “ความไม่จริงใจ” ของฝ่ายกัมพูชาซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยตามรายงานสรุปสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 กองร้อยอาวุธเบาที่ 1 กองพันทหารราบที่ 27 ตรวจพบทหารกัมพูชา ทำการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ตามที่ได้ร่วมกันลงนามในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ณ กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย (ละเมิดข้อ 1 และ ข้อ 4) โดยตรวจพบทุ่นระเบิดไม่ทราบชนิด (มีลักษณะคล้าย MD82B) จำนวน 4 ลูก บริเวณพื้นที่ช่องติ๊กเบ๊าะ ทางทิศตะวันตกปราสาทตาควาย และคาดว่าจะมีอีก 1 ลูก อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง เนื่องจากมีสัญญาณเตือน จากการใช้เครื่องตรวจทุ่นระเบิด บริเวณทุ่นระเบิดห่างจากแนวลวดหนามทาง/ยุทธวิธีของหน่วย ประมาณ 3 เมตร ซึ่งบริเวณที่ตรวจพบนั้น เป็นช่องทางที่ทหารกัมพูชามักใช้เป็นเส้นทางลาดตระเวนในการเดินเข้ามายังลวดหนามทางยุทธวิธีของฝ่ายไทย เพื่อเฝ้าตรวจฝ่ายเรา
นอกจากนั้น สื่อเขมรยังไม่เลิกปั่นเฟกนิวส์ใส่ร้ายป้ายสีฝั่งไทย โดยสำนักข่าว Khmer Times นำเสนอข่าวเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 ระบุว่า มีกลุ่มองค์กรภาคประชาสังคมกัมพูชาออกมาเรียกร้องให้ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กดดันไทยยุติการรุกล้ำและการล้อมรั้วในดินแดนกัมพูชา เป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง สร้างความไม่เป็นธรรมแก่กัมพูชา และเพิ่มความตึงเครียดอย่างรุนแรง ซึ่งอาจนำไปสู่การปะทุของความขัดแย้งด้วยอาวุธอีกครั้ง
ทั้งหลายทั้งปวงจึงสะท้อนให้เห็นว่ากัมพูชา ยังขาดซึ่ง “ความจริงใจ” ในการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย – กัมพูชา อย่างแท้จริง ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดใจที่แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะมีข้อตกลงใด ๆ ร่วมกันก็ตาม ทางฝ่ายไทยยังไม่ไว้วางใจว่ากัมพูชาจะปฏิบัติตามข้อตกลงอยู่ดี
งานนี้ ทำเอาคะแนนนิยมและความไว้เนื้อเชื่อใจต่อพลเอก ณัฐพลที่เดิมทีก็ย่ำแย่อยู่แล้ว ติดลบหนักไปกว่าเก่า แถมเกิดคำถามกับรัฐบาลนายอนุทินด้วยว่า จริงใจกับการเลิก MOU 2543 2544 แค่ไหน หรือเป็นแค่ “การละคร” เพื่อเรียกคะแนนนิยมเท่านั้น ยิ่งเมื่อลงลึกไปที่รายชื่อรัฐมนตรีก็ยิ่งเห็นความเชื่อมโยงกับ “ลุง” อย่างไม่อาจมองข้ามได้ เพราะนอกจาก “บิ๊กเล็ก” แล้ว ยังมี “เสี่ยแด๊ก-ธนกร วังบุญคงชนะ” อีกหนึ่งลูกรักลุง ที่มารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และอาจจะนับรวม “เสี่ยเฮ้ง-สุชาติ ชมกลิ่น” ที่มีชื่อเป็นรองนายกรัฐมนตรี ควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ไม่มีรู้ว่า นี่จะเป็นดีลฉบับใหม่ที่เรียกว่า “ดีลราชสีห์กับหนู” หรือไม่ อย่างไร
