xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

วิวัฒนาการระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญของสวีเดน (52): “สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ค.ศ. 1680” การสถาปนาอำนาจนำของราชาธิปไตย (the Primacy of Monarchy)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


มหาวิหารอุปซาลาซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ของคริสตจักรแห่งสวีเดน (ภาพ : วิกิพีเดีย)
คนแคระบนบ่ายักษ์
ไชยันต์ ไชยพร

ในตอนก่อนๆ ผู้เขียนได้กล่าวถึงกรอบแนวคิดในการทำความเข้าใจ “สมบูรณาญาสิทธิราชย์สวีเดน” และเค้าโครงของประวัติศาสตร์ของกฎหมายในฐานะที่เป็นกรอบกติกาการปกครองหรือ “รัฐธรรมนูญ” รวมทั้งโครงสร้างทางสังคมของสวีเดนก่อนการสถาปนาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในช่วง ค.ศ. 1680 ไปบางส่วน รวมทั้งคำอธิบายการกำเนิดสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของสวีเดน ค.ศ. 1680 รวมถึงการปรับปรุงกลไกและระบบราชการที่บริหารปกครองราชอาณาจักรสวีเดน ในตอนนี้จะกล่าวถึงการประเมินระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในรัชสมัยพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดในภาพรวม
 
การประเมินพัฒนาการทางการเมืองของสวีเดนในรัชสมัยพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดที่มุ่งสถาปนาและวางรากฐานของระบบพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับผู้อ่านในศตวรรษที่ 21 ด้วยคำถามที่ว่า เพราะเหตุใดสังคมอย่างสังคมสวีเดนในยุคสมัยใหม่ตอนต้นถึงยอมสละนิติธรรม ละทิ้งธรรมเนียมปฏิบัติในการปกครองตนเอง และยอมรับระบอบพระมหากษัตริย์อำนาจนิยมและสมบูรณาญาสิทธิราชย์โดยไม่มีการต่อต้านอย่างจริงจัง ?


ในสายตาของคนสมัยใหม่ย่อมมองว่าพัฒนาการดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะพระมหากษัตริย์และเหล่าผู้สนับสนุนใช้อำนาจและการบีบบังคับต่อสังคมสวีเดนในการสถาปนาระบอบการปกครองดังกล่าว และใช้กำลังความรุนแรงในการปิดปากผู้เห็นต่างทั้งหมด แต่ถึงแม้เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าประชาชนทั่วยุโรปรวมถึงในสวีเดนในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ไม่ได้มีสิทธิในการแสดงออกซึ่งข้อวิพากษ์วิจารณ์และอยู่ภายใต้การตรวจสอบควบคุมปิดกั้น (censorship) จากรัฐ กระนั้น การข่มขู่คุกคามผู้วิพากษ์วิจารณ์รัฐเป็นคน ๆ ที่เกิดขึ้นนั้นยังไม่สามารถอธิบายกรณีสวีเดนได้ โดยเฉพาะกรณีฐานันดรอภิชนที่มีสิทธิและเสรีภาพตามกฎหมายแต่กลับยินยอมให้สถาบันพระมหากษัตริย์ลดทอนสถานะของตนและริบทรัพย์สินของเหล่าอภิชนรวมกันไปได้เกือบครึ่งหนึ่ง หรือการที่ฐานันดรสามัญชนรวมกันสนับสนุนการพัฒนาองค์กรและกลไกของรัฐที่นำมาซึ่งการเก็บภาษีและการบั่นทอนสิทธิเสรีภาพที่มีอยู่ตามธรรมเนียมการปกครองโบราณ

ทั้งนี้ กล่าวได้ว่าการใช้กำลังความรุนแรงในการบีบบังคับผู้คนมีส่วนในการสถาปนาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อย่างเช่น นโยบายต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายใต้สมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยเฉพาะในทางศาสนาที่ให้ออกมาเพื่อให้กลไกรัฐเข้าไปควบคุมความประพฤติของเยาวชนให้อยู่ภายใต้กรอบทางศีลธรรมอย่างกว้างขวางย่อมจะกระทบต่อเสรีภาพดั้งเดิมของผู้คนในสังคม

