xs
xsm
sm
md
lg

พรรคเพื่อไทย ความตกต่ำ การสร้างวีรบุรุษเทียม และอนาคตที่ไม่แน่นอน / Phichai Ratnatilaka Na Bhuket

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"

 หากใครเคยคิดว่าพรรคการเมืองใดจะคงความยิ่งใหญ่ไปตลอดกาล การสลายตัวของพรรคเพื่อไทยในช่วงสองปีที่ผ่านมาคงเป็นบทเรียนที่สำคัญ จากพรรคที่เคยครองความนิยมสูงสุดมากกว่า 2 ทศวรรษ ไม่เคยแพ้เลือกตั้งสักครั้ง กลับกลายเป็นพรรคที่กำลังเผชิญวิกฤตอัตลักษณ์และความน่าเชื่อถือที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์


เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ประวัติศาสตร์การเมืองไทยได้เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล พรรคเพื่อไทยที่เคยมีสถิติ “ไม่เคยแพ้เลือกตั้ง" ในรอบ 22 ปี ได้เพียง 141 ที่นั่ง เป็นอันดับสองรองจากพรรคก้าวไกลที่ได้ 151 ที่นั่ง

 ทักษิณ ชินวัตร ผู้นำเบื้องหลังของพรรค วิเคราะห์ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ว่าเกิดจาก "ดิสรับต์" หรือการถูกรบกวนจากพรรคก้าวไกลที่สามารถดึงดูดคนรุ่นใหม่ด้วยนโยบายปฏิรูปและประเด็นประชาธิปไตย ความจริงที่ขมขื่นคือ พรรคเพื่อไทยล้มเหลวในการปรับตัวให้เข้ากับผู้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นใหม่ที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างมากกว่านโยบายประชานิยม

หากการแพ้เลือกตั้งเป็นเพียงจุดเริ่มต้น การตัดสินใจในช่วงกรกฎาคม-สิงหาคม 2566 กลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่แท้จริง พรรคเพื่อไทยเลือกที่จะแยกทางจากพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิม อันได้แก่พรรคก้าวไกลที่เป็นพันธมิตรในการต่อต้านรัฐบาลพลังประชารัฐ แล้วหันไปจับมือกับพรรคอนุรักษ์นิยม อย่างพลังประชารัฐและรวมไทยสร้างชาติ

การตัดสินใจนี้ขัดกับคำมั่นสัญญาหาเสียง "ไม่จับมือกับลุง" อย่างเปิดเผย ส่งผลให้ฐานเสียงเสื้อแดงและผู้สนับสนุนประชาธิปไตยที่เคยเชื่อมั่นในพรรครู้สึกถูกทรยศ นี่คือจุดเริ่มต้นของ "การประนีประนอมครั้งใหญ่" ที่ทำให้พรรคสูญเสียความน่าเชื่อถือและอัตลักษณ์ที่สำคัญ เสียงประท้วงและการวิจารณ์เริ่มดังขึ้น ขณะที่ความแตกแยกภายในเริ่มปรากฏชัด ฐานเสียงหลักในภาคเหนือและอีสานที่เคยเป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่งเริ่มสั่นคลอน

 เศรษฐา ทวีสิน ที่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีจากการจับมือครั้งนี้ กลับไม่สามารถฟื้นฟูความน่าเชื่อถือให้กับพรรคได้ ตลอดช่วงสิงหาคม 2566 ถึงปี 2567 รัฐบาลของเขาเผชิญปัญหาการดำเนินนโยบายที่ล่าช้า โดยเฉพาะโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากธนาคารแห่งประเทศไทยและนักวิชาการ

ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังคงถดถอย หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง และราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ รัฐบาลเพื่อไทยกลับดูเหมือนไม่มีแนวทางที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหา นโยบายประชานิยมแบบเก่าที่เคยเป็นอาวุธลับไม่อาจตอบโจทย์เศรษฐกิจที่ซับซ้อนขึ้น

ความนิยมของพรรคเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง ผู้คนเริ่มตั้งคำถามว่าพรรคที่เคยสัญญาว่าจะนำไทยไปสู่ความเจริญ กลับทำอะไรไม่ได้เมื่อได้โอกาสบริหารประเทศ

