เป็นที่ยอมรับกันมานานแล้วว่า หนึ่งในดัชนีที่สามารถชี้วัด “สถานการณ์เศรษฐกิจของไทย” ว่า “ดี” หรือ “ร้าย” ก็คือ “ยอดจำหน่ายรถกระบะ” และ “รถจักรยานยนต์” ซึ่งที่ผ่านมาเป็นที่รับรู้กันว่า “ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ” จนเกิดคำถามว่า หลังจากผ่านไป 7 เดือนคือตั้งแต่มกราคมถึงกรกฎาคม มีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นหรือแย่ลงอย่างไร
ทั้งนี้ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้เปิดตัวเลขการผลิต การส่งออกและการจำหน่าย “รถกระบะ” ในเดือนกรกฎาคม 2568 และพบว่า ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยยอดการผลิตรถกระบะขนาด 1 ตัน อยู่ที่ 527,149 คัน ลดลง 3.20% ในขณะที่รถกระบะ BEV มีการผลิตแล้ว 134 คัน เพิ่มขึ้น 100% ส่วนยอดขายในประเทศ รถกระบะขายได้ 10,968 คัน ลดลง 16.70% ต่อเนื่องยาวนานกว่า 30 เดือนติดต่อกัน จากปัจจัยเศรษฐกิจภายในประเทศและหนี้ครัวเรือนสูง ส่งผลให้สถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ
กระนั้นก็ดี สิ่งที่ต้องจับตาก็คือ ตลาดยานยนต์ไทยเดือนกรกฎาคม 2568 เดินหน้าเข้าสู่ยุคใหม่ที่รถยนต์ไฟฟ้ากลายเป็นพระเอก หลังราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้นกระตุ้นความต้องการของผู้บริโภค ดันยอดขายรถยนต์นั่งโดยเฉพาะ BEV เติบโตแรง อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่ก็ยังไม่สามารถฉุดรั้งภาพรวมอุตสาหกรรมให้ฟื้นตัวได้อย่างที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ต้องลุ้นกันว่า เป้าหมาย 600,000 คันในปี 2568 จะสัมฤทธิ์ผลหรือไม่ อย่างไร
สุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยสถานการณ์ในภาพรวมว่า
เดือนกรกฎาคม 2568 มีการผลิตรถยนต์ทั้งหมด 110,616 คัน ลดลง 15.06% จากเดือนมิถุนายน และลดลง 11.39% จากปีก่อนหน้า โดยกลุ่มรถยนต์นั่งลดลงถึง 16.61% จากการเลิกผลิตบางรุ่นเพื่อส่งออก แต่หากเจาะกลุ่ม BEV พบว่ายังพุ่งขึ้น 553.99% ขณะที่ HEV ลดลงเล็กน้อย 3.86% และ ICE ร่วงแรงกว่า 31.80%
ในรอบ 7 เดือนแรก (มกราคม – กรกฎาคม 2568) ยอดผลิตรวมอยู่ที่ 835,331 คัน ลดลง 5.73% โดยผลิตเพื่อส่งออก 549,113 คัน ลดลง 9.05% ขณะที่ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 286,218 คัน เพิ่มขึ้น 1.37% สะท้อนตลาดภายในประเทศยังพอมีแรงหนุนจาก EV
ด้านยอดขายในประเทศ เดือนกรกฎาคม 2568 มียอดขายรถยนต์ 49,102 คัน เพิ่มขึ้น 5.84% จากปีก่อน แม้ลดลงเล็กน้อยจากเดือนมิถุนายน โดยรถยนต์นั่งและตรวจการณ์ขายได้ 31,988 คัน เพิ่มขึ้น 15.33% จากปีที่แล้ว และเป็นสัดส่วนสูงถึง 65.15% ของยอดขายรวม โดยรถ BEV กลายเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก มียอดขาย 9,250 คัน เพิ่มขึ้นถึง 35.33% ขณะที่ PHEV โตแรง 316.88% และ HEV โต 16.09% ตรงกันข้าม รถ ICE เหลือเพียง 11,547 คัน ลดลง 2.45% สะท้อนการเปลี่ยนรสนิยมผู้บริโภคอย่างชัดเจน
สำหรับยอดขายสะสม 7 เดือนแรกปีนี้อยู่ที่ 351,796 คัน ลดลง 0.74% แต่ BEV พุ่งขึ้น 56.99% และ PHEV โตทะลุ 316% สวนทาง ICE ที่ลดลงกว่า 11%
สุรพงษ์เปิดเผยต่อไปว่า การส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 72,439 คัน ลดลง 13.27% จากปีก่อน โดยกลุ่ม ICE ร่วงแรงถึง 38.58% เหลือ 16,145 คัน แต่ไทยได้บันทึกประวัติศาสตร์ใหม่จากการส่งออก BEV ทั้งรถนั่งและกระบะรวม 167 คัน ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นในปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม การส่งออก 7 เดือนแรกยังคงหดตัวรวม 11.74% อยู่ที่ 531,796 คัน มูลค่าลดลง 13.97% มาอยู่ที่ 361,224.05 ล้านบาท แม้ชิ้นส่วนและอะไหล่ยังคงโต
