xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

วิวัฒนาการระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญของสวีเดน (51): “สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ค.ศ. 1680” การสถาปนาอำนาจนำของราชาธิปไตย (the Primacy of Monarchy)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

คนแคระบนบ่ายักษ์
ไชยันต์ ไชยพร

โครงการใหญ่โครงการสุดท้ายในรัชสมัยของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ด คือ การแก้กฎหมายแห่งแผ่นดิน (Land Law) มีการหยิบยกวาระดังกล่าวขึ้นในที่ประชุมสภาฐานันดรปี ค.ศ.1686 ถึงแม้ว่าวาระดังกล่าวดูจะริเริ่มขึ้นภายในเหล่าฐานันดรเอง แต่ก็เชื่อได้ว่า Lindschöld เป็นผู้ผลักดันวาระดังกล่าว การแก้กฎหมายแห่งแผ่นดิน (Land Law) เป็นเรื่องใหญ่ เนื่องจากทัศนะของประชาชนสวีเดนที่อยู่ในกรอบคิดสมัยใหม่ช่วงต้นและอนุรักษ์นิยมเป็นประชากรส่วนใหญ่ ที่มองว่า “ความเปลี่ยนแปลง” หมายถึงการเสื่อมถอยเท่านั้น ซึ่งในกรณีคือการทำลายเสถียรภาพของระเบียบทางสังคมการเมืองที่มีอยู่และกระทบต่อสิทธิเสรีภาพที่มีที่ทางที่ชัดเจนในลำดับศักดิ์ด้วย 


ดังจะเห็นได้ว่าฐานันดรชาวนาเป็นกลุ่มที่ต่อต้านการปรับแก้กฎหมายแห่งแผ่นดินอย่างรุนแรงที่สุด การแก้กฎหมายแห่งแผ่นดินยังมีข้อพิจารณาพิเศษใน หมวดพระมหากษัตริย์ (Konunga Balk – The Royal Chapter)ด้วย โดยหมวดดังกล่าวนี้ระบุถึงโครงสร้างการปกครองของราชอาณาจักรและร่างขึ้นตั้งแต่สมัยการปกครองที่พระมหากษัตริย์มาจากการเลือกตั้ง (elective monarchy/ก่อนสมบูรณาญาสิทธิราชย์) และไม่ได้มีการแตะต้องอีกเลย ด้วยทัศนคติอันเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปดังกล่าว การปรับแก้กฎหมายแห่งแผ่นดินจึงมุ่งปรับแก้ภาษาให้เป็นสวิดิชสมัยใหม่และแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายให้สอดรับกับมติ คำสั่งและกฎหมายที่มีขึ้นในภายหลัง ดังที่ที่ประชุมสภาฐานันดร ศาลสูง และรวมถึงพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดได้เน้นย้ำในหลายครั้งหลายโอกาส คณะกรรมาธิการปรับแก้กฎหมายแห่งแผ่นดินที่ตั้งขึ้นดำเนินงานไปได้อย่างเชื่องช้าและไม่สม่ำเสมอ

ทั้งนี้ เพราะบรรดาผู้เชี่ยวชาญจำนวน 12 คนที่เป็นกรรมาธิการอยู่นั้นต่างมีภารกิจราชการอย่างอื่นควบคู่ไปด้วย พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดทรงกดดันและเร่งให้มีความคืบหน้าอยู่หลายครั้ง เนื้อหากฎหมายที่นำมาพิจารณานั้นครอบคลุมทุกมิติของสังคมตั้งแต่ด้านการค้าจนถึงการแต่งงาน ซึ่งแม้ว่าจะมีบุคคลที่คิดอย่างสุดโต่งอยู่บ้าง แต่ที่ประชุมคณะกรรมาธิการโดยรวมก็เน้นหาฉันทามติร่วมกันก่อนที่จะส่งมอบร่างแก้ไขให้สภาบริหารและตุลาการศาลสูงได้พิจารณาและให้ความเห็น ก่อนจะนำมาปรับแก้อีกครั้งเพื่อทูลฯถวายให้พระมหากษัตริย์ทรงพิจารณารับรองเป็นลำดับสุดท้าย

