ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ความจริงที่ถูกปกปิดและปล่อยปะละเลยมานาน กระทั่ง “ฝีแตก” ในปี 2568 ก็คือ ความจริงที่ “บ้านหนองจาน” จ.สระแก้ว และความจริงที่ “ช่องอานม้า” จ.อุบลราชธานี
เป็นความจริงที่ทำให้ดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทยถูกกัมพูชายึดครองอย่างหน้าด้านๆ โดยความยินยอมพร้อมใจของ “นักการเมืองไทย” ที่มีอำนาจบริหารราชการแผ่นดินและ “ทหารไทย(บางคน)” ที่ทำมาหากินอยู่และแสวงหาผลประโยชน์อันมิชอบ บริเวณชายแดนไทยด้านตะวันออก
โดยเฉพาะที่ “บ้านหนองจาน” ซึ่งยากที่ปฏิเสธการดำรงของสิ่งที่เรียกว่า “ดีลบูรพา” ได้
เปลือยความจริงที่ “บ้านหนองจาน”
“บ้านหนองจาน” ตั้งอยู่ที่ ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว รอยต่อแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ระหว่างหลักเขตแดนที่ 46 และ 47 เป็นแนวชายแดนที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของ “กองทัพภาคที่ 1” ซึ่งวันนี้มี “บิ๊กใหญ่-พลโท อมฤต บุญสุยา” เป็นแม่ทัพ
อย่างไรก็ดี ต้องบอกว่า ความพิเศษของพื้นที่บ้านหนองจานนอกจากเป็นค่ายผู้ลี้ภัยกัมพูชาแล้ว ยังเป็นที่ตั้งของกองกำลังเขมรเสรี ที่ซ่องสุมกำลัง เพื่อตอบโต้รัฐบาลเฮงสัมริน ที่เป็นรัฐบาลหุ่นเชิดของเวียดนามในเวลานั้นอีกด้วย
ดังนั้น จึงได้รับการสนับสนุนจากชาติตะวันตก ในฐานะหมู่บ้านที่ทำหน้าที่รัฐกันชน และทำหน้าที่แลนด์บริดจ์ในการสนับสนุนอาหาร ยารักษาโรค และเครื่องอุปโภคบริโภคให้กับคนกัมพูชาในเวลานั้น แถมยังเคยทำหน้าที่เป็นจุดพักอาวุธ ที่ได้รับการสนับสนุนจากจีนและอเมริกา ให้กับกลุ่มเขมรเสรี
บ้านหนองจานเป็นที่สนใจของคนไทยทั้งประเทศหลังทหารไทยวางลวดหนามหีบเพลงปิดกั้นบริเวณจุดผ่านแดนเพื่อสกัดกั้นชาวเขมรรุกล้ำอธิปไตยของไทย แล้วชาวเขมรที่อาศัยอยู่ในฝั่งตรงข้ามแสดงความไม่พอใจ ขอให้ทหารไทยเปิดทางและนำรั้วออก พร้อมกล่าวอ้างว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นดินแดนของตน ทั้งๆ ที่บริเวณดังกล่าวคือดินแดนของราชอาณาจักรไทย และความจริงควรจะวางลึกเข้าไปมากกว่านั้นเสียด้วยซ้ำไป
คำถามก็คือแล้วทำไมรัฐไทยถึงปล่อยให้คนกัมพูชามาตั้งถิ่นฐานบ้านช่องอยู่ในดินแดนของประเทศตนเองเป็นเวลานานหลายสิบปี โดยมิได้มีมาตรการขับไล่ออกไป
คำตอบอยู่ตรงสิ่งที่เรียกว่า “ดีลบูรพา”
“พลตรี วินธัย สุวารี” โฆษกกองทัพบก เล่าถึงปูมหลังของบ้านหนองจานว่า ในอดีตเมื่อครั้งเกิดสงครามการสู้รบภายในกัมพูชาในปี พ.ศ.2520 รัฐบาลไทยในขณะนั้นได้ให้ราษฎรกัมพูชาอพยพลี้ภัยเข้ามาอยู่ในเขตประเทศไทยเป็นการชั่วคราว เพื่อแสดงถึงความมีน้ำใจและเห็นแก่หลักมนุษยชน แต่เมื่อสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ พบว่ามีราษฎรกัมพูชาบางส่วนไม่ยอมเดินทางกลับประเทศ ยังคงพักอาศัยในพื้นที่ของประเทศไทย
