ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - จับตาประเด็นสังคายนาการเงินของศาสนสถาน นวัตกรรมบริหารจัดการเงินบริจาคของวัด “ระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ e-Donation” โดย “กรมสรรรพากร” ปิดช่องโหว่ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นในการออกใบอนุโมทนาบัตร เพื่อให้เงินบริจาคของผู้มีจิตศรัทธาเข้าวัดอย่างเป็นระบบ รวมทั้งการจัดการเรื่องภาษีเพื่อนำเงินเข้ารัฐอย่างโปร่งใส และสามารถคืนเงินลดหย่อนภาษีแก่ผู้บริจาคได้เร็วขึ้น มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป
ในที่สุด “ใบอนุโมทนาบัตร” ที่มีปัญหาสั่งสมมาเป็นเวลานานก็ได้รับการแก้ไขเสียที เมื่อ นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร ทำหนังสือด่วนที่สุด ที่ กค. 0713/5793 เรื่อง การพัฒนาวิธีการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการบริจาคให้แก่วัดวาอาราม โดยให้ใช้ระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ของกรมสรรพากร ลงวันที่ 15 ส.ค.2568 ถึงผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) โดยระบุว่า การใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการบริจาคให้แก่วัดวาอาราม ต้องใช้ระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ของกรมสรรพากร เท่านั้น ไม่สามารถนำใบอนุโมทนาบัตรแบบกระดาษ มาหักลดหย่อนภาษีฯ ได้
สาระสำคัญ “กรมสรรพากร” ในฐานะหน่ายงานที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้บริจาคให้แก่วัดวาอาราม ดำเนินการสอดคล้องนโยบายรัฐการพัฒนารัฐบาลดิจิตอล (Digital Government) เพื่อยกระดับบริการภาครัฐให้ประชาชนได้รับความสะดวกและความรวดเร็วเพิ่มขึ้น ได้ดำเนินการปรับปรุงกฎหมาย เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้บริจาคให้แก่วัดวาอาราม มูลนิธิ สมาคม กองทุน และองค์การที่ได้รับการประกาศโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และโปร่งใส โดยไม่ต้องเก็บหลักฐานการบริจาคเป็นกระดาษและได้รับเงินคืนภาษีรวดเร็วมากขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกและลดภาระให้หน่วยรับบริจาค
ทั้งนี้ การปรับปรุงกฎหมายข้างต้นจะเป็นการกำหนดให้การบริจาคให้แก่วัดวาอาราม มูลนิธิ สมาคม กองทุน และองค์การต่างๆ ซึ่งผู้บริจาคได้รับสิทธิหักลดหย่อนเงินบริจาคหรือหักรายจ่ายการบริจาค ต้องใช้ระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ของกรมสรรพากรเท่านั้น โดยผู้บริจาคทั้งที่เป็นบุคคลธรรมดา และที่เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สามารถใช้สิทธิหักลดหย่อนเงินบริจาคหรือหักรายจ่ายการบริจาคดำเนินการอย่างสะดวกรวดเร็วขึ้น โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2569 เป็นต้นไป
และขอความร่วมมือไปยัง “สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)” ในการดำเนินการ ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาทุกวัด ประสานงานไปยังวัดวาอารามทั่วประเทศลงทะเบียนระบบ e-Donation ของกรมสรรพากร
หลังมีการประกาศแนวทางข้างต้นได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ร่วมเป็นประธานการประชุมพระสังฆาธิการวัดพระเชตุพน รับฟังการพัฒนาระบบการบัญชีระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ e-Donation โดยทางวัดพระเชตุพนฯ ได้ดำเนินการ e-Donation อยู่แล้ว ตามมติมหาเถรสมาคม ที่ ๔๙๕/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๘ เรื่องปฏิบัติการเปิดบัญชีเงินฝากธนาคาร การเบิกถอนเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคารของวัด และแนวทางการจัดทำบัญชีรายรับ บัญชีรายจ่าย รายงานเงินคงเหลือของวัด หรือระบบบัญชีมาตรฐานของวัด และงานมูลนิธิ
