ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ราคาทองคำยังพุ่งทะลุฟ้า ฝ่าทุกแนวต้าน จากปัจจัยหนุนสำคัญคือการหันมาซื้อทองคำของธนาคารชาติทั้งโลกที่เพิ่มขึ้นไม่หยุด และลดการถือครองดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนแนวโน้มว่าโลกไม่ได้หมุนรอบสหรัฐฯ อีกต่อไปแล้ว
ความกังวลต่อความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายพื้นที่ทั่วโลก และการป่วนระเบียบการค้าโลกของสหรัฐฯ หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่สอง ที่ประกาศรีดภาษีการค้าบ้าระห่ำ ทำให้ธนาคารกลางของหลายประเทศทั่วโลก หันมาถือทองคำมากกว่าพันธบัตรสหรัฐฯ
บทวิเคราะห์ “Foreign Central Banks’ Gold Tops US Treasuries For First Time Since 1996” ของ ชาร์ล-อองรี มงโชว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุนของ Syz Group บริษัทจัดหาเงินทุนสัญชาติสวิส ในเว็บไซต์อินเวนติง ดอทคอม ระบุว่า ปัจจุบันธนาคารกลางทั่วโลก ถือทองคำในฐานะทุนสำรองมากกว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เรียบร้อยแล้ว ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 30 กว่าปี นับตั้งแต่ปี 1996 เป็นต้นมา
“ทั้งโลกอาจกำลังเห็นการปรับสมดุลโครงสร้างเศรษฐกิจโลก หรือ Global Rebalancing ครั้งสำคัญที่สุดที่เราเคยเห็นมาในประวัติศาสตร์” มงโชว์ กล่าว
เมื่อพิจารณาปริมาณทองคำที่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกถืออยู่ จะพบว่า สหรัฐฯ ยังเป็นผู้ถือครองทองคำในปริมาณมากที่สุดในโลก อยู่ที่ 8,133 ตัน ตามมาด้วย เยอรมนี 3,350 ตัน, อิตาลี 2,452 ตัน, ฝรั่งเศส 2,437 ตัน, รัสเซีย 2,330 ตัน, จีน 2,299 ตัน และสวิตเซอร์แลนด์ 1,040 ตัน
จากตัวเลขข้างต้น เห็นได้ชัดเจนว่าปริมาณทองคำสำรองของสหรัฐฯ มีปริมาณมากกว่าเยอรมนี อิตาลี และฝรั่งเศส รวมกัน ขณะที่สวิตเซอร์แลนด์แม้จะมีทองคำสำรองน้อยกว่าหลายประเทศ แต่กลับมีปริมาณทองคำต่อหัวประชากรมากที่สุด ส่วนรัสเซียและจีน เป็นสองประเทศที่รัฐบาลเริ่มสะสมทองคำในอัตราเร่งอย่างน่าจับตาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
“ทุนสำรองทองคำยังเป็นเรื่องของอำนาจด้วย ผู้ที่ควบคุมทองคำมากที่สุดจะมีอำนาจต่อรองเพิ่มขึ้นอีกชั้นหนึ่งในช่วงเวลาวิกฤตการคว่ำบาตร หรือความผันผวนของสกุลเงิน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุนของ Syz Group ระบุ
สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า ธนาคารกลางจีน (PBOC) ซื้อทองคำจำนวนมากตั้งแต่ปี 2566 ทำให้เกิดคำถามว่ารัฐบาลจีน จะเพิ่มปริมาณทองคำสำรองได้มากแค่ไหน ในขณะที่จีนพยายามลดการพึ่งพาดอลลาร์ ซึ่งในปีนี้ PBOC ได้ซื้อทองคำไปแล้ว 21 ตัน หลังจากที่ซื้อ 44 ตัน เมื่อปีที่แล้ว และ 225 ตัน ในปี 2566 ทำให้ธนาคารกลางจีน เป็นผู้ซื้อทองคำรายใหญ่ที่สุดในโลก ณ ขณะนั้น โดยปัจจุบันจีนถือทองคำสำรองอยู่ที่ 2,300.4 ตัน
รอยเตอร์ ได้วิเคราะห์การซื้อทองคำสำรองของจีนในอนาคต ผ่านการประมาณการของ เดวิด วิลสัน นักวิเคราะห์จาก BNP Paribas ที่ระบุว่า ตามที่ โฮ่ว ฮุ่ยหมิน ขณะดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการสมาคมทองคำแห่งประเทศจีน เมื่อปี 2552 ได้เสนอเป้าหมายปริมาณทองคำสำรองของประเทศไว้ที่ 5,000 ตัน เพื่อยกระดับสถานะของจีนในเวทีโลก และรับมือวิกฤตการณ์ทางการเงินโลก ปี 2551 เป็นไปได้ว่าตอนนี้ตัวเลขดังกล่าวอาจจะสูงขึ้นกว่าเดิมมาก เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศจีนเติบโตอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ตอนนั้น
