ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - “ผมกำลังจะถูกให้ออกจากราชการ”
การเปิดประเด็นด้วยประโยคที่ทำให้คนทั้งประเทศต้องหันกลับมามองของ “นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ” ประธานชมรมแพทย์ชนบท ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง “ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสะบ้าย้อย” จังหวัดสงขลา ถือเป็นเรื่องร้อนในแวดวงสาธารณสุขซึ่งไม่อาจมองข้ามได้
ที่สำคัญคือ หมอสุภัทร ประกาศชัดเจนว่า ผู้ที่กาหัวเขาก็คือ “นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ” ปลัดกระทรวงสาธารณสุข คนปัจจุบัน
โดยต้นสายปลายเหตุของเรื่องก็คือ “การจัดซื้อชุดตรวจโควิด” ที่รู้จักกันในชื่อ ATK ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ขณะที่ นพ.สุภัทร ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ จังหวัดสงขลา พร้อมกับระดมผองเพื่อนในชมรมแพทย์ชนบทเข้ามาช่วยรับมือการแพร่ระบาดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งขณะนั้นต้องยอมรับว่า เข้าขั้นวิกฤติ
แน่นอน ความจริงที่ต้องค้นหาก็คือ ความผิดรุนแรงถึงกับจะต้องให้ นพ.สุภัทร ออกจากราชการเชียวหรือ และกระแสของสังคมแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย โดยฝ่ายแรกไม่เห็นด้วยกับกระทรวงสาธารณสุข พร้อมลุกขึ้นมาอยู่เคียงข้างนพ.สุภัทร เป็นจำนวนมาก ทั้งผู้คนในแวดวงสาธารณสุขเอง ทั้งผู้คนที่อยู่ในแวดวงอื่น ๆ ที่เห็นว่า “ทำเกินกว่าเหตุ”
ขณะเดียวกัน ก็ต้องยอมรับว่า มีฝ่ายตรงข้ามที่เปิดประเด็นโจมตี นพ.สุภัทรอยู่ไม่น้อย แถมเสียงวิจารณ์ยังรุนแรงถึงขั้นกล่าวหาว่า ทำตัวเป็นหมอเทวดาที่ไม่มีใครแตะต้องได้หรืออย่างไร โดยเฉพาะเมื่อมีข้อเสนอจากฝ่ายหนุนว่า ให้ย้ายนพ.โอภาส พ้นจากเก้าอี้ปลัดสธ.” เพื่อเลี่ยงอคติที่มีต่อ นพ.สุภัทร
นอกจากนี้ ยังมีการตั้งคำถามถึงการออกมาเปิดประเด็นเรื่องให้ออกจากราชการของ นพ.สุภัทรว่า เป็นการใช้กระแสสังคมสนับสนุนตนเองหรือไม่ อย่างไร
ด้านเจ้ากระทรวงหมอคนปัจจุบันคือ “นพ.สมศักดิ์ เทพสุทิน” ก็ให้สัมภาษณ์อย่างคนเจนจัดทางการเมืองว่า “บางทีเราไม่ได้โกง ไม่ได้ทุจริต แต่ผิดระเบียบ ทางราชการก็ถือว่าผิด ซึ่งได้ยกตัวอย่างให้สภาฟังว่า เคยให้หน่วยงานกระทรวงฯ หนึ่งเขียนเรื่องว่า อะไรที่ไม่ก่อประโยชน์ส่วนตัว แต่ก่อประโยชน์ส่วนรวม ทั้งนี้ ไม่ได้ขอระเบียบครบถ้วนก็จะมีความผิด ตรงนี้ก็มีความพยายามจัดทำระเบียบเพื่อให้เอื้อคนทำงาน แต่ร่างยังไม่เสร็จ เรื่องยังไม่จบ มีความเห็นหลากหลาย ความเห็นคนเดียวจะชี้ถูกผิดไม่ได้ จึงต้องเลือกตามกฎหมายที่ตราไว้อย่างไร ก็เป็นแบบนั้น”