พร้อมย้ำว่า การติดตั้งแนวรั้วลวดหนามในบริเวณพื้นที่ต่างๆ ไม่ใช่การวางเพื่อระบุแนวเส้นเขตแดน เป็นเพียงการวางแนวเครื่องกีดขวางในการรักษาความปลอดภัยให้กำลังพล โดยเฉพาะป้องกันการลักลอบเข้ามาใช้อาวุธทุ่นระเบิดเพื่อทำร้ายฝ่ายไทย และเป็นลักษณะเสริมความมั่นคง ต่อที่วางกำลังของหน่วยทหารเท่านั้น
ขณะเดียวกัน โฆษกกองทัพบกยังเปิดเผยด้วยว่า ฝ่ายกัมพูชาละเมิดข้อตกลงในพื้นที่อ้างสิทธิ์ โดยการสนับสนุนให้ราษฎรมาสร้างถิ่นฐานอย่างถาวร ทั้งในบริเวณพื้นที่อ้างสิทธิ์ และนอกบริเวณพื้นที่อ้างสิทธิ์ในฝั่งประเทศไทย ซึ่งกองทัพบก โดยกองกำลังบูรพา ได้ดำเนินการประท้วงร้องเรียนฝ่ายกัมพูชาในเวทีต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งระดับหน่วยทหารในพื้นที่ และผ่านกระทรวงการต่างประเทศ ตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปัจจุบัน แต่ฝ่ายกัมพูชากลับนิ่งเฉย ไม่มีการชี้แจงในรายละเอียด หรือแก้ไขใดๆ จึงยืนยันได้ว่าฝ่ายไทยได้ใช้การแก้ปัญหาโดยสันติวิธีมาตลอด
ทันทีที่รับฟังคำชี้แจงของกองทัพบกจบ เลือดรักชาติของคนไทยก็พุ่งปรี๊ดทันทีด้วยไม่เข้าใจว่า ทำไมที่ผ่านมาถึงยอมให้กัมพูชาทำเช่นนั้น ทำไมไม่ใช่กำลังผลักดันออกไป แถมยังปล่อยให้คนกัมพูชาเข้ามาปลูกสร้างบ้านเรือนในดินแดนของไทยมากถึง 200 ครัวเรือน
ขณะที่เมื่อไปสอบถามความเห็นจาก “นายภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งสวมบทเป็นรักษาการนายกรัฐมนตรีในห้วงยามที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ “แพทองธาร ชินวัตร” หยุดปฏิบัติหน้าที่จากกรณีคลิปเสียงสนทนากับ “ฮุน เซน” ก็ได้รับคำตอบว่า “ปัญหาชาวกัมพูชาสร้างบ้านในไทยต้องรอเจรจา...ยันไทยยึดข้อตกลง ใครอยู่ตรงไหนให้อยู่ตรงนั้น”
นั่นทำให้ไม่สามารถปฏิเสธสิ่งที่เรียกว่า “ดีลบูรพา” ได้อีกเช่นเคย
“ดีลบูรพา” คืออะไร ผู้ที่จะฉายภาพได้ดีที่สุดคงหนีไม่พ้น “วีระ สมความคิด” ที่เคยถูกจับบริเวณบ้านหนองจานเพื่อพิสูจน์ว่า ที่ตรงนั้นเป็นดินแดนของไทย
วีระตั้งคำถามเอาไว้อย่างดุเดือดว่า กองทัพภาคที่ 1 ว่า กำลังทำอะไรอยู่ ในช่วงการสู้กับกัมพูชา ทำไมจึงไม่บุกยึดคืนพื้นที่จากกัมพูชาให้ได้ตามแผนที่ 1 ต่อ 50,000 เหมือนที่กองทัพภาคที่ 2 พยายามบุกยึดคืนมาให้ได้ทุกพื้นที่ และมีรายงานว่าช่วงสู้รบนั้น มีการเจรจากันระหว่างผู้นำทหารทั้งสองฝ่าย โดยบอกว่าไม่ต้องรบกัน แต่ฝ่ายไทยขอให้ทหารกัมพูชาถอยออกไป เพื่อไม่ให้ทหารไทยในพื้นที่นี้ถูกครหาว่าไม่ทำอะไร ซึ่งฝ่ายกัมพูชาก็ถอยพอเป็นพิธี ไม่ถอยให้สุดแนวตามหลักเขตที่ 45-46-47 ที่อยู่ลึกเข้าไป
