xs
xsm
sm
md
lg

การเมืองไทยภายใต้ความไม่แน่นอนชั่วคราว ฉากทัศน์และเส้นทางสู่การเลือกตั้งใหม่ / Phichai Ratnatilaka Na Bhuket

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"

"ในการเมือง ไม่มีสิ่งใดที่เป็นนิรันดร์ นอกจากความเปลี่ยนแปลงเท่านั้น"

การเมืองไทยในช่วงต้นเดือนกันยายน 2568 ได้เข้าสู่จุดเปลี่ยนผันที่สำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์การเมืองร่วมสมัย เมื่อกลไกรัฐธรรมนูญและพลวัตทางการเมืองได้บรรจบกันในลักษณะที่สร้างสถานการณ์ความไม่แน่นอนอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน สถานการณ์นี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความอ่อนแอเชิงโครงสร้างของระบบการเมืองไทย แต่ยังเผยให้เห็นถึงความซับซ้อนของการต่อรองอำนาจในยุคที่สถาบันทางการเมืองต้องปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป

 สถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้นในวันที่ 4 กันยายน 2568 นับเป็นเหตุการณ์ที่มีนัยสำคัญต่อวิวัฒนาการของระบอบประชาธิปไตยไทย เมื่อพระราชกฤษฎีกายุบสภาที่เสนอโดยนายภูมิธรรม เวชยชัย ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี จากพรรคเพื่อไทยถูกตีกลับโดยองคมนตรีอย่างไม่คาดคิด การตีกลับดังกล่าวไม่เพียงแต่สร้างความตกใจให้แก่แวดวงการเมือง แต่ยังเป็นการเปิดเผยถึงพลวัตของอำนาจที่ซับซ้อนในระบบการเมืองไทย

ความล้มเหลวของกระบวนการยุบสภาได้เปิดช่องทางให้รัฐสภาสามารถดำเนินการเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ในวันที่ 5 กันยายน นายอนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากพรรคประชาชนแบบมีเงื่อนไข มีเสียงสนับสนุนราว 280 เสียง พอที่จะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ในรูปแบบรัฐบาลเสียงข้างน้อย (minority government) ชั่วคราว ทิศทางการเมืองภายใต้รัฐบาลนี้คาดว่าจะมีความไม่มั่นคงสูง เนื่องจากเป็นรัฐบาลผสมจาก 7 พรรคเล็ก ๆ รวมเพียง 146 เสียงหลักไม่รวมเสียงสนับสนุนจากพรรคประชาชน

การก่อตัวของรัฐบาลใหม่นี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในภูมิทัศน์ทางการเมืองไทย ที่บรรดาพรรคการเมืองต้องปรับกลยุทธ์และแนวทางการดำเนินงานให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทางการเมืองที่มีความไม่แน่นอนสูง รัฐบาลอนุทินจึงเกิดขึ้นมาไม่ใช่จากแรงสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากฐานประชาชน แต่เป็นผลผลิตของการเจรจาต่อรองทางการเมืองและการประนีประนอมระหว่างกลุ่มทางการเมืองที่ดำรงอยู่

 รัฐบาลที่นำโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล มีลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากรัฐบาลในอดีต เนื่องจากการก่อตัวที่อยู่บนพื้นฐานของเงื่อนไข 5 ข้อที่เข้มงวดจากพรรคประชาชน ซึ่งถือเป็นพรรคที่มีบทบาทเป็น "คิงเมกเกอร์" ในการเมืองไทยช่วงนี้ เงื่อนไขเหล่านี้ โดยเฉพาะการที่ต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน (คาดว่าจะเป็นช่วงมกราคม 2569) และข้อห้ามมิให้พยายามรวบรวมเสียงเพิ่มเติมจนกลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก นั้น เป็นการสร้างกรอบการทำงานที่จำกัดอำนาจของรัฐบาลอย่างเป็นระบบ

 ข้อจำกัดเหล่านี้ทำให้รัฐบาลอนุทินเปรียบเสมือน "รัฐบาลภายใต้การกำกับ" (supervised government) ที่ถูกควบคุมจากภายนอกโดยพรรคประชาชน การที่พรรคประชาชนสงวนสิทธิ์ในการถอนการสนับสนุนได้ทันทีหากรัฐบาลผิดสัญญา นั้น สะท้อนถึงความไม่มั่นคงเชิงโครงสร้างที่แฝงอยู่ในรัฐบาลนี้

การมีอำนาจบริหารที่จำกัดและมีกรอบเวลาที่ชัดเจน ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานและความยั่งยืนของนโยบายสาธารณะ อีกทั้งยังเป็นการทดสอบความสามารถของระบบการเมืองไทยในการปรับตัวเข้ากับรูปแบบรัฐบาลที่มีลักษณะเฉพาะและไม่เคยมีมาก่อน