ส่วนยานยนต์ไฟฟ้า เดือนกรกฎาคม มียานยนต์ BEV จดทะเบียนใหม่ 12,124 คัน เพิ่มขึ้น 45.51% โดยรถยนต์นั่งพุ่งแรง 77.21% ส่วน HEV จดทะเบียนใหม่ 11,815 คัน ลดลงเล็กน้อย 0.61% สะท้อนการเปลี่ยนทิศตลาดที่ BEV กลายเป็นตัวหลักชัดเจน รวม 7 เดือนแรก BEV จดทะเบียนใหม่แล้ว 81,179 คัน เพิ่มขึ้น 35.08% ขณะที่ HEV อยู่ที่ 84,128 คัน ทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน
อย่างไรก็ตาม ยอดขายที่ลดลงเป็นเพราะความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อรถกระบะจากหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง และเศรษฐกิจในประเทศที่ยังขยายตัวในอัตราต่ำ 2.8% ในไตรมาส 2/2568 การลงทุนของเอกชนเติบโตแค่ 4.1% สาขาอุตสาหกรรมเติบโตแค่ 1.7% นักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนลดลงมาก ทำให้สาขาพักแรมและอาหารเติบโตเพียง 2.1% คงต้องติดตามการลงทุนของเอกชน การท่องเที่ยว และการบริโภคภาคเอกชนต่อไป คาดหวังงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 จะช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตมากขึ้นจากปัจจุบัน
ทีนี้ ก็มาถึง “รถจักรยานยนต์” กันบ้าง ซึ่งสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ระบุว่า อุตสาหกรรมสองล้อไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง ยอดส่งออกพุ่ง 21.3% สะท้อนความแข็งแกร่งของตลาด แม้ว่าชิ้นส่วนบางประเภทจะชะลอตัวก็ตามที กล่าวคือ เดือนกรกฎาคม 2568 ผลิตรถจักรยานยนต์ได้ทั้งสิ้น 201,812 คัน เพิ่มขึ้น 12.63% จากเดือนกรกฎาคม 2567 แยกเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) 165,235 คัน เพิ่มขึ้น 9.47 % จากปี 2567 ชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (CKD) 36,577 คัน เพิ่มขึ้น 29.57% จากปี 2567
ยอดการผลิตรถจักรยานยนต์สะสม เดือนมกราคม – กรกฎาคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,471,758 คัน เพิ่มขึ้น 6.93% จากปี 2567 โดยแยกเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) 1,207,227 คัน เพิ่มขึ้น 5.39% จากปี 2567 ชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (CKD) 264,531 คัน เพิ่มขึ้น 14.59% จากปี 2567
สำหรับยอดขายเดือนมกราคม - กรกฎาคม 2568 รถจักรยานยนต์ มียอดขายสะสม 1,050,623 คัน เพิ่มขึ้น 1.80% จากเดือนมกราคม - กรกฎาคม 2567 ส่วนเฉพาะเดือนกรกฎาคม 2568 รถจักรยานยนต์ มียอดขาย 144,458 คัน ลดลง 6.39% จากเดือนกรกฎาคม 2567 แต่เพิ่มขึ้น 2.05% จากเดือนกรกฎาคม 2567
เมื่อสถานการณ์ตลาดยานยนต์ไทยดำเนินไปในลักษณะนี้ จึงเป็นคาดหมายสงครามราคาจะถูกนำมาใช้ในการปั้นยอดขายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งก็จะเห็ฯว่า หลายค่ายมีการขยับปรับโครงสร้างราคาขายต่ำลง หรือในช่วงที่มีการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ก็นำเสนอโปรโมชันลดราคากันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ไม่ว่าจะเป็นค่ายอีวีจีนหรือค่ายญี่ปุ่น ที่เห็นได้ชัดคือ “ค่ายโอมาดา แอนด์ เจคู(ประเทศไทย) จำกัด ที่เปิดตัว JAECOO 5 นำเข้าจากจีนด้วยการลดราคาลงมาถึง 80,000 บาททำให้ยอดจองถล่มทลาย เรียกว่า สั่นสะเทือนทั้งคู่แข่งอีวีสัญชาติเดียวกัน และค่ายญี่ปุ่นที่เป็นเจ้าตลาดเดิมอยู่ไม่น้อยจนต้องทำให้ราคาเข้าถึงง่ายตามไปด้วย
ดังนั้น ก่อนจะถึงสิ้นปี 2568 จึงนับเป็นช่วง “เวลาทองของผู้บริโภค” ที่จะได้ใช้รถราคาถูก เพียงแต่จะถูกพอจนตัดสินใจควักเงินในกระเป๋าออกมาใช้ในช่วงเศรษฐกิจย่ำแย่หรือไม่ ไม่อาจประเมินสถานการณ์ได้แน่ชัด.