ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -คงไม่ผิดถ้าจะกล่าวว่า บัดนี้ ถนนสายการเมืองของ “ทักษิณ” และ “ชินวัตร” ใกล้เคียงกับคำว่าใกล้ถึง “จุดสิ้นสุด” หรือใกล้ “ล่มสลาย” เป็นที่เรียบร้อย
และไม่ใช่แค่ “ทักษิณ” เท่านั้น หากแต่ยังหมายรวมถึงพรรคการเมืองประจำตระกูลชินคือ “พรรคเพื่อไทย” ด้วย
นั่นหมายถึง สิ่งที่หลายคนใช้คำว่า “ระบบทักษิณ” นั้น “ไม่ฟังก์ชั่น” อีกต่อไป และบรรดาสารพัด “ดีล” ที่เคยมีมา ก็หมดอายุการใช้งานเช่นกัน เผลอๆ อาจฟันธงล่วงหน้าได้ด้วยซ้ำไปว่า คดีชั้น 14 ที่จะมาถึงในวันที่ 9 กันยายนนี้ผลจะออกมา “ไม่เป็นคุณ” กับทักษิณเสียด้วยซ้ำไป
โดยมาตรวัดความสิ้นสุดที่ชัดแจ้งเกิดขึ้นหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำพิพากษาให้ “แพทองธาร ชินวัตร” พ้นจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีจากคดีคลิปเสียงการสนทนากับ “ฮุน เซน” และ “เสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ประกาศเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาล ตามต่อด้วยการที่ “พรรคกล้าธรรม” ของ “ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า” และก๊วนของ “เสี่ยเฮ้ง-สุชาติ ชมกลิ่น” อีกหนึ่งขั้วการเมืองใน “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ประกาศเดินหน้าสนับสนุนให้นายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทย
และปิดเกมเมื่อ “พรรคประชาชน” ตัดสินใจยกมือโหวตนายอนุทินแลกกับ “เงื่อนไขสำคัญ 2 ประการคือ “ยุบสภาภายใน 4 เดือน” และ “แก้รัฐธรรมนูญ”
แถมเมื่อนายภูมิธรรม เวชชชัย ผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีตัดสินใจลุยไฟด้วยการทูลเกล้าฯ ร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภา ก็ถูกตีกลับจากสำนักงานองคมนตรีผู้มีหน้าที่กลั่นกรองกฎหมายด้วยเห็นว่า มีความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับอำนาจในการยุบสภาของนายภูมิธรรมว่า สามารถทำได้หรือไม่ แต่พรรคเพื่อไทยก็ดิ้นเฮือกสุดท้ายกับการเสนอให้พรรคประชาชนโหวตเลือกนายชัยเกษม นิติสิริเป็นนายกรัฐมนตรีแลกกับการยุบสภาทันที ไม่ต้องรอ 4 เดือน ทว่า ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก
นั่นหมายความว่า พรรคเพื่อไทยจะแปรสภาพไปเป็น “พรรคฝ่ายค้าน” ร่วมกับ “พรรคประชาชน” ที่ทำตัวหล่อด้วยการทำแค่ยกมือโหวตให้นายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ไม่ขอเข้าร่วมรัฐบาล
นั่นหมายความว่า พรรคเพื่อไทยหมดโอกาสที่จะพลิกฟื้นคะแนนนิยมที่เดิมที่ก็ตกต่ำอยู่แล้วไปโดยปริยาย พร้อมกับภาพจำของประชาชนคนไทยว่า ล้มเหลวในการบริหารประเทศในยามที่มีอำนาจ เพราะไม่สามารถผลักดันนโยบายที่เคยประกาศเอาไว้ตอนหาเสียงและแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแม้แต่เรื่องเดียว ไม่ว่าจะเป็นการแจกเงินหมื่นดิจิทัล การขึ้นค่าแรง 400 บาททั่วประเทศ รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย รวมถึงร่างกฎหมายกาสิโนที่พยายาผลักดันแต่ถูกค้านแบบสุดลิ่มทิ่มประตู
ภาพการประกาศด้วยน้ำเสียงระดับ 18 หลอดของ “แพทองธาร ชินวัตร” เมื่อตอนหาเสียงว่า “มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี” คงจะถูกนำมาล้อเลียนตราบชั่วลูกชั่วหลาน