“ส่วนผลสอบสวนวินัยร้ายแรงคือ ให้ออกจากราชการจริงหรือไม่นั้น ไม่มีใครทราบ เป็นเรื่องของคณะกรรมการฯ ยังเป็นความลับอยู่ แต่คนเอามาพูด แสดงว่าไปแอบดูก็ถือว่าผิดอีก ดังนั้น อย่าเพิ่งใจร้อน”
อย่างไรก็ดี มีข้อมูลหนึ่งที่น่าสนใจโดยเปิดออกมาจาก “สำนักข่าวอิศรา” ว่า ในช่วงวันที่ 30 พ.ย. - 22 ธ.ค. 2564 โรงพยาบาลจะนะ โดยนายสุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล ปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ออกประกาศผู้ชนะการเสนอราคา จัดซื้อชุดตรวจ Rapid Test โดยเฉพาะเจาะจง จากเอกชน บริษัท นำวิวัฒน์การช่าง (1992) จำกัด รวมทั้งสิ้น 4 ครั้ง รวม 34,159 ชุด เป็นเงินทั้งสิ้น 7,856,570 บาท (ข้อมูลเบื้องต้น) จำแนกตามประกาศ ดังนี้
1.ประกาศ ฉบับวันที่ 7 ธ.ค. 2564 จำนวน 8,695 ชุด 1,999,850 บาทผู้ได้รับการคัดเลือก ได้แก่ บริษัท นำวิวัฒน์การช่าง (1992)จำกัด (ส่งออก,ให้บริการ,ผู้ผลิต) โดยเสนอราคา เป็นเงินทั้งสิ้น 1,999,850.00 บาท
แต่พบว่า มีการทำสัญญาก่อนในวันที่ 25 ตุลาคม 2564
2. ประกาศฉบับวันที่ 30 พ.ย.2564 จำนวน 8,695 ชุด 1,999,850 บาท ผู้ได้รับการคัดเลือก ได้แก่ บริษัท นำวิวัฒน์การช่าง (1992) จำกัด โดยเสนอราคา เป็นเงินทั้งสิ้น 1,999,850.00 บาท
แต่พบว่า มีการทำสัญญาก่อนในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2564
3 ประกาศฉบับวันที่ 22 ธ.ค.2564 ชุดตรวจ Standard Q Covid 19 Ag test จำนวน 8,695 ชุด ผู้ได้รับการคัดเลือก ได้แก่ บริษัท นำวิวัฒน์การช่าง (1992)จำกัด (ส่งออก,ให้บริการ,ผู้ผลิต) โดยเสนอราคา เป็นเงินทั้งสิ้น 1,999,850.00 บาท
แต่พบว่า มีการทำสัญญาก่อนในวันที่ 9 ธันวาคม 2564
4. ประกาศฉบับวันที่ 22 ธันวาคม 2564 ชุดตรวจ Standard Q Covid-19 Ag Test จำนวน 8,074 ชุด ผู้ได้รับการคัดเลือก ได้แก่ บริษัท นำวิวัฒน์การช่าง (1992)จำกัด (ส่งออก,ให้บริการ,ผู้ผลิต) โดยเสนอราคา เป็นเงินทั้งสิ้น 1,857,020.00 บาท
ครั้งนี้ ประกาศผู้ชนะวันเดียวกับวันทำสัญญา
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การจัดซื้อชุดตรวจโควิด จำนวน 4 ครั้ง ในจำนวนนี้ 3 ครั้ง เป็นการทำสัญญาจัดซื้อก่อน ออกประกาศผู้ชนะตามหลัง โดยจำนวนและวงเงินเท่ากัน 3 ครั้ง และประกาศผู้ชนะวันเดียวกับวันทำสัญญา 1 ครั้ง ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด
ขณะที่ นพ.สุภัทร ชี้แจงผ่าน “สำนักข่าวอิศรา” ถึงกรณีการทำสัญญาจัดซื้อก่อน ว่าในช่วงโควิด ได้มีการนำชุดตรวจ ATK มาก่อน แล้วจึงดำเนินการทำสัญญาย้อนหลัง ซึ่งกว่าจะถึงกระบวนการทำเอกสารก็ล่วงเลยเวลาไปแล้ว เนื่องจากสถานการณ์โควิดที่อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ระบาดหนักช่วงเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นเหตุการณ์ฉุกเฉิน และทางบริษัทฯ ก็วุ่นวายในส่วนของเขา ทำให้ต่างคนต่างไม่ได้ทำเอกสาร