“บริเวณบ้านหนองจาน เป็นพื้นที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์เรื่องการค้าขายของเถื่อน สำหรับพ่อค้าที่ต้องการหนีภาษีจากด่านบ้านหาดเล็ก-ปอยเปตที่เป็นด่านทางการ ก็จะหลบมาที่บ้านหนองจาน ซึ่งมีจุดผ่านแดนชั่วคราว ทั้งสองฝ่ายผลัดเปลี่ยนกันดูแล และมีการขนของเถื่อนกันในช่วงตั้งแต่ 6 โมงเย็นเป็นต้นไป นี่จะเป็นสาเหตุที่ทหารทั้งสองฝ่ายไม่ต้องการปะทะกันในพื้นที่บริเวณนี้หรือไม่”นายวีระตั้งคำถามเกี่ยวกับหนองจานเอาไว้อย่างน่าสนใจ
นอกจากนี้ เมื่อย้อนกลับไปตรวจสอบเหตุปะทะระหว่างไทยกับกัมพูชาก่อนที่จะมี “การหยุดยิง” ก็จะพบว่า การปะทะเกิดขึ้นเฉพาะในเขตพื้นที่ความรับผิดชอบของ “กองทัพภาคที่ 2 “ ภายใต้การนำของ “แม่ทัพกุ้ง-พลโท บุญสิน พาดกลาง” อย่างที่นายวีระว่าไว้ โดยสามารถตีโต้ฝ่ายกัมพูชาจนถอยร่นกลับเข้าไปในเขตแดนตัวเองถึง 11 จุด เหลือเพียงตัว ปราสาทตาควาย ที่สุ่มเสี่ยงและเวลาไม่พอ ทำให้ต้องยอมปล่อยให้ทหารกัมพูชาเข้าไปวางกำลัง และบังเกอร์ในตัวปราสาท
ขณะที่พื้นที่ความรับผิดชอบของ “กองทัพภาคที่ 1” ภายใต้การนำของ “แม่ทัพใหญ่-พลโท อมฤต บุญสุยา” ไม่มีการปะทะ และไม่มีความสูญเสียของทั้งสองฝ่าย จนสังคมร้องเอ๊ะว่า มีอะไรในกอไผ่หรือไม่ อย่างไร เพราะสงบเงียบอย่างไม่น่าเป็นไปได้ กระทั่งเกิดกรณีปัญหาเรื่องการวางแนวรั้วลวดหนามที่บ้านหนองจานขึ้น รวมทั้งตัว พลโท อมฤตเองก็แทบจะไม่ปรากฏเป็นข่าวให้เห็นสักเท่าไหร่เช่นกันแม้จะเป็นที่รับรู้ว่าใน “ยุทธการยุทธบดินทร์” นั้น เขามีบทบาทสำคัญอยู่ไม่น้อย
เอกสารชี้แจงของ “กองทัพภาคที่ 1” ระบุว่า “ตามที่กองทัพบกได้ชี้แจงถึงปัญหาการรุกล้ำอธิปไตยของไทยในพื้นที่บ้านหนองจาน ตำบลโนนหมากมุ่น อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว โดยมีการตั้งถิ่นฐานของชาวกัมพูชา และการเข้ามาของกำลังฝ่ายตรงข้ามนั้น ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 (ศปก.ทภ.1) โดยกองกำลังบูรพา ได้ปฏิบัติภารกิจตามที่กองทัพบกมอบหมาย เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม ศปก.ทภ.1 เริ่มปฏิบัติภารกิจเมื่อวันที่ 26-28 กรกฎาคม 68 ได้ดำเนินการผลักดันกำลังทหารฝ่ายตรงข้าม และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทางทหารที่รุกล้ำเข้ามาในเขตแดนของไทย โดยยึดถือแผนที่ 1:50,000 เป็นหลักในการปฏิบัติภารกิจ ซึ่งขณะปฏิบัติการ ณ ที่หมาย ตรวจพบทหารกัมพูชา และครอบครัว ซึ่งหน่วยได้ผลักดันให้ออกนอกพื้นที่โดยไม่ได้มีการใช้อาวุธแต่อย่างใด หลังจากดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ได้มีการวางแนวรั้วลวดหนามหีบเพลง ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแนวป้องกันทางยุทธวิธีให้กับกำลังพลของฝ่ายเรา ซี่งไม่ใช่การวางเพื่อกำหนดเส้นเขตแดน แต่สามารถควบคุมพื้นที่ และหมู่บ้านชาวกัมพูชาได้ อีกทั้งเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงบริเวณที่ตั้งทางทหาร การป้องกันการลักลอบเข้าเมือง รวมถึงการกระทำผิดกฎหมายในรูปแบบต่างๆ