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของ นักศึกษามหาวิทยาลัยอุปซาลา (Uppsala) ที่มักจะมีพฤติกรรมปกติคือ เมาสุราในตอนค่ำและทะเลาะวิวาทก่อความวุ่นวายตามท้องถนนในเมือง ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ในสังคมสวีเดนภายใต้รัชสมัยพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจากทางรัฐบาลก็คือ จะมีหนังสือไปยังอธิการบดีมหาวิทยาลัย (Chancellor) กำหนดให้อธิการบดีออกกฎลงโทษห้ามไม่ให้นักศึกษาที่มีความประพฤติดังกล่าวออกไปใช้ชีวิตในช่วงเวลาที่กำหนดห้ามไว้ตลอดทั้งปี

หากนักศึกษาผู้ใดละเมิดกฎห้ามออกนอกสถานที่ในช่วงเวลาที่ห้ามจะต้องถูกขับในห้องขังในปราสาท โดยมีอาหารเพียงขนมปังและน้ำดื่มเท่านั้น และหากไม่สามารถบังคับใช้กฎนี้ได้ พระมหากษัตริย์จะทรงส่งทหารรักษาพระองค์ออกตระเวนตามท้องถนนและมีการประกาศกฎอัยการศึก และจะมีการลงโทษนักศึกษาโดยตัดเงินค่าใช้จ่ายที่รัฐบาลให้แก่นักศึกษา ดังนั้น ในกรณีของนักศึกษาจะต้องได้รับการลงโทษอย่างจริงจังจากรัฐบาลไม่ต่างจากคนกลุ่มอื่นๆในสังคมที่ไม่อยู่ในระเบียบ

อย่างไรก็ดี ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าวนี้คือ สวีเดนมีนักโทษทางการเมืองเพียงไม่กี่คน ทั้งยังไม่มีการประหารชีวิตบุคคลที่ต่อต้านระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เลย ด้วยเหตุนี้ การทำความเข้าใจพัฒนาการทางการเมืองของสวีเดน จึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจโลกทัศน์และเงื่อนไขทางการเมืองของสังคมสวีเดนในภาพรวมดังต่อไปนี้
 
ในมุมของคริสต์ศาสนา จะเห็นได้ว่า อารยธรรมตะวันตกในยุคสมัยตอนต้นนั้นตั้งอยู่บนวัฒนธรรมและคุณค่าของคริสต์ศาสนา ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่ามีเนื้อหาแบบอำนาจนิยมและกดขี่จากความเชื่อที่ว่ามนุษย์มีบาปโดยกำเนิด และย่อมกระทำความชั่วต่อกันและกันจนนำไปสู่สภาวะอนาธิปไตย ทางออกเดียวคือโครงสร้างการปกครองแบบอำนาจนิยมที่ได้รับการสนับสนุนจากพระผู้เป็นเจ้า กษัตริย์และบรรดาผู้ปกครองได้รับอาณัติจากพระผู้เป็นเจ้าให้ปกครองเหนือมนุษย์โดยใช้กำลังและการบีบบังคับตามความจำเป็น การศึกษาในสวีเดนที่ดำเนินการโดยฐานันดรนักบวชได้เผยแพร่อุดมการณ์ความเชื่อดังกล่าวและปลูกฝังให้ประชาชนจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ในฐานะตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้าในโลกมนุษย์ผ่านคำเทศน์และผ่านการวิสัชนาที่สรุปออกมาเป็นกฎง่าย ๆที่เรียกว่าhustavlan ที่ทุกคนต้องจำได้ให้ ฉะนั้น นอกจากการไม่จงรักภักดีจะนำมาซึ่งความไม่ปลอดภัยในโลกมนุษย์แล้ว ยังหมายถึงการถูกลงโทษในโลกหน้าอีกด้วย
 