ไม่เพียงเท่านั้น ก่อนหน้านี้ ยังเกิดกรณีกับ “เดอะโด่ง-อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์” ว่าที่รัฐมนตรีพลังงาน เพราะเจ้าตัวเคยไปพูดในงานสัมมนาด้านพลังงานประจำปี ระดับประเทศ “THAILAND ENERGY EXECUTIVE FORUM” ช่วงเสวนาเรื่อง “ทิศทางพลังงานไทยปี 2567” ถึงกรณีข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชาว่า ในมุมของเขาว่า ในมุมของเขาว่า ปตท. มีโมเดลให้ศึกษาเป็นตัวอย่างได้ เช่น พื้นที่ไทย-มาเลเซีย ซึ่งเรื่องการแบ่งดินแดนนั้น ไม่น่าจะสรุปได้ เพราะว่า การแบ่งพื้นที่แม้แต่ตารางนิ้วเดียว ก็ต้องมีปัญหา แต่หากมาหารือกันแค่เรื่องของวัตถุดิบที่อยู่ใต้ดิน ก็น่าจะเป็นเรื่องที่หารือกันได้ไม่ยาก ว่าจะมาแบ่งกันอย่างไร เพราะประเทศไทยมีท่อก๊าซ และโครงสร้างพื้นฐานใกล้ๆ พื้นที่ทับซ้อนอยู่แล้ว การที่จะขุดเจาะและนำขึ้นมาใช้ก็ง่าย และหากจะมีการส่งไปยังกัมพูชา ก็สะดวกเช่นกัน
“โมเดลที่จะนำวัตถุดิบขึ้นมาใช้ รวมถึงพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และให้กัมพูชามาลงทุนกับไทยได้ เพื่อแบ่งส่วนแบ่ง 50% ที่จะเป็นของกัมพูชาไปก็ได้ โดยต้องยอมรับว่าโมเดลทางด้านธุรกิจนั้น ไม่ยากเลย แต่ทางด้านการเมือง ก็ยังน่าเห็นใจ พูดตรงๆ เลยว่าที่มีปัญหากัมพูชาไม่น่าจะมี มีแต่ในประเทศไทยนี่แหละที่มีการพูดเรื่องนี้ตลอด เดี๋ยวก็หาว่าขายชาติบ้าง ซึ่งน่าจะต้องลดในส่วนดังกล่าวนี้ เพื่อให้เกิดข้อสรุป จะได้ไม่เกิดปัญหา”
วิสัยทัศน์ของ “อรรถพล” ในเรื่องนี้ ไม่ต่างจาก “ทักษิณ ชินวัตร” คือจะเก็บเรื่องดินแดน เรื่องอธิปไตยของชาติ ใส่ลิ้นชักไว้ก่อน แล้วมาพูดถึงเรื่องผลประโยชน์อย่างเดียว
ทั้งนี้ หลังมีการเผยแพร่ออกไป ทำให้เจ้าตัวถึงกับเต้นเป็นเจ้าเข้า และก็ได้ออกมายืนยันอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า สิ่งที่ตนเองเคยนำเสนอในขณะนั้น เป็นการนำเสนอภายใต้บริบทที่ทั้งสองประเทศจะต้องไม่มีข้อขัดแย้งในเรื่องการแบ่งดินแดนหรือข้อพิพาทด้านเขตแดน ปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดี ปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชายังตกลงกันไม่ได้ ยังมีปัญหาในเรื่องการแบ่งดินแดนกันอยู่ และตามที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กล่าวไว้ว่า เราจะไม่ยอมเสียดินแดนแม้แต่ตารางเซนติเมตรเดียว ดังนั้น การบริหารจัดการด้านพลังงานจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ โดยต้องรอให้ฝ่ายความมั่นคง ทางกระทรวงการต่างประเทศจัดการปัญหาเรื่องเขตแดนให้ได้ข้อยุติก่อนจึงจะมีการบริหารจัดการด้านพลังงานได้
ถึงตรงนี้ ต้องบอกว่า สังคมกำลังเรียกร้องให้รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูลประกาศนโยบายในเรื่องชายแดนไทย-กัมพูชาออกมาให้ชัดเจนว่าจะทำอะไร 1 2 3 นับจากนี้ โดยเฉพาะการยกเลิก MOU 2543 2544 ที่ประชาชนคนไทยถามดัง ๆ ว่า จะไหม และจะทำกี่โมง?