รอยเตอร์ ยังอ้าง โรบิน บาร์ นักวิเคราะห์อิสระ ว่าหากเศรษฐกิจจีนเติบโตจนใหญ่ที่สุดในโลกได้ในอนาคต ปริมาณทองคำสำรองของจีนก็อาจจะเพิ่มขึ้นไปถึง 8,000 ตัน ขณะที่ตอนนี้ทองคำสำรองของจีนคิดเป็นแค่ 7% ของทุนสำรองทั้งหมด ซึ่งยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 22% เหตุผลหลักคือจีนมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศมหาศาลถึง 3.6 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้การเพิ่มสัดส่วนทองคำให้สูงขึ้นทำได้ยาก แต่ดูเหมือนจีนจะมีความต้องการซื้อทองคำอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ได้รีบไล่ซื้อตามราคาที่สูงขึ้น
ธนาคารกลางทั่วโลก ได้เร่งซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่สี่ติดต่อกัน โดยคาดการณ์ว่า ในปีนี้รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ จะมีการซื้อทองคำเข้าเป็นทุนสำรองไม่ต่ำกว่า 1,000 เมตริกตัน ซึ่งเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการลดการพึ่งพาดอลาร์สหรัฐฯ ที่ชัดเจนขึ้น ในช่วงเวลาที่สถานะของเงินดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินสำรองของโลก มีความน่ากังวลจากทิศทางการคลังอันเนื่องมาจากหนี้สาธารณะที่พุ่งสูง และแรงกดดันทางการเมืองที่อาจกระทบต่อความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด
จากผลสำรวจความเห็นของธนาคารกลาง 73 แห่ง โดยสภาทองคำโลก (World Gold Council) ล่าสุด พบว่า 95% ของธนาคารกลางคาดว่าจะเพิ่มการถือครองทองคำ ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า และอีกเกือบ 75% คาดว่าจะลดปริมาณเงินสำรองที่เป็นดอลลาร์ลง โดยจีนได้เข้าซื้อทองคำสะสมต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 เมื่อเดือนกรกฎาคม 2025 ที่ผ่านมา
ข้อมูลจากบลูมเบิร์ก โดย ทาวี คอสตา นักกลยุทธ์มหภาคของ Crescat Capital สะท้อนว่า การถือครองทองคำของธนาคารกลางทั่วโลก ซึ่งแซงหน้ามูลค่าการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ นอกจากจะเร่งให้ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นแล้ว ยังเป็นสัญญาณที่ทรงพลังที่สุดในการสะท้อนการเปลี่ยนครั้งใหญ่ในสมดุลอำนาจทางการเงินของโลก และความเชื่อมมั่นต่อเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ
“.... นี่น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับสมดุลครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งของโลกที่เราเคยประสบมาในประวัติศาสตร์ยุคใหม่” คอสตา เขียนบนแพลตฟอร์ม X
รอยเตอร์ รายงานว่า กระแสการเทขายพันธบัตรอายุยาวทั่วโลก ยังคงลุกลามมาถึงเอเชียในวันพุธ (3 กันยายน 2568) ขณะที่ราคาทองคำทะยานขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยราคาทองคำสปอต ทะยานแตะ 3,546.99 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับระดับหนี้สาธารณะของรัฐบาลสหรัฐฯ และการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ
ส่วนสัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธันวาคม 2025 บวก 75.50 ดอลลาร์ หรือ 2.15% พุ่งทะลุสู่ระดับ 3,591.60 ดอลลาร์/ออนซ์ กันเลยทีเดียว
ทางด้าน บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ระบุว่า ราคาทองคำในช่วงเช้าเมื่อวันที่ 3 กันยายนที่ผ่านมา ปิดบวก $56.96 ราคาพุ่ง All Time High ครั้งใหม่ที่ $3,546 โดยได้รับแรงหนุนจากความกังวลที่ว่า รัฐบาลสหรัฐฯอาจต้องคืนเงินภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บไปแล้ว หลังจากศาลอุทธรณ์ของสหรัฐฯมีคำวินิจฉัยว่า การปรับขึ้นภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ของประธานาธิบดีทรัมป์ “มิชอบด้วยกฎหมาย” ซึ่งจะซ้ำเติมสถานะทางการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ
นอกจากนี้ การปรับขึ้นของราคาทองคำ ยังได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน 2025 หลังจาก ดัชนี PMI ภาคการผลิตของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาด
ทั้งนี้ FedWatch Tool ของ CME Group ชี้ว่า มีโอกาสสูงมากที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมวันที่ 17 กันยายนนี้ สู่ระดับ 4.00-4.25% และยังระบุด้วยว่า นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมเดือนธันวาคม 2025
ด้าน Metals Focus คาดการณ์ว่าการลงทุนสุทธิในกองทุน ETP ทองคำในปี 2025 จะอยู่ที่ 500 ตัน หลังจากมีกระแสเงินทุนไหลออก 7 ตัน ในปี 2024 นำโดย SPDR Gold Trust ซึ่งเป็น ETF ทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถือครองทองเพิ่มขึ้น 12.88 ตัน เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2025 สู่ระดับ 990.56 ตัน ถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2022 ซึ่งเป็น Sentiment เชิงบวกต่อทองคำเพิ่มเติม
ขณะเดียวกัน นักลงทุนพากันเข้าซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับสถานะทางการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ หลังจากศาลอุทธรณ์ของสหรัฐฯมีคำวินิจฉัยภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ของประธานาธิบดีทรัมป์มิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเพิ่มความเป็นไปได้ที่รัฐบาลสหรัฐฯ อาจต้องคืนเงินภาษีที่เรียกเก็บไปแล้ว ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมสถานะทางการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ
สำนักข่าวซีเอ็นบีซี รายงานว่า คำตัดสินของศาลอุทธรณ์ นอกจากสหรัฐฯอาจต้องคืนเงินภาษีนำเข้ามูลค่าหลายพันดอลลาร์สหรัฐฯ ให้กับภาคธุรกิจแล้ว ยังทำให้ข้อตกลงทางการค้าที่ทำเนียบขาวตกลงร่วมกับประเทศต่าง ๆ ตกอยู่สถานการณ์ที่ไม่แน่นอน ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมขนส่งและซัพพลายเชน มองว่าสถานการณ์โดยรวมยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงในทันที และคาดว่ารัฐบาลทรัมป์จะยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสูงสหรัฐฯ ซึ่งทางผู้ขนส่งหรือชิปเปอร์ ยังรอคำตัดสินสุดท้าย
สก็อต เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เชื่อว่าศาลฎีกาจะยังคงสนับสนุนการใช้อำนาจฉุกเฉินตามกฎหมายปี 1977 ของประธานาธิบดีทรัมป์ เพื่อเรียกเก็บภาษีการค้า แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น รัฐบาลก็มีแผนสำรองไว้แล้ว และประธานาธิบดีทรัมป์ก็ยืนยันว่าจะขอให้ศาลฎีกาพิจารณาคดีนี้อย่างเร่งด่วน
ไมค์ ชอร์ต ประธานฝ่ายการขนส่งระดับโลกของ C.H. Robinson เปิดเผยว่า หากศาลฎีกายืนยันคำตัดสินของศาลล่าง ยังคงไม่ชัดเจนว่าจะมีผลย้อนหลังในการคืนภาษีที่จ่ายไปแล้วหรือไม่ หรือจะมีผลบังคับใช้เฉพาะกับการขนส่งในอนาคตเท่านั้น
อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญต่างเห็นพ้องต้องกันว่าไม่ว่าผลการพิจารณาคดีจะเป็นอย่างไร ความไม่แน่นอนด้านการค้าและภาษีก็ยังคงอยู่ และสำหรับผู้นำเข้า คำตัดสินของศาลยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนมากขึ้น