แต่หากคิดว่าปัญหาจะค่อยๆ คลี่คลายไปตามกาลเวลา เหตุการณ์ในเดือนสิงหาคม 2567 ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าวิกฤตยังไกลจากการสิ้นสุด ศาลรัฐธรรมนูญสั่งถอดเศรษฐาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากแต่งตั้งรัฐมนตรีที่มีประวัติคดีอาญา

เหตุการณ์นี้ไม่เพียงสะท้อนปัญหาจริยธรรมและการบริหารภายในพรรค แต่ยังเปิดโอกาสให้แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวของทักษิณ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ การแต่งตั้งนี้กลับทำให้พรรคถูกวิจารณ์เรื่อง "ระบอบชินวัตร" และการสืบทอดอำนาจแบบครอบครัวมากขึ้น

วิกฤตที่แท้จริงมาถึงในช่วงมิถุนายน-กันยายน 2568 เมื่อเทปบันทึกการสนทนาระหว่างแพทองธารกับฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เรื่องข้อพิพาทชายแดนรั่วไหลออกมา เทปนี้จุดประกายกระแสชาตินิยมที่รุนแรง และนำไปสู่การที่พรรคภูมิใจไทยถอนตัวจากรัฐบาล

 วิกฤตลุกลามไปอย่างรวดเร็ว เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ศาลรัฐธรรมนูญสั่งถอดแพทองธารออกจากตำแหน่ง และในที่สุดอนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทยก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ พรรคเพื่อไทยสูญเสียอำนาจบริหารไปอย่างสิ้นเชิง

สถานการณ์ในเดือนกันยายน 2568 สะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอของพรรคอย่างชัดเจน ความนิยมของแพทองธารลดลงเหลือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อไทยหลายคนเริ่มลาออก โดยเฉพาะศักดา วิเชียรศิลป์ ที่ออกมาวิจารณ์รัฐบาลล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประชาชน

ขณะเดียวกัน ทักษิณเผชิญคดีใหม่เรื่องการอยู่โรงพยาบาลแทนการติดคุก และในที่สุดศาลก็ตัดสินให้เขากลับเข้าคุกอีก 1 ปี เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 เหตุการณ์นี้เป็นสัญญาณที่ชัดเจนของการสูญเสียอิทธิพลของ "ผู้นำเงา" ที่เคยเป็นแกนหลักของพรรค

กลุ่ม "งูเห่า" หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มักย้ายพรรคตามโอกาสทางการเมือง เริ่มไหลออกจากพรรคอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะใน 9 คนที่ย้ายไปสนับสนุนรัฐบาลพรรคภูมิใจไทย ฐานเสียงในภาคอีสานและเหนือที่เคยเป็นจุดแข็งเริ่มสั่นคลอน

การวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันชี้ให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยกำลังเผชิญ "ความถดถอยต่อเนื่องสู่จุดต่ำสุด" หากเลือกตั้งใหม่เกิดขึ้นตามที่คาดการณ์ภายในสิ้นปี 2568 พรรคอาจสูญเสียที่นั่งจาก 141 คนเหลือน้อยกว่า 100 คน หรือในสถานการณ์เลวร้ายที่สุดอาจเหลือเพียง 50 คน

ปัจจัยหลักที่กำหนดแนวโน้มนี้คือการสูญเสียสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกพรรคอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มที่มีฐานเสียงแข็งแกร่งในท้องถิ่น ซึ่งมักคำนึงถึงโอกาสชนะ ทรัพยากรในการหาเสียง และโอกาสเป็นรัฐบาล กระแสชาตินิยมจากเหตุการณ์เทปหลุดยังคงส่งผลกระทบ โดยเฉพาะในภาคอีสานใต้ที่มีพื้นที่ติดกับกัมพูชา

 อย่างไรก็ตาม แพทองธารยังคงยืนยันที่จะนำพรรคต่อไป โดยวางแผนปรับโครงสร้างภายในพรรค หาผู้สมัครครบ 400 เขต และร่างนโยบายใหม่ภายในกลางเดือนตุลาคม 2568 และที่สำคัญคือมีความพยายามในการปั่นกระแสเชิงกลยุทธ์ให้ทักษิณ ชินวัตรกลายเป็น “วีรบุรุษ” เพื่อเรียกคะแนนเห็นใจ และฟื้นกระแสนิยมของพรรคกลับคืนมา