ภารกิจปรับแก้กฎหมายแห่งแผ่นดินใช้เวลานานกว่าที่พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดทรงคาดไว้ และคงด้วยเหตุนี้เองที่พระองค์ทรงหันมายอมรับว่า นโยบายดังกล่าวเป็นนโยบายระยะยาวและพระองค์หมดความสนใจกับนโยบายดังกล่าวนี้ไป ท้ายที่สุดแล้ว กระบวนการปรับแก้ใช้เวลาถึง 48 ปี สิ้นสุดในปี ค.ศ.1734 ส่วนผลการแก้ไขนั้นก็เป็นปรับปรุงให้กฎหมายมีความเป็นระเบียบและเป็นเหตุเป็นผลมากกว่าที่จะแก้ไขปรับเปลี่ยนหลักการพื้นฐาน

กระนั้น ในปี ค.ศ.1696 ระหว่างการปรับแก้ไขกฎหมายแห่งแผ่นดินนั้น พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดทรงมีพระราชประสงค์ให้คณะกรรมาธิการปรับแก้กฎหมายในหมวดพระมหากษัตริย์โดยเร็ว ทั้งนี้ พระองค์คงทรงเริ่มรับรู้ถึงอาการประชวรและคาดการณ์ว่าต้องมีคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ขึ้นอีกครั้งขณะที่มกุฎราชกุมารยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะ ความพยายามในการยืนยันพระราชอำนาจสมบูรณ์ดังกล่าวปรากฎให้เห็นอยู่เรื่อยมาตลอดรัชสมัยของพระองค์ ซึ่งต่างชี้ให้เห็นว่าพระองค์ทรงต้องการยืนยันแก่ประชาชนทั่วราชอาณาจักรว่า พระราชอำนาจของพระองค์นั้นสมบูรณ์และไม่อาจมีการตั้งคำถามท้าทายได้
 
และเป็นที่ชัดเจนว่าพระองค์ให้ความสำคัญกับ “การให้การศึกษาทางการเมือง”   (ให้ความรู้เกี่ยวกับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์) ต่อประชาชนทั้งผ่านโรงเรียน ผ่านศาสนาและผ่านประกาศในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อไขความสับสนในพระราชอำนาจและปลูกฝังความเข้าใจในพันธะหน้าที่ของพสกนิกรที่ดีที่จะต้องเชื่อฟังพระมหากษัตริย์อย่างจงรักภักดี พร้อมกันนี้ พระองค์ยังทรงเชื่อว่าพระราชอำนาจเป็นสิ่งที่ติดตัวความเป็นพระมหากษัตริย์ (personal character of kingship)

 โดยยืนยันว่าองค์พระมหากษัตริย์และราชอาณาจักรไม่อาจแยกออกจากกันได้ อนึ่ง หากพิจารณาพระราชดำรัสและพระราชหัตถเลขาต่าง ๆ แล้วจะพบว่ามีความสับสนในความเข้าใจหลักการอำนาจอธิปไตย เพราะพระองค์ยืนยันถึงพระราชอำนาจอันไม่จำกัดของพระองค์และทรงรับผิดชอบแต่พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แต่อีกด้านหนึ่งพระองค์ก็ยืนยันที่จะเคารพกฎหมายประเพณีการปกครองของสวีเดนในยามสงบและมุ่งรักษาพันธะหน้าที่ที่พระองค์ได้ให้คำสัญญาไว้ต่อพสกนิกรของพระองค์

