ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ถอดบทเรียน “YouTuber” ชีวิตติดคอนเทนต์ ลอยตัวเหนือดรามา เผยแพร่คลิปโต้เถียงนักท่องเที่ยวต่างชาติ ขณะทำการถ่ายคอนเทนต์เดินทางท่องเที่ยวบนรถไฟ แต่ติดภาพผู้โดยสารรายอื่นโดยไม่ได้รับการยินยอม อ้างเป็นสิทธิบนพื้นที่สาธารณะ ถูกจับโป๊ะอัพคอนเทนต์ปั่นยอดวิวฉ่ำ
กลับมามองการบังคับใช้ “กฎหมาย PDPA” หรือ “พ.ร.บ.คุ้มครองส่วนบุคคลฯ” โดยเฉพาะในกลุ่ม Content Creator หากินกับคอนเทนต์การถ่ายทำคลิปซึ่งอาจส่งผลกระทบก่อความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้อื่น โดยเฉพาะกระทบสิทธิความเป็นส่วนตัวของผู้คนรอบข้างระหว่างถ่ายทำ
กลายเป็นประเด็นร้อนในโซเซียลมีเดียเมืองไทย กรณี YouTuber สายท่องเที่ยวชาวไทยรายหนึ่ง ทำคอนเทนต์ขึ้นรถไฟตู้นอน กรุงเทพฯ - เชียงใหม่ ขณะถ่ายคลิปบรรยากาศเกิดการโต้เถียงกับผู้โดยสารชาวต่างชาติ เพราะไม่พอใจมีการถ่ายคลิปตนและลูกสาวโดยไม่ได้ยินยอม โดยมีการแพร่คลิปเผยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติพูดแสดงความไม่พอใจ ความว่า "ห้ามถ่ายลูกสาวผม ผมไม่อนุญาต คุณถ่ายทำไม นี่มันพื้นที่สาธารณะ คุณจะถ่ายคนอื่นไม่ได้ นอกจากผมให้อนุญาต ผมไม่ต้องการให้คุณถ่ายผม"
ขณะที่ YouTuber คนไทย สวนกลับอย่างไม่สบอารมณ์เช่นกัน ความว่า “พื้นที่สาธารณะ ผมก็มีสิทธิ์นะ ผมไม่ได้ถ่ายคุณ"
นำมาซึ่งกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในทิศทางเดียวกัน พุ่งเป้าไปที่พฤติกรรมติดคอนเทนต์ของยูทูบเบอร์รายนี้ ตั้งแต่เรื่องพื้นฐานกาลเทศะและมารยาท การไม่ยอมรับความเห็นต่างไม่เคารพสิทธิผู้อื่น และถึงจะบอกว่าไม่ได้ถ่ายชาวต่างชาติ แต่ก็ถ่ายติดมาโดยเห็นหน้าตาครอบครัวเขาชัดเจน ท้ายที่สุดยังการนำเรื่องราวมาเผยแพร่ในโซเซียลฯ แม้จะมีการเบลอใบหน้าฝรั่งคู่กรณีก็ตาม แต่ก็อัพลงช่อง ปั่นยอดวิวอยู่ดี
ถามว่า...บนรถไฟถ่ายคลิปได้ไหม? ตามข้อมูลระบุชัดหากต้องการถ่ายทำรายการบนรถไฟ ต้องทำหนังสือขออนุญาต จากศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย โดยระบุรายละเอียด เช่น เวลา สถานที่ จำนวนผู้ร่วมงาน และผู้ประสานงาน เพื่อขอหนังสือตอบกลับอย่างเป็นทางการ
แต่หากการถ่ายภาพทั่วไปเพื่อบันทึกความทรงจำในบริเวณที่ไม่เป็นอันตรายและไม่รบกวนผู้โดยสาร สามารถทำได้ตามปกติ แต่หากเป็นการถ่ายทำเชิงพาณิชย์หรือใช้พื้นที่ในลักษณะที่อาจก่อความเดือดร้อน จะต้องขออนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร
อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าพฤติกรรมการทำคอนเทนต์ถ่ายคลิปในพื้นที่สาธารณะของ “Creator” และ “YouTuber” จำนวนไม่น้อยสร้างความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้อื่น โดยเฉพาะบุคคลที่ติดเข้าเฟรมโดยไม่ตั้งใจและไม่ยินยอม
พฤติกรรมเหล่านี้ดำเนินท่ามกลางการบังคับใช้ “กฎหมาย PDPA” หรือ “พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562” ซึ่งเป็นกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนโดยไม่ได้รับความยินยอม ซึ่งมีบทลงโทษทั้งทางอาญาและทางแพ่ง
วงเสวนาว่าด้วยกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA กับสื่อมวลชน และ Content Creator จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ PDPC โดย ไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล สำนักงาน สคส. เปิดเผยว่า กฎหมาย PDPA พระราชบัญญัติคุ้มครองส่วนบุคคล บังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2562 แต่หลายคนยังไม่เข้าใจและรับรู้ว่า กฎหมายนี้ออกมาเพื่อรองรับสิทธิขั้นพื้นฐาน คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กล่าวคืออะไรก็ตามที่ระบุตัวตนเราได้ทั้งทางตรงทางอ้อม มันคือข้อมูลส่วนบุคคล ยกตัวอย่าง ชื่อ นามสกุล รูปภาพ ทะเบียนรถ หมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี หมายเลขบัตรประชาชน อะไรที่ระบุตัวตนได้ เป็นข้อมูลส่วนบุคคลหมดเลย รวมถึงข้อมูลเชิงเทคนิคด้วย เช่น หมายเลขเฟซบุ๊ค IP Address ลายนิ้วมือ