“การปฏิบัติการทางทหารในครั้งนี้ ได้ดำเนินไปด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากในพื้นที่ปฏิบัติการมีชุมชนและที่พักอาศัยของประชาชนชาวกัมพูชา(บ้านหนองจาน) ประมาณ 200 กว่าหลังคาเรือน ที่รุกล้ำมายังฝั่งไทย ซึ่งขณะที่เข้าปฏิบัติยังคงมีประชาชนชาวกัมพูชาพักอาศัยอยู่ ยังไม่ได้อพยพออกไป ซึ่งแตกต่างจากพื้นที่ ศปก.ทภ.2 ดังนั้นมาตรการป้องกันการบาดเจ็บและสูญเสียทั้งต่อกำลังพลและประชาชนในพื้นที่จึงถูกนำมาใช้และปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
“นอกจากนี้ ศปก.ทภ.1 ยังได้วางรั้วลวดหนามหีบเพลงตามแนวภูมิประเทศในพื้นที่อื่น ๆ เพื่อเป็นมาตรการควบคุมและป้องกันการกระทำผิดกฎหมายข้ามชาติ เช่น อาชญากรรมออนไลน์ (Scammer) และการลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย โดยการวางเครื่องกีดขวางดังกล่าวเป็นไปตามหลักสากล ซึ่งจะต้องมีพื้นที่ว่างระหว่างรั้วทั้งสองฝ่าย เพื่อเปิดช่องทางการติดต่อและเจรจา เพื่อความปลอดภัยของกำลังพลฝ่ายเราที่ต้องสามารถตรวจการณ์พื้นที่ได้ การวางเครื่องกีดขวางนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการจัดระเบียบพื้นที่ชายแดน ซึ่งเริ่มต้นจากการปัญหาในระยะยาว เช่น การอพยพชุมชนออกจากพื้นที่อธิปไตยของไทยนั้น เกินขีดความสามารถทางการทหาร และจำเป็นต้องนำเข้าสู่การหารือ ในที่ประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) และการประชุมระดับรัฐบาลต่อรัฐบาลเพื่อหาทางออกในภาพรวม
“ปัจจุบัน ศปก.ทภ.1 ได้มีการวางแผนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ กรมกิจการชายแดนทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย และจังหวัดสระแก้ว แต่เนื่องจากปัจจุบันอยู่ในระหว่างการปฏิบัติตามข้อตกลง ตามผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 68 ณ ประเทศมาเลเซีย ศปก.ทภ.1 จึงอยู่ในระหว่างรอการปฏิบัติตามคำสั่งของกองทัพบก และรัฐบาล เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ศปก.ทภ.1 ยืนยันที่จะปกป้องอธิปไตยและพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามสายการบังคับบัญชาและหลักสากลอย่างรอบคอบในทุกมิติ”
นั่นคือคำชี้แจงของกองทัพภาคที่ 1 ซึ่งเป็นคำตอบที่อธิบายข้อเท็จจริงได้อย่างกระจ่างแจ้งในระดับหนึ่งเลยทีเดียว