ขณะที่ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าระบบการบริจาคแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Donation กรมสรรพากรได้ดำเนินการเสร็จสิ้นมาสักระยะหนึ่งแล้ว และอยากให้ใช้ภาคบังคับในต้นปีหน้า หลังจากปัญหาของวงการศาสนาเห็นว่าวิธีหนึ่งที่จะใช้แก้ไขคือการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย เพื่อทำให้ระบบทุกอย่างตรวจสอบได้โปร่งใส
“ขณะนี้มีบัญชีวัดที่ลงทะเบียนไว้กับทางรัฐแล้วกว่า 20,000 วัดทั่วประเทศ ขาดอยู่ประมาณ 4,000 วัด ขอให้วัดที่เหลือเร่งดำเนินการลงทะเบียนกับกรมสรรพากร และในอนาคตหากคนไทยต้องการบริจาคเงินเข้าสู่วัด หากบริจาคด้วยเงินสดหรือใบอนุโมทนาบัตรแบบเก่าจะไม่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้”
นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เปิดเผยว่าแนวทางดังกล่าวของกรมสรรพากร จะช่วยป้องกันการนำใบอนุโมทนาบัตรไปเขียนตัวเลขทำบุญเอง ลดภาระงานในการตรวจสอบใบอนุโมทนาบัตร และลดปัญหาการถวายเงินสดให้วัดด้วย
ปัจจุบันการนำเงินที่ได้บริจาคให้กับทางวัดมาใช้สิทธิหักรายจ่ายฯ จะมีทั้งแบบ e-Donation และการออกใบอนุโมทนาบัตรเป็นกระดาษด้วยมือ อย่างไรก็ดี การออกใบอนุโมทนาบัตรดังกล่าว อาจมีช่องในการทุจริตคอร์รัปชั่นได้
กล่าวสำหรับปัญหาเกี่ยวกับใบอนุโมทนาบัตรที่ผ่านมา เกิดช่องโหว่ในการนำมาไปใช้ประโยชน์ขอคืนภาษีที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงกับยอดบริจาค มีการใช้ใบอนุโมทนาบัตรเป็นเครื่องมือในการหาผลประโยชน์เข้าตัวเอง ยกตัวอย่าง บริจาค 10,000 บาท แต่ขอให้วัดออกใบอนุโมทนาบัตรมากกว่าเงินที่บริจาคจริง มิหนำซ้ำ วัดบางแห่งยังมีการซื้อขายใบอนุโมทนาบัตรกันเพื่อนำไปใช้ในการหักลดหย่อนภาษีอีกด้วย
ขณะเดียวกันกรมสรรพากรพื้นที่แม้จะมีการตรวจสอบกลับไปว่ามีการบริจาคจริงหรือไม่นั้น แต่เป็นไปในลักษณะสุ่มตรวจสอบจึงทำให้ไม่สามารถทำการตรวจสอบละเอียดได้ทุกกรณี อีกทั้ง การตรวจสอบมักจะเป็นการโทรศัพท์ไปสอบถามกับทางวัด หากทางวัดยืนยันว่าจริงก็ถือว่าจบ นอกจากนี้ เรื่องของเอกสารหลักฐานต่างๆ บางวัดไม่ได้จัดทำอย่างเป็นระบบ เมื่อพระยืนยันว่าจริงก็ว่ากัตามนั้น เพราะเชื่อพระไม่มุสาวาทา
ดังนั้น หากทุกวัดใช้ระบบ e-donation จะสร้างความโปร่งใสเป็นธรรมกับทุกฝ่าย วัดไม่ต้องออกใบอนุโมทนาบัตร คนบริจาคไม่ต้องขอจากวัด เงินภาษีเข้ารัฐโดยไม่รั่วไหล รวมทั้ง เป็นการป้องกันการใช้วัดเป็นแหล่งฟอกเงิน สรรพากรจึงกำหนดให้ใช้การบริจาคผ่านระบบ e-Donation
แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีช่องว่างหากการบริจาคด้วยเงินสด ไม่มีการบันทึกระบบบัญชี หรือมีการเปลี่ยนแปลงโยกย้ายเงินดังกล่าวไปเป็นรายการอื่น เป็นเรื่องยากที่จะตรวจสอบ เพราะรัฐไม่มีฝ่ายตรวจสอบตรวจสอบบัญชีวัดเหมือนกับนิติบุคคลทั่วไป
กล่าวสำหรับ “ระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ e-Donation” ไม่ใช่เรื่องใหม่ ย้อนกลับไปปี 2560 กรมสรรพากร พัฒนาระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ e-Donation ออกประกาศกรมสรรพากรกำหนดให้หน่วยรับบริจาค อาทิ ศาสนสถาน, สถานศึกษา ฯลฯ ที่ได้รับเงินบริจาคเงิน หรือทรัพย์สิน ต้องบันทึกข้อมูลการรับบริจาคในระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ e-Donation ดำเนินการลงทะเบียนเพื่อออกหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรตั้งแต่เดือนม.ค. 2561
โดยระบบดังกล่าวไม่เกี่ยวกับการเก็บภาษีวัดและสถานศึกษา เนื่องจากได้รับการยกเว้นภาษีอยู่แล้ว แต่จะเป็นเครื่องมืออำนวยความสะดวกให้ผู้เสียภาษี โดยไม่ต้องรวบรวมหลักฐานใบอนุโมทนาบัตร หรือใบเสร็จ มายื่นขอหักลดหย่อนภาษีจะช่วยให้ได้รับเงินคืนภาษีเร็วขึ้น