ภายในวงเสวนาฯ ชูประเด็นที่สนใจการบังคับใช้กฎหมาย PDPA กับกลุ่ม Content Creator, YouTuber, Influencer อย่างน่าสนใจ โดยหัวใจสำคัญสามารถถ่ายทำได้ แต่ต้องไม่กระทบต่อเจ้าของข้อมูล หรือทำให้ใครเสียหาย
ณัฐนันท์ มุกดา Creator สายท่องเที่ยว ช่อง “อาสาพาไปหลง” เปิดเผยว่า ก่อนมีกฎหมายถ่ายทำเป็นปกติ แต่พอมีกฎหมายนี้ออกมา ก็ต้องตระหนักมากขึ้น โดยขั้นตอนการทำงานก่อนถ่ายทำ ครีเอทีฟจะคิดคอนเทนต์ ติดต่อ ประสานงาน ทำจดหมายขอเข้าไปถ่ายทำ แล้วไปดูสถานที่ ส่วนในช่วงการถ่ายทำ จะบอกเขาตอนนั้นเลยว่าจะมีการนำภาพไปใช้ในรายการ หรือหากระหว่างถ่ายทำมีการพูดคุยกับคนที่ยังไม่ได้ติดต่อ เมื่อถ่ายเสร็จเราจะเข้าไปขออนุญาต หรือถ้าบางคนไม่สะดวก ก็แค่บันทึกภาพไปแต่ไม่ได้เอามาใช้
ภาพรวมการถ่ายคอนเทนต์สายท่องเที่ยวจะพยายามจะไม่ถ่ายจ่อหน้าใคร จะเน้นเก็บมุมกว้างให้เห็นภาพรวมมากกว่า แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็จะมาตัดต่อเบลอหน้าทีหลัง ซึ่งจะเห็นว่ารูปแบบการทำงานของ “อาสาพาไปหลง” มีความเป็นมืออาชีพมีความรับผิดต่อตนเองและสังคม ต่างจากกรณีที่เป็นดรามาข้างตน ซึ่งรบกวนความเป็นส่วนบุคคลของผู้อื่น อีกทั้ง ไม่ยอมรับความเห็นต่างไม่ยอมรับผิดต่อพฤติกรรมของตนก่อความรำคาญกระทบสิทธิผู้อื่น
ขณะที่ รัชนีกร ค่องสกุล Creator สายอาหาร ช่อง “จูนพากิน” เปิดเผยถึงการปรับตัวว่าก่อนมีกฎหมายถ่ายทำเห็นคนเยอะๆ ได้ แต่พอมีกฎหมายนี้ออกมา จากที่นั่งรีวิวอาหารส่วนไหนของร้านก็ได้ ก็ต้องเลือกนั่งหลังสุดชิดกำแพงแบบไม่มีคนข้างหลัง หรือถ้าจะถ่ายคนเยอะๆ ก็ต้องถ่ายคนหันหลัง ไม่มีมองหน้ากันหรือหันมามองกล้อง ที่สำคัญก่อนถ่ายทำก็ต้องสอบถามตรงๆ หากถ่ายติดอนุญาตไหม
ทั้งนี้ อ.ไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล จาก PDPA ให้ข้อเสนอแนะสำหรับคนทำสื่อ Content Creator, YouTuber และ Influercer เพื่อให้สอดคล้องกับการบังคับใช้กฎหมาย PDPA ดังนี้
1. ถ่ายทำได้เหมือนเดิมแต่ต้องแจ้งเขาก่อน ซึ่งในต่างประเทศจะตั้งป้ายว่าบริเวณนี้มีการถ่ายทำอยู่ ที่สำคัญ ให้ถ่ายป้ายที่เราแจ้งและบันทึกหลักฐานเวลาเราไปคุยขออนุญาตไว้ด้วย เพราะเคยมีประเด็นว่าเราแจ้งเขาไหม เราต้องพิสูจน์ว่ามีป้ายนี้อยู่ หรือแจ้งปากเปล่าไว้แล้ว ซึ่งเคยมีปัญหาเพราะคนลืมง่าย เช่น เมื่อวานแจ้งแล้ว วันนี้บอกว่าไม่เห็นมีแจ้ง ซึ่งเขาอาจยกเลิกการอนุญาตนั้นได้ 2. แจ้งวัตถุประสงค์ว่าจะถ่ายไปทำอะไร ถ้ามีรายละเอียดเยอะทำเป็นลิงค์ หรือคิวอาร์โค้ดให้สแกนได้ เป็นต้น และ 3. วิธีการลักษณะการเผยแพร่เป็นแบบไหน ถ้าดูแล้วไม่เหมาะสม อาจมีปัญหาก็เบลอซะ หรือตัดออกเสีย
กล่าวสำหรับสำหรับ Content Creator การถ่ายภาพหรือการถ่ายวิดีโอแล้วติดบุคคลอื่น หากมองเห็นรายละเอียดของใบหน้าไม่ชัดเจนไม่ได้โฟกัสที่ใบหน้าของคนอื่นในภาพ ไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากบุคคลเหล่านั้น ซึ่งอาจใช้วิธีเบลอใบหน้าให้ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนและระบุตัวตนไม่ได้ เพื่อเป็นการป้องกันการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่น
สุดท้ายการถ่ายคอนเทนต์ในที่สาธารณะไม่ผิดกฎหมายโดยตรง แต่ต้องระวังการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลตามกฎหมาย PDPA โดยเฉพาะการโพสต์ลงโซเชียลมีเดียโดยไม่ได้รับความยินยอมจากบุคคลที่ติดในภาพ.