เปลือยความจริงที่ “ช่องอานม้า”
ส่วน “ช่องอานม้า” ตั้งอยู่ที่ ต.โซง อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ได้รับความสนใจเมื่อกองบัญชาการกองทัพไทย โดยกรมข่าวทหาร จัดให้คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observer Team: IOT) จาก 8 ประเทศสมาชิกอาเซียน ได้แก่ บรูไน มาเลเซีย ลาว อินโดนีเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนาม รวมทั้งสิ้น 14 นาย โดยมีผู้ช่วยทูตทหารมาเลเซียประจำประเทศไทยเป็นหัวหน้าคณะ เดินทางลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของกองกำลังสุรนารี (กองทัพภาคที่ 2) ระหว่างวันที่ 18–20 สิงหาคม 2568 และปรากฏว่า มีทหารกัมพูชาเข้ามาขัดขวาง ซึ่งสร้างความสงสัยให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ กองทัพบกพยายามอธิบายถึงประเด็นร้อนแรงเรื่อง “ทำไม? ถึงมีทหารทั้ง 2 ฝ่ายอยู่ในพื้นที่” เอาไว้ว่า ทหารไทยยึดเส้นปฏิบัติการ โดยเส้นปฏิบัติการจะลากผ่านตรงกลางอนุสาวรีย์ตาอมเลย ซึ่งไทยและกัมพูชามีข้อตกลงในการปฏิบัติงานให้แต่ละฝ่าย อยู่ห่างจากเส้นปฏิบัติการอย่างน้อย 200 เมตร โดยทางฝั่งไทย จะมีฐานปฏิบัติการแดนไกล ตั้งอยู่บริเวณนั้น แต่ที่ผ่านมาในพื้นที่ตรงนี้ ที่เป็นเสมือน BUFFER ZONE นี้ (ฝั่งละ 200 ม.) ไม่ควรจะมีสิ่งปลูกสร้าง ไม่มีควรจะมีใครเข้ามาอยู่อาศัยกลับมีตลาดชุมชนของคนกัมพูชาเข้ามาค้าขาย ตั้งสิ่งปลูกสร้างและขยายชุมชนขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งไทยก็ได้พยายามผลักดันมาตลอด
อย่างไรก็ดี ในการปะทะครั้งล่าสุด ไทยจัดการพื้นที่ตรงนี้ได้อนุสาวรีย์ตาอม ที่เป็นจุดแสดง สัญลักษณ์ของกัมพูชา ถูกทำลาย ชุมชนตรงนี้ถูกจัดการให้สิ้นสภาพไปแล้ว ปัจจุบัน พื้นที่ตาอมจึงเป็นการตรึงกำลังของทหารทั้งสองฝ่าย จึงเป็นที่มาว่าทำไมถึงเห็นทหารกัมพูชาเดินไปเดินมา ในบริเวณนั้น
ทว่า ความร้อนแรงเสียยิ่งกว่า เกิดขึ้นเมื่อ “พลตรีณัฏฐ์ ศรีอินทร์” รองแม่ทัพภาคที่ 2 แคนดิเดตแม่ทัพภาคที่ 2 ต่อจาก “บิ๊กกุ้ง-พลโท บุญสิน พาดกลาง” โพสต์เล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่ช่องอานม้าในเฟซบุ๊กส่วนตัว “Mammoth S Nutt” โดยจั่วหัวเอาไว้ว่า “ช่องอานม้า…ความจริงมีหนึ่งเดียว”
รองแม่ทัพภาคที่ 2 ให้รายละเอียดเอาไว้ว่า “ช่องอานม้า ต.โซง อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เป็นช่องเขาลักษณะคล้ายอานม้า เดิมเป็นช่องทางธรรมชาติชักลากไม้นำเข้าจากฝั่งกัมพูชา อ.จอมกระสาน จ.พระวิหาร