ในแง่การขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลต้องเผชิญกับอุปสรรคของการมีสถานะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ที่ทำให้การผ่านร่างกฎหมายสำคัญหรือการอนุมัติงบประมาณขนาดใหญ่เป็นไปได้ยาก หากไม่ได้รับความร่วมมือจากพรรคประชาชน และการที่รัฐบาลมีกรอบเวลาการทำงานเพียง 4 เดือนยิ่งทำให้การขับเคลื่อนนโยบายระยะยาวเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น สถานการณ์นี้อาจส่งผลให้รัฐบาลต้องมุ่งเน้นไปที่นโยบายที่สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและมีผลกระทบเชิงสัญลักษณ์มากกว่าผลกระทบเชิงสาระ

ในมิติของการรับรู้ของนักลงทุน ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เกิดขึ้นอาจส่งผลเสียต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งมักมองหาเสถียรภาพทางการเมืองเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจลงทุน การมีรัฐบาลที่มีความไม่มั่นคงและอยู่ภายใต้แรงกดดันที่หลากหลาย อาจทำให้นักลงทุนเลื่อนการตัดสินใจลงทุนออกไป จนกว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นภายหลังการเลือกตั้งใหม่

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอนุทินอาจใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาสั้นๆ นี้ในการสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกผ่านนโยบายที่เข้าถึงประชาชนได้โดยตรง และการแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารประเทศภายใต้สถานการณ์ที่ท้าทาย ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อการสร้างฐานเสียงสำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไป

 การตัดสินใจของพรรคประชาชนในการสนับสนุนรัฐบาลอนุทินแบบ "ไม่ร่วมรัฐบาล" นับเป็นกลยุทธ์ทางการเมืองที่ชาญฉลาดและมีการคิดไว้ล่วงหน้า การรักษาตำแหน่งเป็นพรรคนอกรัฐบาลช่วยให้พรรคประชาชนสามารถรักษาภาพลักษณ์ในฐานะ "พรรคปฏิรูป" และ "ทางเลือกใหม่" ที่ไม่ถูกโยงกับปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่รัฐบาลบริหารประเทศ

 ยิ่งไปกว่านั้น พรรคประชาชนยังสามารถใช้บทบาทนี้ในการควบคุมและกำกับการทำงานของรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากรัฐบาลอนุทินไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง เช่น การไม่ยุบสภาตามกำหนดเวลา หรือการพยายามขยายอำนาจเกินกว่าที่ตกลงกันไว้ พรรคประชาชนสามารถถอนการสนับสนุนได้ทันที ซึ่งจะนำไปสู่การล่มสลายของรัฐบาลโดยทันที

พรรคประชาชนจึงอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจต่อรองสูง และสามารถใช้อิทธิพลนี้ในการกำหนดทิศทางการเมืองไทยในระยะสั้นได้อย่างมีนัยสำคัญ บทบาทใหม่นี้อาจเป็นการสร้างรูปแบบการเมืองแนวใหม่ที่พรรคการเมืองสามารถมีอิทธิพลต่อรัฐบาลโดยไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมรัฐบาล

ด้านพรรคเพื่อไทยในฐานะพรรคที่มีจำนวนส.ส. 141 เสียง และอยู่ภายใต้อิทธิพลของนายทักษิณ ชินวัตร มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นฝ่ายค้านที่ดุดันและแข็งกร้าว การที่พรรคเพื่อไทยถูกผลักดันออกจากตำแหน่งอำนาจในลักษณะที่ไม่คาดคิดนั้น อาจเป็นแรงผลักดันให้พรรคนี้ใช้กลยุทธ์การเป็นฝ่ายค้านที่เข้มข้นและต่อเนื่อง

กลยุทธ์หลักของฝ่ายค้านคาดว่าจะรวมถึงการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2568 โดยจะเน้นการโจมตีในประเด็นเศรษฐกิจที่ยังคงซบเซา ปัญหาความตึงเครียดชายแดนที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข และข้อครหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความโปร่งใสในการเลือก ส.ว. รวมถึงประเด็นกรณี "เขากระโดง" ที่ยังคงเป็นประเด็นร้อนในสังคม

นอกจากกลไกทางรัฐสภาแล้ว พรรคเพื่อไทยยังสามารถใช้ประโยชน์จากกลไกศาลรัฐธรรมนูญในการเพิ่มแรงกดดันต่อรัฐบาล การใช้กลไกทางกฎหมายและศาลในการต่อสู้ทางการเมืองได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการเมืองไทยสมัยใหม่ ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นคงของรัฐบาลอนุทินอย่างมีนัยสำคัญ