สำหรับราคาทองคำที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทาง Krungsri The COACH ออกบทวิเคราะห์เมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ชวนส่องแนวโน้มช่วงเวลาที่เหลือของปี 2568 นี้ว่า ทองคำยังน่าลงทุนอยู่หรือไม่ โดยกรุงศรีฯ มองว่า มี 4 ปัจจัยสำคัญที่หนุนราคาทองคำเพิ่มขึ้นในช่วงหลังของปี 2568 ดังนี้
หนึ่ง ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงเดินหน้าซื้อทองมากกว่าขาย โดยรายงานจากสภาทองคำโลก ระบุว่าธนาคารกลางยังคงสถานะเป็นผู้ซื้อสุทธิ คือซื้อมากกว่าขายออกต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 15 และยังดำเนินต่อไปในปี 2568 นี้ โดยธนาคารกลางของจีน เป็นตัวอย่างในการเดินหน้าสะสมทองคำอย่างแข็งขัน สะท้อนความเชื่อมั่นในทองคำฐานะทรัพย์สินที่มั่นคง และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความต้องการโดยรวมสูงกว่าอุปทาน ช่วยพยุงราคาทองคำให้อยู่ในระดับสูงอย่างแข็งแกร่ง
สอง ทิศทางดอกเบี้ยขาลง และเงินเฟ้อที่ยังสูง สภาวะเช่นนี้ทำให้การถือครองเงินสดให้ผลตอบแทนน้อยลง ทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันความมั่งคั่งจากภาวะเงินเฟ้อได้ดี ประกอบกับแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในอนาคต ยิ่งเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยหนุนราคาทองในอนาคตให้มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นได้
สาม ความขัดแย้งระหว่างประเทศยังคงเป็นลมหนุน ล้วนกระตุ้นให้นักลงทุนทั่วโลกมองหาสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงที่ตลาดผันผวนสูง ความกังวลเหล่านี้เมื่อรวมกับภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่อาจชะลอตัว ยิ่งทำให้ทองคำยังคงเป็นที่ต้องการของนักลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน
และ สี่ มุมมองเชิงบวกจากผู้เชี่ยวชาญการเงิน เช่น Goldman Sachs ที่ปรับเป้าหมายราคาทองคำไปถึงระดับ $3,700 ต่อออนซ์ภายในสิ้นปี 2568 และอาจแตะ $4,000 ต่อออนซ์ในช่วงกลางปี 2569 เช่นเดียวกับ UBS ที่มองว่าทองคำยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้อีก
จากปัจจัยสนับสนุนทั้งหมด ทำให้นักวิเคราะห์หลายสำนัก ต่างคาดการณ์ราคาทอง ทั้งในตลาดโลก และในประเทศ จะไปได้ไกลแค่ไหน ในปี 2568-2569 ซึ่งจากการรวบรวมข้อมูลของสถาบันการเงินชั้นนำหลายแห่ง ประเมินว่า ราคาทองคำตลาดโลก (Spot Gold) มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี 2569 ที่คาดว่าราคามีแนวโน้มปรับตัวสูงไปถึง $3,500 ถึง $4,000 ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการเข้าซื้อของธนาคารกลาง และนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายทั่วโลกเป็นหลัก และคาดการณ์ราคาทองคำในประเทศ อาจได้เห็น 55,000 บาท
ขณะที่ เพจ “ฮั่วเซ่งเฮง” รายงานสถานการณ์ราคาทองคำเมื่อช่วงเช้าวันที่ 3 กันยายน ที่ผ่านมาว่า ว่าทองทำ All Time High แตะระดับ 3,547 ดอลลาร์ จากการที่นักลงทุนกังวลพิษภาษีทรัมป์ โดยดัชนี CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ พุ่งขึ้นมากกว่า 25% สู่ระดับ 19.26 (ดัชนี VIX อยู่ใกล้ระดับ 20 ซึ่งบ่งชี้ถึงความวิตกของนักลงทุน และความผันผวนในตลาด) ขณะที่ราคาทองในประเทศยังไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่เหนือระดับ 54,800 บาท ในวันที่ 22 เมษายน 2568 เนื่องจากยังคงถูกค่าเงินที่แข็งค่าขึ้นกดดัน
แม้ราคาทองคำจะเป็นขาขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยงจากการซื้อ-ขายเก็งกำไรเช่นกัน ดังนั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจให้ดี