ในเดือนมีนาคม ค.ศ.1696 พระองค์ทรงมีพระบรมราชโองการให้คณะกรรมาธิการเร่งปรับปรุงแก้ไขกฎหมายแห่งแผ่นดินในหมวดพระมหากษัตริย์ เอกสารที่ Lindschöld เคยร่างไว้ในปี ค.ศ.1687 ถูกนำมาปรับปรุงโดย Gyldenstolpe และเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมาธิการในปี ค.ศ.1696 โดยมีเพียง 12 มาตราจากเดิม 24 มาตรา

 ร่างดังกล่าวมีใจความสำคัญคือ ยืนยันว่าสวีเดนเป็นราชอาณาจักรปกครองด้วยพระมหากษัตริย์ผ่านการสืบราชสันตติวงศ์ พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจสมบูรณ์ไม่มีข้อจำกัดเว้นแต่ต่อพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น พระมหากษัตริย์ทรงสามารถออกคำสั่งและบทบัญญัติใดก็ได้ทั้งทางโลกและทางธรรม, แต่งตั้งบุคคลดำรงตำแหน่งใดได้ทั้งหมด, ให้ฐานันดรศักดิ์แก่บุคคลและรับรองอภิสิทธิแก่ฐานันดร, ประกาศสงครามและสันติภาพ, ควบคุมการเงินสาธารณะ, สามารถเรียกเก็บภาษีได้เมื่อมีความฉุกเฉิน และสามารถพระราชทานและเรียกคืนทรัพย์สินได้ทุกเมื่อ (อันเป็นการตัดแนวคิดว่าด้วยความยินยอมของประชาชนออกจากกฎหมายแห่งแผ่นดิน) จากนั้น ระบุว่าพระราชพินัยกรรม (Royal Testament) ไม่อาจละเมิดได้ กล่าวถึงพันธะหน้าที่การเชื่อฟังและจงรักภักดีของผสกนิกร โดยให้ถือว่าการกระทำ การสบคบคิด การเผยแพร่เอกสาร หรือการกล่าวคำพูดต่อต้านพระราชประสงค์ของพระมหากษัตริย์เป็นการทรยศ สภาบริหารลดบทบาทลงเป็นการให้คำปรึกษาเพียงแต่เมื่อพระมหากษัตริย์มีพระราชประสงค์เท่านั้น การดูหมิ่นที่ปรึกษาส่วนพระองค์ถือเป็นคดีร้ายแรง และละเว้นข้อความที่เคยมีว่าสมาชิกสภาที่ปรึกษาจะต้องเป็นชาวสวีดิชโดยกำเนิดเท่านั้น 

แต่พร้อมกันนี้ Gyldenstolpe ยังได้ร่างคำสัตย์ปฏิญาณสาบานตนสำหรับพิธีบรมราชาภิเษกไว้อีกด้วย โดยมีเนื้อหาสอดคล้องไปกับประเพณีการปกครองเดิมคือ  จะผดุงรักษาคริสต์ศาสนาที่แท้, จะพิทักษ์ความยุติธรรมและปราบปรามความอยุติธรมทั้งมวล, จะปกป้องสิทธิและทรัพย์สินตามกฎหมายของพสกนิกร, จะปกครองด้วยคำแนะนำของสภาบริหาร ประกอบไปกับคำสัตย์ปฏิญาณที่เกี่ยวกับทรัพย์สินของราชอาณาจักรและการเก็บภาษี 

ความขัดแย้งอย่างชัดเจนระหว่างตัวบทกฎหมายก่อนหน้าที่ให้พระราชอำนาจอย่างสมบูรณ์กับคำสัตย์ปฏิญาณที่จำกัดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจนสามารถมองได้ว่าเป็นกลลวงให้ประชาชนทั่วไปเมื่อรับทราบคำสัตย์ปฏิญาณพระองค์ของพระมหากษัตริย์ จะสบายใจได้ว่าสวีเดนยังคงมีหลักนิติธรรมอยู่
 