นักบวชในสวีเดนส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาและฝึกฝนด้วยหนังสือเรียนหลักเล่มเดียว นั่นคือ Loci theologici  โดยนักวิชาการในนิกายลูเธอรันชาวเยอรมันที่ชื่อว่า Haffenreffer แม้ว่าเขาจะทราบดีว่าระบอบพระมหากษัตริย์ไม่ได้เป็นระบอบการเมืองชนิดเดียว แต่ยังมีทางเลือกอื่น ๆ ตามการแบ่งประเภทของอริสโตเติล แต่ Haffenreffer สรุปเอาเองว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงโปรดระบอบการปกครองแบบพระมหากษัตริย์มากที่สุด และมองว่าทุกระบอบการปกครองมีองค์ประกอบเพียงผู้ปกครองและผู้ใต้ปกครองเท่านั้น เหล่านักบวชสวีเดนได้สมาธานแนวคิดแบบเทวสิทธิ์ตามที่ระบุไว้ หนังสือเล่มดังกล่าวของอัครสังฆราช Svebilius ที่กล่าวว่า แม้แต่ทรราชก็ถูกส่งมาโดยพระผู้เป็นเจ้าเพื่อลงโทษความชั่วร้ายในโลกมนุษย์ ฉะนั้น พันธะหน้าที่ในการจงรักภักดีของประชาชนต่อผู้ปกครองจึงไร้ข้อจำกัด
 
ขณะเดียวกัน ประชาชนส่วนใหญ่ของสวีเดนไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลและมุมมองวิธีคิดแบบอื่นที่ขัดแย้งกับแนวคิดคริสต์ศาสนาและเทวสิทธิ์ที่พวก Loci theologici เขาได้รับการกล่อมเกลามาตลอดชั่วชีวิต มีแต่กลุ่มชนชั้นนำเท่านั้นที่รับรู้วิธีคิดใหม่ ๆ อย่างแนวคิดสัญญาประชาคมจากต่างชาติ แต่ก็มองว่าแนวคิดดังกล่าวย่อมผิดพลาดเพราะประชาชนไม่ได้มีอำนาจหรือสิทธิในตนเองที่จะมอบให้แก่ผู้ปกครอง ดังนั้น ชาวบ้านคนธรรมดาจึงไม่สามารถเข้าถึงแนวคิดเช่นนั้นได้เลย ชาวบ้านเหล่านี้มีวัฒนธรรมบอกเล่าเป็นของตนเอง ซึ่งมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการต่อสู้กับผู้ปกครองที่กดขี่อยู่บ้าง แต่หากไม่ใช่ผู้ปกครองต่างชาติ ก็หมายถึงเหล่าอภิชนที่ขัดขวางพระราชกรณียกิจหรือปิดบังความผิดของตนต่อพระมหากษัตริย์ ฉะนั้น ความเชื่อส่วนใหญ่ของประชาชนในสวีเดนจะเป็นความเชื่อมั่นและความศรัทธาในสถาบันพระมหากษัตริย์ และความระแวงและความเกลียดชังต่อเจ้าที่ดินและเหล่าอภิชน

นอกจากนี้ ยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ยังมีเงื่อนไขทางประสบการณ์ประวัติศาสตร์ที่สนับสนุนการปกครองแบบอำนาจนิยม นั่นคือ ความสั่นสะเทือนที่เกิดจากการปฏิรูปศาสนาและการล่มสลายของการเป็นศาสนจักรสากลภายใต้ศาสนจักรคาธอลิกเพียงแห่งเดียว ความชอบธรรมแห่งเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ในโลกมนุษย์จึงอยู่ที่พระมหากษัตริย์ภายใต้โองการของพระผู้เป็นเจ้า

ฉะนั้น ในสวีเดน คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่นำโดยเหล่าอภิชนชั้นสูงจึงไม่มีความพยายามที่จะขยายอำนาจของตนด้วยการลดทอนพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ และหากมีความเชื่อว่าเกิดการจำกัดพระราชอำนาจดังปี ค.ศ.1660 เหล่าฐานันดรที่เหลือทั้งหมดก็พร้อมที่จะตรวจสอบและจำกัดอำนาจบริหารของคณะผู้สำเร็จราชการ หรือเมื่ออภิชนชั้นสูงกลุ่มหนึ่งพยายามจะจำกัดพระราชอำนาจในปี ค.ศ.1672 ก็ถูกขัดขวางโดยเหล่าฐานันดรทั้งอภิชนเองและฐานันดรอื่นๆ แต่ในทางตรงข้าม ที่ประชุมสภาฐานันดรก็พร้อมที่จะสนับสนุนและขยายขอบเขตของอำนาจบริหารภายใต้พระมหากษัตริย์ในเวลาต่อมา
(โปรดติดตามตอนต่อไป)


กำลังโหลดความคิดเห็น