อย่างไรก็ดี ต้องบอกว่า “จุดเปลี่ยน” ที่ไม่อาจมองข้ามได้ก็คือ การตัดสินใจหันหลังให้ทักษิณ ชินวัตรของ “ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า” อันนำมาซึ่งคำถามตามมาว่า เบื้องหน้าเบื้องหลังคืออะไร เพราะก่อนหน้านี้เป็นที่รับรู้ว่า ร้อยเอกธรรมนัสเป็นหนึ่งในเครือข่ายการเมืองที่ใกล้ชิดกับทักษิณ เคยถูกผลักดันให้มีบทบาทสำคัญ และยังได้รับการกล่าวถึงในฐานะรุ่นน้องร่วมกองทัพ ที่มีสายสัมพันธ์คนเหนือเหมือนกัน ต่อมาช่วงการเลือกตั้งปี 2562 แม้ร้อยเอก ธรรมนัสจะหันไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐ แต่ก็มีข่าวเล่าขานว่าทักษิณมีส่วนช่วยผลักดันให้ร้อยเอกธรรมนัสก้าวขึ้นนั่งเก้าอี้รัฐมนตรี สะท้อนความสัมพันธ์ที่ไม่เคยขาดสะบั้น กระทั่งสุดท้ายร้อยเอกธรรมนัสตัดสินตีจาก “ลุงป้อม-พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ” ไปตั้ง “พรรคกล้าธรรม” เพื่อสนับสนุนนายทักษิณในห้วงเวลาของความขัดแย้งอย่างหนักจนพรรคเพื่อไทยอัปเปหิพรรคพลังประชารัฐออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ช่วงค่ำวันที่ 1 กันยายน สส.พรรคเพื่อไทยประมาณ 10 คน ได้นัดเลี้ยงสังสรรค์ให้นายฉลาด ขามช่วง ที่ได้รับเลือกให้เป็นดำรงตำแหน่งรองประธานสภาฯ คนที่ 1 เมื่อเรื่องรู้ถึงนายทักษิณ ชินวัตร จึงเดินทางมาร่วมแสดงความยินดีกับนายฉลาดด้วย โดยในวงรับประทานอาหาร นายทักษิณ พูดถึงกรณีที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า นำพรรคกล้าธรรม ถอนตัวจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทย โดยยอมรับผิดว่า “ไว้วางใจ ร.อ.ธรรมนัส มากเกินไป พี่ผิดไปแล้ว พี่ดูคนผิด”
ขณะที่เมื่อสอบถามตรงๆ กับร้อยเอก ธรรมนัส ก็ไม่ได้รับคำตอบที่แน่ชัดว่ามีเหตุผลอะไรถึงทำให้ตัดสินใจเปลี่ยนขั้วการเมือง โดยบอกเพียงแค่ว่า “พูดไม่ได้ แต่เป็นการหาทางออกให้บ้านเมือง การเมืองเกิดวิกฤต ก็ต้องหาทางออกด้วยการเมือง...ทุกพรรคต่างมีมติและความคิดของเขา และอย่าวิจารณ์ว่า เราหักหลังใคร หรือใครมีบุญคุณกับเรา นี่คือการเมือง ปีนี้ผมอายุ 60 ปี มีลูกแปดคนแล้ว ไม่อยากจำว่าทำอะไรให้ใครบ้าง แต่จำและสำนึกกับคนที่มีบุญคุณกับตัวเองเสมอ”
และเมื่อไม่มี 26 เสียงของพรรคกล้าธรรมหนุน ทักษิณจึงต้องเผชิญกับสถานการณ์ “มันจบแล้วครับนาย(อีกครั้ง)”
เช่นเดียวกับก๊วนของ “เสี่ยเฮ้ง-สุชาติ ชมกลิ่น” อีกหนึ่งขั้วการเมืองใน “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ที่ชูรักแร้สนับสนุนนายอนุทินแบบไม่ลังเล หลังจากก่อนหน้านี้ประกาศเอกราชจาก “กลุ่มนายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค” และ “นายเอกนัฏ พร้อมพันธ์” อย่างไม่แยแส ซึ่งเป็นที่รับรู้กันว่า ได้รับการสนับสนุนจาก “นายทุนพลังงาน” ผู้ที่มักปรากฏกายเป็น “โซ่ข้อกลาง” ให้เห็นยามที่ “เสี่ยหนู-ครูใหญ่เน” มีปัญหากับ “ทักษิณ” อยู่บ่อยครั้ง
แต่ที่น่าสนใจคือ เมื่อไม่นานมานี้นายอนุทิน ชาญวีรกูลได้โพสต์ภาพการพบเจอกันหลังดินเนอร์กับนายทุนพลังงาน ก่อนที่กลุ่ม ส.ส. ของสุชาติ ชมกลิ่น จะหันไปสนับสนุนนายอนุทิน และต่อมานายอนุทินได้ลบภาพดังกล่าวออกไป