การมีฝ่ายค้านที่แข็งแกร่งและมีประสบการณ์ในการขับเคลื่อนประเด็นทางการเมืองนั้น อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้รัฐบาลอนุทินต้องเผชิญกับความท้าทายที่หลากหลายและต่อเนื่อง ซึ่งจะทดสอบความสามารถในการบริหารประเทศภายใต้แรงกดดันทางการเมืองที่สูง

รัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะ  "รัฐบาลเสียงข้างน้อยชั่วคราว" เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์การเมืองไทยมาก่อน การก่อตัวภายใต้ข้อจำกัดเชิงสถาบันที่เข้มงวด แรงกดดันจากฝ่ายค้านที่มีประสิทธิภาพ และการกำกับจากพรรคประชาชนในฐานะพันธมิตรที่มีเงื่อนไข ทำให้รัฐบาลนี้มีลักษณะเฉพาะที่สะท้อนถึงความซับซ้อนของการเมืองไทยสมัยใหม่

ความไม่มั่นคงของรัฐบาลนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงจากปัจจัยด้านจำนวนเสียงในรัฐสภาเท่านั้น แต่ยังเป็นผลจากปัจจัยเชิงโครงสร้างและวัฒนธรรมทางการเมืองที่ซับซ้อน ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนแปลงในความคาดหวังของประชาชนต่อประสิทธิภาพของรัฐบาล ความโปร่งใสในกระบวนการทางการเมือง และความสามารถในการตอบสนองต่อความท้าทายของสังคมไทยในศตวรรษที่ 21


สำหรับฉากทัศน์ทางการเมืองที่อาจเกิดขึ้นอนาคตอันใกล้นี้มี 3 ประการ ดังนี้

ฉากทัศน์ที่ 1 หากรัฐบาลอนุทินสามารถดำรงอยู่ได้ครบ 4 เดือนและยุบสภาตามข้อตกลง การเลือกตั้งใหม่ที่จัดขึ้นในช่วงต้นปี 2569 อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของระบบการเมืองไทย โดยพรรคประชาชนมีโอกาสสูงที่จะกลายเป็นพรรคใหญ่และนำรัฐบาลใหม่ การเปลี่ยนผ่านนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ในการเมืองไทยที่มีความมั่นคงและทิศทางที่ชัดเจนกว่า

ฉากทัศน์ที่ 2 หากรัฐบาลอนุทินล่มสลายก่อนครบ 4 เดือน ไม่ว่าจะเป็นผลจากการถอนการสนับสนุนของพรรคประชาชน หรือจากแรงกดดันทางการเมืองอื่น ๆ อาจทำให้เกิดการเลือกตั้งเร็วขึ้นและดำเนินไปตามกระบวนการประชาธิปไตย หรืออาจทำให้การเมืองไทยเข้าสู่ภาวะวิกฤตและไม่แน่นอนที่รุนแรงกว่าเดิม ซึ่งอาจมีการแต่งตั้งรัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรีในลักษณะพิเศษในการแก้ไขสถานการณ์

ฉากทัศน์ที่ 3
มีความเป็นไปได้ที่ภายใต้แรงกดดันของสถานการณ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจหรือความมั่นคง อาจมีการเจรจาเพื่อขยายเวลาการทำงานของรัฐบาลหรือการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขเดิม แต่สถานการณ์นี้มีโอกาสเกิดขึ้นน้อย เนื่องจากพรรคประชาชนได้วางตำแหน่งและความน่าเชื่อถือของตนเองไว้กับการปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัด

ประสบการณ์ของรัฐบาลอนุทินจะเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับวิวัฒนาการของประชาธิปไตยไทย ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว ประสบการณ์นี้จะช่วยให้เข้าใจถึงขีดจำกัดและศักยภาพของระบบการเมืองไทยในการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด และอาจเป็นแรงผลักดันให้เกิดการปฏิรูประบบการเมืองในทิศทางที่เหมาะสมกับบริบทของสังคมไทยในอนาคต

 การเมืองไทยจึงกำลังเดินเข้าสู่ช่วงของ "ความไม่แน่นอนที่มีโครงสร้าง" ซึ่งแม้จะมีความไม่แน่นอนสูง แต่ก็มีกรอบและเงื่อนไขที่ชัดเจน การเลือกตั้งใหม่ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่อาจกำหนดโฉมหน้าการเมืองไทยในทศวรรษหน้า และเป็นการทดสอบความสามารถของสังคมไทยในการใช้กระบวนการประชาธิปไตยแก้ไขปัญหาและสร้างเสถียรภาพทางการเมือง


กำลังโหลดความคิดเห็น