“กระบวนการจัดทำเอกสารทั้งหมดเป็นกระบวนการทำในภายหลังทิ้งสิ้น ไม่เกี่ยวกับปฏิบัติการที่เกิดขึ้น โดยมีการใช้จริง ตรวจรับจริง แต่ในการทำเอกสารย้อนหลัง กลับใช้ระบบเอกสารของการจัดซื้อปกติ ลงข้อมูล E-gp ย้อนหลัง ซึ่งไม่ถูกอยู่แล้ว ในความเป็นจริงลูกน้องก็งง ๆ ลูกน้องก็ถามว่าต้องลงข้อมูลในระบบหรือไม่ ผมก็ตอบไม่ถูก แต่ก็ให้ลงข้อมูลเพราะจุดประสงค์ของระบบคือเพื่อให้เกิดความโปร่งใสว่า มีการจัดซื้อเท่าไหร่ จะได้เปรียบเทียบกับเพื่อนได้ในอนาคต แต่พอลงข้อมูลไปแล้วมีปัญหาเรื่องวัน เพราะวันไม่ตรงกับวันที่ซื้อจริง ตรวจรับจริง ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด” นพ.สุภัทร กล่าว
การจัดซื้อที่ขยักขย่อน ทางคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงของหมอสุภัทร จึงตั้งประเด็นว่าเป็นการแบ่งซื้อแบ่งจ้าง และตั้งข้อสงสัยว่าทำไม่ไม่จัดซื้อทีเดียว หมอสุภัทรก็แก้ต่างว่าไม่ทราบต้องซื้อกี่ชิ้น เป็นการจัดซื้อตามหน้างาน เพราะออกปฏิบัติการช่วยเหลือประชาชนแบบไม่จำกัดจำนวน ไม่รู้ตัวเลขล่วงหน้า เมื่อไม่พอก็ซื้อเพิ่ม และวิธีการจัดซื้อจัดจ้างไม่แตกต่างกับกรมควบคุมโรค รพ.พระนั่งเกล้า และรพ.สนาม บุษราคัม ณ ขณะนั้น
พร้อมกับยกระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ข้อ 20 วรรคสอง ระบุว่า กรณีใดจะแบ่งซื้อแบ่งจ้าง ให้พิจารณาวัตถุประสงค์ในการซื้อหรือการจ้างครั้งนั้น และความคุ้มค่าของทางราชการเป็นสำคัญ ตามหลักการของระเบียบนี้ให้ดูเจตนาและดูว่าเกิดความเสียหายต่อรัฐหรือไม่ รัฐเสียประโยชน์หรือไม่
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วงนั้น ภาคสาธารณสุขของไทยต้องรับมือกับโรคโควิดที่ระบาดราวกับ “ห่าลง” อย่างชุลมุนชุลเก ฉุกละหุกกันไปหมดทุกหย่อมหญ้า อาจเป็นได้ที่การจัดซื้อจัดหาชุดตรวจโควิดของ “หมอสุภัทร” ไม่ได้ยึดเอาระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างให้ถูกต้องตรงเป๊ะ เพราะของต้องรีบใช้ตามความเร่งด่วนตามจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นจำนวนมากในแต่ละวัน
…พิจารณารายละเอียดจากคำชี้แจงของ “นพ.สุภัทร” แล้ว ฟังขึ้นหรือไม่ เป็นสิ่งที่ต้อง “คิด วิเคราะห์และแยกแยะ” อย่างถี่ถ้วน
กระก็ดี จุดที่ไม่อาจมองข้ามได้ก็คือคำว่า “ระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างของทางราชการ” เพราะคือกฎกติกาที่ไม่อาจยกเว้นได้ และในอดีตที่ผ่านมาข้าราชการหลายคนก็ตายน้ำตื้นในเรื่องดังกล่าวอยู่ไม่น้อย ดังนั้น ถ้าหากการจัดหาชุดตรวจโควิดของ “หมอสุภัทร” ดำเนินการโดยไม่ถูกต้อง ก็เป็นเรื่องที่จะต้องถูกตรวจสอบได้เช่นกัน ไม่มียกเว้น เพราะเป็นเงินของแผ่นดิน บาทหนึ่งก็เงินแผ่นดิน หรือ 7 ล้านกว่าบาทที่จัดซื้อชุดตรวจโควิด