กล่าวสำหรับนายทุนพลังงานนั้น เป็นที่รับรู้ว่า มีความใกล้ชิดกับทักษิณมากและถือเป็นหนึ่งในทุนคนสำคัญของพรรคเพื่อไทย รวมถึงแผ่ขยายการสนับสนุนไปยัง “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ในระยะแรก กระทั่งต่อมามีปัญหาแตกหักกับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค และว่ากันว่า ให้การสนับสนุนนายสุชาติรวบรวม สส.ตีจากนายพีระพันธุ์ รวมถึงมีกระแสข่าวไปในทิศทางเดียวกันว่า เป็นนายทุนคนสำคัญของ “พรรคโอกาสใหม่” อีกต่างหาก
แน่นอนว่า การที่นายสุชาติจูงมือสมาชิกไปแถลงข่าวสนับสนุนนายอนุทินจึงถูกมองว่า ได้รับ “ไฟเขียว” จาก “นายทุนพลังงาน” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่เช่นนั้นจะเอาความกล้าจากไหนไปแตกหักกับทักษิณ ชินวัตร ดังนั้น สิ่งที่ต้องติดตามกันต่อไปคือ แค่เล่นไปตามเกมอำนาจ หรือมีอะไรมากไปกว่านั้น
ไม่นับรวมถึง “เสี่ยแด๊ก-ธนกร วังบุญคงชนะ” ที่ใครก็รู้ว่าเป็นอีกหนึ่ง “สายตรงลุง” ก็เดินตรงแน่วพร้อมกับนายสุชาติไปอยู่ข้างๆ “เสี่ยหนู” เช่นกัน ซึ่งทำให้ถูกตีความว่า ดีลที่เคยมีมาก่อนหน้าสิ้นสุดลงเป็นที่เรียบร้อย เช่นเดียวกับ 3 สส.พรรคประชาธิปัตย์ ประกอบด้วย นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา , นายสมยศ พลายด้วง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา และ นายราชิต สุดพุ่ม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็น สส.พรรคร่วมรัฐบาลที่สนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลของนายอนุทิน
ไม่เพียงแค่ในพรรคร่วมรัฐบาลเท่านั้น หากแต่ในพรรคเพื่อไทยเองก็ออกอาการไม่ค่อยสู้ดี เมื่อปรากฏ 8 สส.ของพรรคประกอบด้วย 1.นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ กาญจนบุรี เขต ,1 2.นางสาวนุชนารถ จารุวงเสถียร ศรีสะเกษ เขต 9,3.นพ.ภูมินทร์ ลีธีรประเสริฐ ศรีสะเกษ เขต 4,4.นายอนันต์ ปรีดาสุทธิจิตต์ ชลบุรี เขต 5,5.นายสุรพล บุญมา นครนายก เขต 1,6.นายกิตติ สมทรัพย์ ร้อยเอ็ด เขต 6,7.นายนรากร เมืองนารักษ์ ร้อยเอ็ด เขต 4 และ 8.นายประเสริฐ บุญเรือง กาฬสินธุ์ เขต 6 กล้ายกมือหนุนนายอนุทินเป็นนายกฯ
นายศักดิ์ดาที่ไปแถลงข่าวเปิดตัวเป็นคนแรกๆ ให้เหตุผลถึงการตัดสินใจดังกล่าวเอาไว้ว่า “ประชาชนฝากความหวังไว้กับรัฐบาล แต่การแก้ปัญหากลับล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ผมจึงต้องออกมาต่อสู้เพื่อปกป้องประชาชนในพื้นที่ ผมขอรับผิดชอบต่อการตัดสินใจครั้งนี้เพียงผู้เดียว หากทำให้ใครผิดหวัง”
ที่สำคัญคือ 8 สส. “งูเห่า” ที่หันไปยกมือสนับสนุนพรรคภูมิใจไทย น่าจะเป็นแค่เพียง “ลอตแรก” เท่านั้น เพราะเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า ยิ่งนานวันไป จะมี สส.พรรคเพื่อไทยอีกไม่น้อยที่ตัดสินใจโบกมือลา เพราะถ้าขืนอยู่ไปก็จะต้องเผชิญกับจุดจบทางการเมืองตามไปด้วย ส่วนออกแล้วจะไปสังกัดพรรคไหน ก็คงไม่แคล้ว 2 พรรคที่น่าจะมีภาษีดีที่สุดในชั่วโมงนี้ นั่นคือ “พรรคภูมิใจไทย” ตามด้วย “พรรคกล้าธรรม” หรือบางส่วนจะไปลงเอยกับ “พรรคพลังประชารัฐ” ก็เป็นได้
แต่ว่าก็ว่าเถอะ สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้ไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างไปจากในอดีต เพราะตัวละครทางการเมืองก็ยังคงเป็นคนหน้าเดิมๆ เพียงแต่ “ย้ายค่าย-เปลี่ยนขั้ว” เท่านั้น แถมปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นยังสะท้อนให้เห็นว่า ทั้งพรรคภูมิใจไทย พรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทย ต่างก็ทุ่มสรรพกำลังเพื่อแย่งชิงอำนาจกัน โดยพรรคเพื่อไทยก็ดิ้นสุดชีวิตด้วยการทูลเกล้าฯ ยุบสภาทั้งๆ ที่รู้ว่า มีความเสี่ยง หรือเสนอให้โหวตนายชัยเกษม นิติสิริ เป็นนายกฯ แล้วจะยุบสภาทันทีเพื่อดำรงสภาพรัฐบาลรักษาการเพื่อความได้เปรียบในการเลือกตั้ง ขณะที่พรรคประชาชนเองก็ใช้ความได้เปรียบสร้างเงื่อนไขต่อรองให้มีการยุบสภาและแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามที่ตนเองต้องการ
สมการการเมืองที่จะต้องติดตามกันต่อไปคือ “พรรคร่วมรัฐบาล” ที่เหลืออยู่นอกจาก “พรรคประชาชาติ” ที่นำโดย “วันมูหะหมัด นอร์ มะทา” และ “ทวี สอดส่อง” ที่น่าจะต้องกลืนเลือดอยู่ด้วยกันต่อไปแล้ว ปีกของพรรคร่วมไทยสร้างชาติที่นำโดย “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” จะไปในทิศทางไหน โดยเฉพาะในยามที่ “ไร้นายทุน” แถมยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า “ปีกของเอกนัฏ พร้อมพันธุ์” จะโบกมือลาเมื่อไหร่ ส่วน “พรรคชาติไทยพัฒนา” ของ “ลูกท็อป-วราวุธ ศิลปอาชา” ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะฉายา “ปลาไหลใส่เสกต” นั้น ไม่ได้มาด้วยโชคช่วย เพียงแต่คงดำรงสภาพไม่ต่างจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบันหรือจำนวน สส.น้อยลงไปกว่าเดิม เช่นเดียวกับ “พรรคประชาธิปัตย์” ที่นำโดย “เสี่ยต่อ-เฉลิมชัย ศรีอ่อน” ตกอยู่ในสภาพไม่ต่างกัน และมองไม่เห็นว่าจะ “ปีกของนายชวน หลีกภัย” จะสามารถยึดพรรคคืนได้แต่อย่างไร
สำหรับพรรคภูมิใจไทยเอง งานนี้มีแต่ได้กับได้ เพราะสามารถช่วงชิงอำนาจได้สำเร็จ ทีนี้ก็เหลืออยู่แค่ว่า จะสามาถชูธงนำของ “ฝ่ายอนุรักษ์นิยม” ได้มากน้อยแค่ไหนในยามที่ขั้วเดิมที่มีอยู่อย่าง “พรรครวมไทยสร้างชาติ” และ “พรรคพลังประชารัฐ” ไม่เหลือสภาพให้ลุ้น
ทว่า ขั้วที่หาคนคบยากอย่าง “พรรคประชาชน” คงต้องลุ้นหนักว่าจะสามารถมี สส.มากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้หรือไม่สำหรับการเลือกตั้งใหญ่ที่จะมาถึงในอีกไม่ช้า ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะที่ผ่านมาก็เสียรังวัดไปมากโข ด้วยต้องยอมรับว่า มติยกมือโหวตให้นายอนุทินเป็นนายกฯ สร้างความไม่พอใจให้กับบรรดา “ด้อมส้ม” อยู่ไม่น้อย ด้วยมองว่าเป็นความผิดพลาดและไม่ต่างอะไรกับการ “พายเรือให้หนูนั่ง” หรือเข้าร่วมกับขบวนการล้มเพื่อไทยแบบไม่แน่ว่า สมรู้ร่วมคิดหรือโดนหลอกลวง
ส่วนการกลับหลังหันไปจับมือกับ “พรรคเพื่อไทย” หลังการเลือกตั้ง เป็นสิ่งที่ต้องลุ้นเช่นกัน เพราะแม้ตอนนี้จะขัดแย้งกันอย่างหนักกับพรรคเพื่อไทย แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถร่วมกันไม่ได้
และปิดท้ายกันกับสถานการณ์ของพรรคเพื่อไทยในยามที่ “ทักษิณหมดสภาพ” ซึ่งมีความน่าสนใจยิ่งว่า จะดำเนินไปในทิศทางใด เพราะถึงขนาดมีการวิเคราะห์กันออกมาแล้วว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคเพื่อไทยอาจได้ สส.เต็มที่ ไม่เกิน 50 คน เรียกว่าตกต่ำที่สุดเท่าที่เคยได้รับมา จะมีการแก้เกมเพื่อฟื้นคะแนนนิยมด้วยกลวิธีไหน และ “ใคร” จะมาเป็น “ทายาททางการเมือง” ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค
อย่างไรก็ดี ทักษิณคงโทษใครไม่ได้เพราะชะตากรรมที่ได้รับในวันนี้ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากตัวเขาทั้งสิ้น