เมื่อทักษิณ ชินวัตร ในชุดนักโทษถูกนำตัวเข้าสู่เรือนจำ เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 เพื่อรับโทษจำคุก 1 ปี ในคดีรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจโดยมิชอบ ภาพนี้กลับกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการปั่นกระแสที่อาจจะเป็นการบิดเบือนความเป็นจริงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ภายในไม่กี่ชั่วโมง นักโทษผู้หนึ่งได้กลายเป็น "วีรบุรุษ" "นักสู้ประชาธิปไตย" และ "ผู้เสียสละเพื่อชาติ" ในสายตาของผู้สนับสนุน ผ่านเครื่องจักรประชาสัมพันธ์ที่ได้รับการออกแบบมาอย่างประณีตและมีประสิทธิภาพน่าสะพรึงกลัว

การเปลี่ยนแปลงจากผู้กระทำผิดสู่วีรบุรุษในหนึ่งคืนนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลผลิตของเครื่องจักรการสื่อสารที่ได้รับการวางแผนมาอย่างระมัดระวัง เริ่มต้นจากพินทองทา ชินวัตร ลูกสาวคนเล็ก ที่โพสต์ยกย่องพ่อว่าเป็น "วีรบุรุษที่สุดยอดในใจ" ด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเศร้าโศกและความภาคภูมิใจ ตามด้วยภูมิธรรม เวชยชัย นายกรัฐมนตรีรักษาการ ที่ออกมาเรียกทักษิณว่า "วีรบุรุษประชาธิปไตย" โดยไม่คำนึงถึงการเปรียบเทียบนักโทษกับผู้ที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือความรวดเร็วที่เครื่องจักรสื่อสารนี้สามารถเปลี่ยนแปลงการรับรู้ของสาธารณชน ภายในชั่วโมงเดียวกัน สื่อสังคมออนไลน์เต็มไปด้วยข้อความอย่าง "กักขังคนที่ถูกรัก จะยิ่งกักเขาในใจผู้คนตลอดไป" และ "นักสู้ที่แท้จริง" ซึ่งถูกแชร์และเผยแพร่ด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงกลัว การที่ข้อความเหล่านี้ปรากฏขึ้นพร้อมกันในหลายแพลตฟอร์มและจากหลายบัญชีที่แตกต่างกัน ชี้ให้เห็นถึงการประสานงานที่มีประสิทธิภาพซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้หากไม่ได้รับการวางแผนล่วงหน้า

การปั่นกระแสครั้งนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ครั้งแรก แต่เป็นการดำเนินต่อจากกลยุทธ์ที่ได้รับการพัฒนาและปรับปรุงมาตั้งแต่หลังรัฐประหาร 2549 ตลอดระยะเวลา 17 ปีของการลี้ภัย ทักษิณและทีมงานได้สร้างเรื่องเล่าที่ระบุตัวเขาเป็น "เหยื่อของระบบ" "ผู้ถูกกลั่นแกล้งจากอำนาจรัฐนอกระบบ" และ "นักสู้ประชาธิปไตยที่ถูกเนรเทศ" การเล่าเรื่องนี้ได้รับการทำซ้ำจนกลายเป็น "ความจริง" ในสายตาของผู้สนับสนุน แม้ว่าจะขาดหลักฐานที่เชื่อถือได้หรือแม้แต่ตรรกะเบื้องต้น

 ความอันตรายของการสร้างวีรบุรุษแบบนี้อยู่ที่การบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างเป็นระบบ การยกย่องทักษิณเป็นวีรบุรุษต้องการให้เราลืมหรือละเลยข้อกล่าวหาทุจริตที่ร้ายแรงหลายประการ รวมถึงการขายหุ้นชินคอร์ปโดยไม่เสียภาษี การใช้อำนาจในตำแหน่งเอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจของตัวเองและครอบครัว และล่าสุดการถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องความจงรักภักดีต่อชาติจากเหตุการณ์เทปบันทึกการสนทนากับฮุนเซนเกี่ยวกับข้อพิพาทชายแดน เครื่องจักรสร้างวีรบุรุษพยายามนำเสนอให้เราเห็นเฉพาะ "ผลงาน" อย่างนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค โดยไม่กล่าวถึงต้นทุนที่แท้จริงของนโยบายเหล่านี้ทั้งในเชิงการเงินและการสร้างระบบอุปถัมภ์ที่เป็นอันตรายต่อประชาธิปไตย

สิ่งที่น่าวิตกยิ่งกว่าคือการที่เครื่องจักรนี้สามารถปรับเปลี่ยนเรื่องเล่าได้อย่างคล่องแคล่วตามสถานการณ์ เมื่อทักษิณต้องการความช่วยเหลือ เขาก็กลายเป็น "ผู้ที่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ" และ "ข้าราชการที่ดี" ทิ้งภาพลักษณ์ "นักต่อสู้กับอำมาตย์" ที่เคยใช้ในอดีต การเปลี่ยนแปลงหน้าที่รวดเร็วอย่างขาดจิตสำนึกนี้แสดงให้เห็นถึงความไม่จริงใจและการขาดหลักการที่ยึดถือ นอกจากการรักษาอำนาจและผลประโยชน์ส่วนตัว

การสร้างโมฆบุรุษยังส่งผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อสังคมไทย ด้วยการเพิ่มความแตกแยกและสร้าง "ห้องสะท้อนเสียง" ที่แต่ละฝ่ายอาศัยอยู่ในโลกความเป็นจริงที่แตกต่างกันสิ้นเชิง ผู้สนับสนุนถูกป้อนด้วยข้อมูลที่ผ่านการคัดกรองและปรับแต่งแล้ว จนไม่สามารถมองเห็นข้อบกพร่องหรือความผิดพลาดของผู้นำที่พวกเขาเคารพนับถือ ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามก็มีปฏิกิริยาในทิศทางตรงกันข้ามจนเกินควร การไม่มีพื้นที่กลางสำหรับการอภิปรายอย่างมีเหตุผลนี้เป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตยที่ต้องอาศัยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและการประนีประนอมอย่างสันติ

ผลกระทบที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งคือการที่คนรุ่นใหม่เริ่มเบื่อหน่ายและหันหลังให้กับการเมืองไทย เมื่อพวกเขาเห็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ไร้สาระและการบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างเปิดเผย พวกเขามองเห็นการเมืองไทยเป็นเพียงละครที่ขาดสาระสำคัญ ไม่ตอบโจทย์ปัญหาจริงของประเทศ และเต็มไปด้วยการเล่นเกมเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว การสูญเสียความเชื่อมั่นจากคนรุ่นใหม่นี้อาจเป็นความเสียหายที่ยาวนานและรุนแรงที่สุดจากการสร้างโมฆบุรุษ

ในท้ายที่สุด การปั่นกระแสสร้างวีรบุรุษทักษิณคือการดูหมิ่นสติปัญญาของประชาชนไทย และการทำลายรากฐานของระบอบประชาธิปไตยที่ต้องอาศัยข้อมูลที่ถูกต้องและการอภิปรายอย่างมีเหตุผล การที่นักการเมืองสามารถเปลี่ยนจากผู้กระทำผิดเป็นวีรบุรุษได้ในหนึ่งคืน แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของสังคมไทยต่อการบิดเบือนข้อมูลและการจัดการความรับรู้ หากเราไม่หยุดยั้งและต่อต้านการสร้างวีรบุรุษเทียมแบบนี้ อนาคตของประชาธิปไตยไทยอาจตกอยู่ในมือของผู้ที่เก่งในการเล่าเรื่องมากกว่าผู้ที่สามารถแก้ปัญหาจริงของประเทศได้

เรื่องราวของพรรคเพื่อไทยในช่วงสองปีที่ผ่านมาเป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ไม่มีพรรคการเมืองใดที่จะคงความยิ่งใหญ่ไปตลอดกาลหากไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสังคมที่เปลี่ยนแปลง การขาดวิสัยทัศน์ในการปฏิรูป การยึดติดกับอดีตความสำเร็จ และการตัดสินใจที่ขัดกับค่านิยมหลักของพรรค ล้วนนำไปสู่ความถดถอยที่เราเห็นในวันนี้

 อนาคตของพรรคเพื่อไทยยังไม่ได้ถูกกำหนดขาด หากสามารถเรียนรู้จากความผิดพลาดและปรับตัวอย่างจริงจัง ยังมีโอกาสกลับมาเป็นพลังสำคัญในการเมืองไทย แต่หากยังคงยึดติดกับแนวทางเก่า อาจต้องเผชิญกับการเป็นเพียงเศษเสี้ยวของอดีตความยิ่งใหญ่ ในยุคใหม่ของการเมืองไทยที่ไม่ได้พึ่งพิงพรรคใหญ่เพียงพรรคเดียวอีกต่อไป


กำลังโหลดความคิดเห็น