ที่สำคัญคือ ไม่ว่าหมอสุภัทร จะผิดหรือไม่อย่างไรก็ว่ากันไปตามกฎระเบียบข้อกฎหมาย ทางกระทรวงสาธารณสุข ที่ตั้งคณะกรรมการฯ ขึ้นมาสอบสวน ก็ต้องมีคำตอบที่ชัดเจนให้สังคมถึงความผิดที่ “หมอสุภัทร” กระทำ และความผิดนั้นมีโทษหนักเบาสถานใด หากมีความสมเหตุสมผลที่อิงทั้งหลักนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ และชั่งน้ำหนักดูผลประโยชน์ที่ตกแก่ส่วนรวมหรือไม่แล้ว คงไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ จากสังคม
แต่ถ้าหากทางกระทรวงสาธารณสุข โดยเฉพาะปลัดกระทรวงคนปัจจุบัน คือ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ที่ “หมอสุภัทร” กล่าวอ้างว่า มีธงลงมือจัดการเขาทุกทาง ในฐานะกรวดในรองเท้าของใครบางคนเพื่อหวังให้เงียบอยู่ในโอวาท ไม่เคลียร์คัทให้ชัดเจนว่าบทลงโทษต่อ “หมอสุภัทร” นั้นมีความหนักแน่นตามข้อกฎหมายและระเบียบปฏิบัติเช่นใด และเอาผิดเสมอหน้ากันถ้วนทั่วกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่จัดซื้อจัดจ้างแบบเดียวกัน หรือไม่ เชื่อว่าสังคมก็จะยังคาใจไม่เลิก
มีข้อสังเกตว่า นับตั้งแต่เกิดประเด็นร้อนแรงขึ้นมา นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปฏิเสธที่จะตอบคำถามสื่อมวลชน
ขณะที่ฟากฝั่ง “หมอสุภัทร” โพสต์เฟซบุ๊กว่า สามปีที่ผ่านมาถูกสธ.ตั้งกรรมการสอบวินัยกว่า 10 เรื่อง แต่ได้แค่ตักเตือน ภาคทัณฑ์ จนกระทั่งมีการสั่งย้ายโดยมิชอบ ให้พ้นจากโรงพยาบาลจะนะ ให้ไปอยู่ที่โรงพยาบาลสะบ้าย้อย พอสั่งย้ายปุ๊บก็ส่งทีมชุดใหญ่เข้ามาตรวจสอบภายในเพื่อขุดหาความผิด พร้อมทั้งให้ข่าวว่าหมอสุภัทร ทุจริต และตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงเรื่องการจัดซื้อ ATK
พร้อมกับเล่าเรื่องแพทย์ชนบทบุกกรุง 3 รอบ ในช่วงกรกฎาคม - สิงหาคม 2564 สิ่งที่ยากที่สุดเป็นจริงอย่างไม่น่าเชื่อ โรงพยาบาลต่าง ๆ อาสาบุกกรุงมาตรวจ ATK 3 รอบ ทีมชุมชนในกทม.แข็งขันจัดการสถานที่จัดคิวอำนวยการทุกอย่าง ความยากที่สุดคือ เราจะต้องจัดซื้อ ATK มาใช้เอง สธ.ไม่มีให้ ในขณะนั้น มาตรฐาน สธ.ยังใช้ RT-PCR แกนนำหลายโรงพยาบาลแบ่งหน้าที่ช่วยกันจัดซื้อ ATK หมอสุภัทร ก็จัดซื้อในนามโรงพยาบาลจะนะ จัดซื้อตามสถานการณ์หน้างานที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ว่า คนมารับการตรวจจะมากหรือน้อย เราจะทำไหวที่จำนวนเท่าไหร่ แต่จุดยืนตอนนั้นคือ ทุกคนที่มารอต้องได้ตรวจ เราตรวจไปทั้งหมด 192,905 คน พบผู้ติดเชื้อและได้จ่ายยาไปมากถึง 22,451 คน