“ห้วงสงครามกลางเมืองภายในกัมพูชา ชาวกัมพูชาหลบหนีภัยการสู้รบเข้ามาบริเวณชายแดน ไทยได้เอื้อเฟื้อพื้นที่จัดตั้งศูนย์อพยพตามหลักมนุษยธรรมโดยมีหน่วยงานของสหประชาชาติอำนวยการ หลังการสู้รบเราได้ส่งคืนผู้อพยพกลับประเทศแต่มีส่วนหนึ่งปักหลักตั้งถิ่นฐานอยู่ไม่ยอมกลับ
“ด้วยหลักมนุษยธรรมที่สากลนำมากล่าวอ้างและความไม่เด็ดขาดของเราทำให้ไม่สามารถผลักดันกลุ่มคนเหล่านี้ออกจากพื้นที่ได้หมดและยืดเยื้อจนเป็นปัญหาถึงปัจจุบัน
“ปี 2542 จ.อุบลราชธานี และ จ.พระวิหาร เห็นชอบเปิดช่องอานม้าเป็นจุดผ่อนปรนเพื่อการค้า กำหนดให้ตลาดฝั่งกัมพูชาอยู่บริเวณชุมชนเดิมนี้ ในขณะที่ตลาดฝั่งไทยลึกเข้ามาจากแนวเขตแดนประมาณ 300 เมตร คนกัมพูชาขึ้นมาจับจองพื้นที่ขยายชุมชนจากประมาณ 30 หลัง เป็นกว่า 100 หลังในปัจจุบัน
“ปี 2554 ในขณะมีข้อขัดแย้งพื้นที่เขาพระวิหาร กัมพูชาใช้ห้วงเวลาที่เราติดตรึงการรบแอบสร้างอนุสาวรีย์ตาอม และปรับปรุงมาเรื่อยๆจากแบบชั่วคราวจนเป็นแบบถาวร
“ทั้งการขยายบ้านเรือน/การสร้างอนุสาวรีย์ ฝ่ายทหารได้พยายามแก้ไขด้วยการเจรจาและประท้วงผ่านกลไกทางทหารและกระทรวงการต่างประเทศรวม 65 ครั้ง แต่ฝ่ายกัมพูชาเพิกเฉยซึ่งสร้างความอึดอัดแก่ฝ่ายทหารในพื้นที่เป็นอย่างมาก
“ปี 2555 รัฐบาลสองฝ่ายเห็นชอบให้ยกระดับเป็นจุดผ่านแดนถาวร มีนักลงทุนมาสร้างกาสิโนรอ แต่หน่วยงานความมั่นคงไม่เห็นด้วยยื่นข้อเสนอให้ย้ายชุมชนลงไปด้านล่าง ฝ่ายกัมพูชาไม่ยินยอม ทำให้การยกระดับไม่สามารถดำเนินการได้ ฝ่ายความมั่นคงเห็นว่าในอนาคตจะเกิดปัญหาจึงเสนอขอให้ปิดจุดผ่อนปรนฯ แต่ จ.อุบลราชธานี คัดค้านเนื่องจากเห็นว่าจะกระทบต่อการค้าและการท่องเที่ยวชายแดน”
ทั้งนี้ พลตรี ณัฏฐ์ ทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยว่า “หวังว่าคำกล่าวอ้าง เพื่อมนุษยธรรมและกระทบการค้าและการท่องเที่ยวชายแดน ซึ่งทำให้เราเพิกเฉยต่อประเด็นความมั่นคงแล้วส่งผลให้เกิดปัญหาใหญ่ในระยะยาว จะเป็นบทเรียนให้ทุกภาคส่วนของไทยเราได้ตระหนักและแก้ไขท่าทีทั้งในปัจจุบันและอนาคตครับ”
ถ้าถอดรหัสจากสิ่งที่พลตรีณัฏฐ์เขียนเอาไว้ ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ว่า ในปี 2555 ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” และมี “พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็นผู้บัญชาการทหารบก
และทั้งหมดนั้นคือความจริงที่บ้านหนองจานและช่องอานม้า ซึ่งแสดงให้เห็นชัดว่า เป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์ ส่วนผลประโยชน์จะเข้ากระเป๋าใครบ้าง แน่นอน ไม่มีหลักฐาน ไม่มีใบเสร็จ มีแต่ข้อสงสัย