ร่างแก้ไขกฎหมายดังกล่าวถูกเผยแพร่ให้กับผู้ว่าการจังหวัดและตุลาการศาลสูง ข้อถกเถียงสำคัญประการหนึ่งคือการถกเถียงในประเด็นโทษประหารชีวิตทั้งครอบครัวต่อคดีทรยศแผ่นดิน นอกจากนั้นแล้ว ความเห็นส่วนใหญ่คล้อยไปในทางที่เห็นด้วย ซึ่งคงเป็นเพราะบุคคลดังกล่าวล้วนเป็นบุคคลที่สนับสนุนระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และมีประสบการณ์โดยตรงที่ดีกับการปกครองดังกล่าว ผู้ว่าการบางคนเลือกที่จะไม่ให้ความเห็นในรายละเอียด และมีความเห็นที่สำคัญที่ควรกล่าวถึง ได้แก่
1.ผู้ว่าการจังหวัด Gotland ที่มองว่าร่างกฎหมายยังคงเป็นการจำกัดพระราชอำนาจอยู่และเสนอให้มีข้อความที่ประกาศพระราชอำนาจอันสมบูรณ์ไม่มีข้อจำกัดใด ๆ ทั้งสิ้นอย่างตรงไปตรงมามากกว่านี้

และ 2.ผู้ว่าการจังหวัด Vadstena แสดงความกังวลถึงความเป็นไปได้ที่สวีเดนจะมีพระมหากษัตริย์เป็นชาวต่างชาติที่ไม่รู้วัฒนธรรมและประเพณีการปกครองของราชอาณาจักร โดยเสนอให้เรียกประชุมสภาฐานันดรเพื่อขอความเห็นต่อการปรับแก้กฎหมาย และแสดงความกังวลว่าการให้พระราชอำนาจในการประกาศสงคราม โดยเฉพาะการประกาศสงครามเพื่อรุกรานประเทศอื่น ที่จะเป็นการนำพาอันตรายมาสู่ราชอาณาจักร

จากการพิจารณาความเห็นที่รวบรวมมาได้ คณะกรรมาธิการปฏิเสธที่จะแก้ไขร่างกฎหมาย ปัดทิ้งข้อกังวลของผู้ว่าการ Vadstena มีแต่เพียงประเด็นการสืบราชสันตติวงศ์โดยสตรีที่ทูลฯ ถวายให้พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้วินิจฉัย และคณะกรรมาธิการก็มีมติให้นำร่างกฎหมายทูลเกล้าฯให้พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดทรงพิจารณา แต่กระนั้น ร่างกฎหมายแห่งแผ่นดินในหมวดพระมหากษัตริย์ไม่สามารถผ่านกระบวนการอย่างลุล่วงเพราะพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดทรงประชวรด้วยโรคมะเร็งกระเพาะอาหารในเดือนมีนาคมและสวรรคตอย่างรวดเร็วในเดือนเมษายนปี ค.ศ.1697

ฉะนั้น ร่างกฎหมายดังกล่าวจึงถูกพักไว้จนกระทั่งถูกหยิบมาพิจารณาอีกครั้งในปี ค.ศ.1715 และได้มีการชี้ให้เห็นความลักลั่นในร่างกฎหมายดังกล่าว และมีการเสนอความเห็นว่า พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจอันไม่จำกัดอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมีการอธิบายแจกแจง และเหล่าพสกนิกรก็ต่างมีพันธะหน้าที่ในการเชื่อฟังพระราชประสงค์ของพระองค์อย่างจงรักภักดี

อนึ่ง น่าสนใจว่าอภิชนบางคนที่สนับสนุนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างแข็งขันในกระบวนการแก้ไขกฎหมายแห่งแผ่นดินในหมวดพระมหากษัตริย์ กลับกลายเป็นฝ่ายที่คัดค้านระบอบการปกครองสมบูรณาญาสิทธิราชนฺและเข้าร่วมการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองในปี ค.ศ. 1718 อันนำไปสู้ระบอบการปกครองที่มีความแตกต่างไปจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์โดยสิ้นเชิงในปี ค.ศ.1718
(โปรดติดตามตอนต่อไป)


กำลังโหลดความคิดเห็น