การบุกกรุง 3 ครั้ง โรงพยาบาลจะนะ ทำการจัดซื้อ ATK ไป 5 ครั้ง จึงเปิดช่องให้ตนเอง ถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าจัดซื้อผิดระเบียบ แบ่งซื้อแบ่งจ้าง แต่โรงพยาบาลอื่นที่จัดซื้อในคราวนั้นไม่ถูกสอบสวน และการชี้แจงของตนเองไม่เป็นผล ในเมื่อกรรมการมีธง มีมติให้ออกจากราชการ ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญก่อนเกษียณของปลัดโอภาส ให้ทันก่อน 30 กันยายน 2568 นี้
นอกจากนั้น สิ่งที่น่าตั้งคำถามไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันก็คือ ทำไมโรงพยาบาลจะนะ และ“หมอสุภัทร” จึงเป็นตำบลกระสุนตกเพียงแห่งเดียว ทั้งที่ภารกิจหมอชนบทบุกกรุงช่วยสู้โควิดรอบนั้น มีมาจากหลายโรงพยาบาล ที่สำคัญเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตอบกระทู้ถามสดของนายเทวฤทธิ์ มณีฉาย สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กรณีการเอาผิดวินัยร้ายแรง “หมอสุภัทร” ต่อประเด็นที่ว่า ทำไมไม่สอบ รพ.อื่นด้วยทั้งที่จัดซื้อเหมือนกันว่า “... ถ้า ส.ว. ต้องการให้ตรวจสอบ ก็สามารถทำหนังสือขอให้ตรวจสอบเพิ่มเติมได้”
นายสมศักดิ์ ยังอธิบายเพิ่มเติมหลังการตอบกระทู้ว่า หน่วยงานมีจำนวนมาก การตรวจสอบอาจไม่ได้ครบถ้วน 100% แต่ถ้าหลงเหลือตรงไหน และเห็นมีความผิดอย่างไรก็ช่วยร้องเรียนเข้ามา จะได้มีการตรวจสอบ แต่ไม่ใช่ว่าเรื่องไม่ถูกร้องเรียนจะไม่ตรวจสอบ ซึ่งหากพบการกระทำผิดก็จะถูกตรวจสอบเช่นกัน
อย่างไรก็ดี แม้จะมีคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยจะมีมติให้หมอสุภัทร ออกจากราชการจริง แต่ต้องบอกว่า ขั้นตอนต่อจากนี้ยังมีอีกหลายก๊อก โดยคณะกรรมการฯ จะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดส่งต่อไปยังคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน กระทรวงสาธารณสุข (อ.ก.พ.สธ.) ที่มีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน เพื่อพิจารณาเห็นด้วยตามที่คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยเสนอขึ้นไปหรือไม่ หาก อ.ก.พ.สธ.เห็นด้วย หมอสุภัทร สามารถร้องขอความเป็นธรรม และอุทธรณ์ตามระบบราชการต่อไป
ในระหว่างรอผลสอบนี้ หมอสุภัทร กล่าวว่า จะร้องขอความเป็นธรรมต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งท่าทีของนายสมศักดิ์ พร้อมคุยกับหมอสุภัทร หากต้องการเข้าพบเพื่อขอความเป็นธรรม
ถึงตรงนี้ คงต้องกล่าว่า “ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว” และความผิดของ “หมอสุภัทร” ก็ว่าไปตามผิด กฎระเบียบมีข้อยกเว้นหรือไม่ โทษหนักเป็นเบาหรือเอาเต็มที่ก็ว่ากันไป แต่ฟากฝั่งของปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ก็ต้องมีคำตอบต่อข้อสงสัยของสังคมให้กระจ่างชัดเช่นกัน