แต่กระนั้นก็ดี คงต้องย้ำกันอีกครั้งว่า “หัวเชื้อ” ของเรื่องนี้อยู่ที่แผนที่ 1 ต่อ 200000 ที่นักการเมืองไทยตั้งแต่ยุค “ชวน หลีกภัย” ไปยอมรับและต่อมามีการจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาเรื่องการจัดทำเขตแดนทั้งทางบก และทางทะเล หรือ MOU 2543 และ 2544 จากนั้นเรื่อยมาถึงวันนี้ พ.ศ.2568 ผ่านมา 24 ปี 25 ปี กี่รัฐบาลก็ไม่มีใครแก้ปัญหานี้เลย รวมถึงรัฐบาลปัจจุบันคือรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตรจากพรรคเพื่อไทย
โดยเฉพาะใน “ยุคลุง” คือ “พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี กุมอำนาจเบ็ดเสร็จหลังการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 แต่กลับไม่ใช้ มาตรา 44 แก้ไขปัญหาชายแดน การถูกล้ำแดน และการละเมิดอธิปไตยของชาติโดยกัมพูชานี้แต่อย่างใด จนสุดท้าย “ฝีปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา” ก็แตกปะทุออกมาเป็นสงครามในปี 2568
เปิดเส้นทางชีวิต “พลโท อมฤต”
“บูรพาพยัคฆ์” สายตรง “ลุงตู่”
กล่าวสำหรับ พลโท อมฤต นั้น ถือเป็นหัวขบวนนายทหารเสือราชินีคอแดง ตท.27 คนเดียวที่โดดเด่น เป็นนายทหารที่เติบโตมาจาก “ร.21 รอ.” เป็นอดีตผู้การกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ร.21 รอ.) เคยเป็น “อดีตผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (ผบ.พล. ร 2 รอ.) ตามรอย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตผู้การ ร.21 รอ.-ผบ.พล. ร 2 รอ.-แม่ทัพภาคที่ 1 และ ผบ.ทบ.อย่างไม่มีผิดเพี้ยน
แต่นอกจากความเป็น “บูรพาพยัคฆ์” แล้ว ที่ต้องขีดเส้นใต้ก็คือ เมื่อไปสืบประวัติของ พลโทอมฤต ก็ทำให้ได้รับรู้ว่า เขาคือหนึ่งใน “สายตรงลุงตู่” อย่างไม่อาจปฏิเสธความจริงได้ เพราะให้การสนับสนุนพลโท อมฤต มาตลอด ในฐานะที่เป็นหนึ่งในทีมฝ่ายเสธฯ และทีมรปภ.ของพลเอกประยุทธ์
ว่ากันว่า เส้นทางการเติบโตของ พล.ท.อมฤต ทั้งตำแหน่งผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ตำแหน่งรองแม่ทัพภาคที่ 1 และตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 1 มี “ลุงตู่” ให้การสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ เป็นที่รับรู้กันในแวดวงทหารว่า แม่ทัพภาคที่ 1 นั้นมีความสำคัญยิ่ง เพราะไม่ว่าใครก็ตามที่เข้ามาสู่ตำแหน่งนี้ ย่อมมีโอกาสก้าวขึ้นไปถึงเก้าอี้ “ผู้บัญชาการทหารบก” แทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์
ตามเส้นทางที่วางเอาไว้ พลโทอมฤต มีโอกาสจ่อขยับจากแม่ทัพภาคที่ 1 เข้าไลน์ “5 เสือทบ.” ในตำแหน่ง “ผู้ช่วย ผบ.ทบ.” เพื่อต่อคิวเป็นหนึ่งในแคนดิเดต ผบ.ทบ.คนต่อไปจาก “บิ๊กปู-พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์” ที่จะเกษียณอายุราชการในปี 2570
แต่ก็มีการวิเคราะห์กันว่า หลังศึกไทย-กัมพูชา สถานการณ์ของพลโทอมฤตอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน