ไร้ความยุติธรรม, ไร้ความเหมาะสมถูกต้อง และไร้เหตุผลสิ้นเชิง (Unfair, Unjustified and Unreasonable) เป็น 3 คำตอบโต้อย่างแข็งกร้าวจากรัฐบาลอินเดีย ภายใต้การนำของนเรนทรา โมดี-ตำหนิการลงโทษจากปธน.ทรัมป์ ที่อินเดียยังดื้อด้านสั่งซื้อน้ำมันดิบและแก๊สธรรมชาติจากรัสเซีย โดยทรัมป์ได้ลงโทษชั้นรอง (Secondary Tariffs) แก่อินเดีย สำหรับสินค้าอินเดียที่จะนำมาขายในสหรัฐฯ จะถูกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่ม (จากเดิมที่ 25%) อีก 25%...รวมเป็น 50% ซึ่งจะทำให้สินค้าจากอินเดีย เช่น เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม, อัญมณี, เครื่องประดับ ฯลฯ แทบจะขายไม่ได้ในสหรัฐฯ เมื่อเจอกำแพงภาษีนำเข้าสูงขนาดนั้น
แต่ตลาดสินค้าอินเดียไม่ใช่มีแค่สหรัฐฯ อินเดียยังมีตลาดใหญ่มากอยู่สหภาพยุโรป และอังกฤษ (ที่ไม่ได้อยู่ในสหภาพยุโรปอีกต่อไป) รวมถึงประเทศ G7 อื่นๆ ที่มั่งคั่ง และไม่รวมสหรัฐฯ เช่น แคนาดา และญี่ปุ่น
และยังมีตลาดใน BRICS+ อันจะมีประเทศมั่งคั่งเจ้าของบ่อน้ำมันในตะวันออกกลางที่เข้ามาร่วมกับ BRICS เมื่อต้นปีนี้เช่น UAE
และยังมีตลาดสดใหม่ใน SCO+ ที่อยู่ในเอเชียกลางและยูเรเซีย ที่มั่งคั่งด้วยน้ำมันและแร่ธาตุ (ชนิดหายากด้วย) มหาศาล แต่ขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคที่อินเดียผลิตอยู่มากมาย
นี่เป็นเหตุผลที่อินเดียรีบไปร่วมประชุม SCO+ ซึ่งไม่เพียงจะเกาะกลุ่มกันแน่นกับประเทศในซีกโลกใต้-เพื่อถ่วงดุลกับขั้วตะวันตกที่นำโดยสหรัฐฯ-แต่เพื่อหาตลาดใหม่ให้แก่สินค้าจากอินเดียด้วย-รวมทั้งยังสามารถพึ่งพาน้ำมันและแร่ธาตุจากประเทศร่วม SCO+ ได้อีกด้วย
ขณะเดียวกัน อินเดียก็จะใช้ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ SCO+ เพื่อไว้ต่อรองกับสหรัฐฯ ในการเจรจารายละเอียดด้านภาษีการค้ากับสหรัฐฯ ที่ยังคงดำเนินอยู่ต่อไป
เช่นเดียวกับการที่นายกฯ โมดี ตั้งใจแวะญี่ปุ่น-ในการเดินทาง-ก่อนจะไปถึงการประชุม SCO+ ที่เทียนจิน-ส่วนหนึ่งเพราะญี่ปุ่นอยู่ใน G7 และอยู่ใน QUAD ซึ่งญี่ปุ่นก็คือนายอำเภอของสหรัฐฯ (หลังจากญี่ปุ่นถูกปกครองโดยสหรัฐฯ เมื่อญี่ปุ่นยอมแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2) เพื่อหามิตรในบรรดาประเทศที่แนบแน่นกับสหรัฐฯ เพื่อแสดงว่าอินเดียมิได้โดดมาเป็นศัตรูของค่ายตะวันตกเต็มตัว
และยังได้ติดไม้ติดมือในความร่วมมือด้านเทคโนโลยีกับญี่ปุ่นในหลายด้าน รวมทั้งสัญญาจะส่งคนอินเดียไปช่วยทำงาน (ในโรงงานและไร่นา) ของญี่ปุ่นถึง 5 หมื่นคน เพราะญี่ปุ่นมีความขาดแคลนคนหนุ่มสาวเพราะเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์นั่นเอง...ขณะที่อินเดียยังมีคนว่างงานวัยฉกรรจ์อยู่จำนวนมาก
แม้ทรัมป์จะไม่พอใจรัฐบาลโมดีอย่างมาก ที่ยังซื้อพลังงานราคาถูกจากรัสเซีย (จ่ายเป็นรูปีหรือรูเบิลด้วยซ้ำ) ทำให้ท่อน้ำเลี้ยงสำหรับรัสเซียในการทำสงครามกับยูเครนยังอุดมสมบูรณ์-และทรัมป์ก็ยิ่งไม่พอใจมากขึ้นที่อินเดียนำน้ำมันที่ซื้อจากรัสเซีย แล้วนำมากลั่น-แล้วนำไปขายต่อยังสหภาพยุโรป (ที่มีนโยบายตามคำสั่งของสหรัฐฯ-ไม่ให้ซื้อพลังงานจากรัสเซีย)-ซึ่งจะทำให้ยุโรปซื้อพลังงานตรงจากสหรัฐฯ น้อยลงด้วยซ้ำ เพราะได้ซื้อจากอินเดียด้วยราคาที่ถูกกว่าซื้อจากสหรัฐฯ!!
อินเดียโอดครวญว่า ประชากรอินเดียยังยากจนที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง ดังนั้น เพื่อความอยู่รอดของชาวอินเดีย นายกฯ โมดีจึงต้องพึ่งพาพลังงานราคาถูกที่สุดที่จะหามาได้เพื่อความอยู่ดีกินดีของชาวอินเดีย จึงทำให้อินเดียจำเป็นต้องซื้อน้ำมันราคาถูกที่สุดจากรัสเซีย-ถึงกับย้อนคำพูดของทรัมป์ว่า-เพื่อ “MIGA” : Make India Great Again นั่นเอง
อินเดียพยายามอธิบายกับสหรัฐฯ ว่า ต้องซื้อพลังงานจากรัสเซีย ไม่ใช่เจาะจงจะซื้อจากรัสเซีย แต่เพราะมีราคาถูกสุดที่เขาจะหาซื้อได้
ล่าสุด เมื่อครบเวลา 2 อาทิตย์ที่ทรัมป์กดดันให้ปูตินต้องเจรจาสองต่อสองกับผู้นำยูเครนเพื่อการหยุดยิง และยังไม่มีวี่แววว่าปูตินจะมีนัดเจรจากับเซเลนสกี้แต่ประการใด-ซึ่งทำให้ทรัมป์ต้องเสียหน้าเพราะวาจาไม่ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป-และถ้าการสงบศึกหรือหยุดยิงไม่เกิดขึ้นที่ยูเครน-รางวัลโนเบลสันติภาพก็คงจะหลุดจากมือของทรัมป์ไปนั่นเอง!
ทรัมป์ได้ออกมากดดันให้ยุโรปต้องร่วมลงโทษทั้งอินเดียและจีนที่ยังคงซื้อพลังงานจากรัสเซีย ด้วยการขึ้นกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าจากอินเดียและจีนให้สูงถึง 100-200 เปอร์เซ็นต์ เพราะประเทศทั้งสองกำลังบ่ายหน้านำสินค้าของตนไหลเทเข้าที่ตลาดยุโรป-(แทนที่การส่งเข้าสหรัฐฯ)-เพราะที่ผ่านมาช่วงสงครามยูเครนนี้-ยุโรปตั้งกฎว่า สมาชิกของสหภาพยุโรปถ้าไปแอบซื้อพลังงานน้ำมันจากรัสเซีย (ในทะเลหลวง) จะห้ามจ่ายเกิน 60 เหรียญต่อบาร์เรล-ต่อมาลดลงเหลือแค่ 45 เหรียญ เพื่อสกัดรายได้ของรัสเซียจากการขายน้ำมัน
ซึ่งแรงกดดันล่าสุดของทรัมป์นี้ เพื่อตัดตอนท่อน้ำเลี้ยงสำหรับน้ำมันจากรัสเซียที่จะนำเงินมาเลี้ยงกองทัพของรัสเซียนั่นเอง
ทรัมป์จะทำได้สำเร็จหรือไม่คงต้องติดตามต่อไป