ทั้งนี้ การบริจาคผ่านระบบ e-Donation เมื่อมีการสแกนบริจาคเงินแล้ว ข้อมูลก็จะมาขึ้นที่กรมสรรพากรทันที โดยที่ผู้เสียภาษีไม่ต้องเก็บเอกสารหลักฐานต่างๆ เอาไว้อีกแล้ว แต่หากไปบริจาคแล้ว มีแต่ใบอนุโมทนาบัตร ตรงนี้จะได้แต่บุญ แต่ไม่สามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้อีก โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2569 เป็นต้นไป
นับเป็นการสังคายนาเรื่องการเงินของวัดอย่างน่าจับตา โดยแนวทางการปฏิรูปพระพุทธศาสนาการจัดการเงินบริจาคและรายได้ของวัดดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อจัดการปัญหาเรื่องเงินๆ ทองๆ ที่เกิดขึ้นในศาสนสถานอย่างโปร่งใส มีกฎระเบียบต่างๆ กำหนดไว้เพียงแต่ไม่ได้นำมาบังคับใช้กันอย่างจริงจัง
ยกตัวอย่าง ข้อบังคับการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายวัดในประเทศไทย มีมาตั้งแต่ปี 2511 กำหนดในกฎกระทรวงฉบับ 2 ออกความตามในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ปี 2505 ให้วัดที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องจัดทำบัญชีรายรับรายจ่าย โดยส่งข้อมูลให้เจ้าคณะปกครองปีละ 1 ครั้ง ก่อนปรับเปลี่ยนในปี 2550 เพิ่มข้อบังคับการส่งข้อมูลให้กับสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด อ้างอิงข้อมูล ปี 2558 มีวัดจำนวนกว่า 41,000 แห่ง แต่มีวัดที่ส่งรายงานทางการเงินไม่ถึง 20,000 แห่ง หรือไม่ 50% เป็นผลมาจากระบบการทำบัญชีของวัดยังไม่ได้มาตรฐานและไม่มีการบังคับส่งรายงาน
หรือเรื่องการนำส่งภาษีจากการว่าจ้างผู้รับเหมาก่อสร้างที่มาบูรณะวัด ทางวัดก็ต้องหักภาษีเงินได้จากผู้รับเหมาก่อน เนื่องจากวัดมีสถานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย แล้วจึงค่อยนำส่งกรมสรรพากร ตรงนี้วัดก็ไม่ได้เสียประโยชน์ใดๆ เพิ่มเติม เพียงแต่ที่ผ่านมานั้นฆราวาสที่เข้ามาช่วยดูแลทางวัดอาจไม่มีความรู้ในเรื่องเหล่านี้เพียงพอ รวมไปถึงทางสรรพากรก็ไม่ได้เคร่งรัดในเรื่องเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม ทางภาครัฐมีความพยายามในการจัดการเงินบริจาคและรายได้ของวัดอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจากเสวนาเรื่อง “ระบบธรรมาภิบาลวัด : จะสร้างได้อย่างไร?” โดย อ.ณดา จันทร์สม จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ผู้บุกเบิกการศึกษาเรื่องการเงินวัด ระบุว่าตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา ทางมหาเถรสมาคมเริ่มขยับ มีการออกมติมหาเถรสมาคมครั้งที่ 18/2558 เรื่องการจัดทำรายงานการเงินของวัด (บัญชีรายรับ-รายจ่าย) และจำนวนวัดที่มีฐานข้อมูลศาสนสมบัติ เพื่อให้วัดนำส่งบัญชีรายรับรายจ่ายให้ทางสำนักพุทธฯ ปรากฎว่าส่งน้อยมากมีเพียงแค่หลักร้อย
ต่อมา ปี 2564 ได้มีการออกกฎกระทรวงว่าด้วยการดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติของวัด เพื่อมาแทนที่กฎกระทรวงเก่าเมื่อปี 2511 มีวัตถุประสงค์เพื่อวางแนวทางการบริหารทรัพย์สินวัดให้มีมาตรฐานซึ่งจะมีรายละเอียด เช่น จะต้องมีการลงทะเบียนทรัพย์สินวัด แจ้งการใช้ประโยชน์ที่ดินวัดกับ พศ. และให้มหาเถรอนุมัติ และห้ามวัดถือครองเงินสดเกิน 100,000 บาท หรือต้องเอาไปฝากธนาคาร เพราะกลัวนำเงินไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง และให้มีการจัดทำบัญชีวัดทุกปี ฯลฯ ทว่า ข้อกำหนดเหล่านี้ไม่ได้แก้ไขปัญหาพื้นฐาน เช่น การจัดทำบัญชีเบิกจ่ายอาจจะไม่มีการบันทึกรายการจริงได้ เกิดปัญหาข้อกำหนดปฏิบัติใช้ยาก
รวมทั้ง มีมติมหาเถรสมาคม ที่ 495/2568 เรื่อง แนวปฏิบัติการเปิดบัญชีเงินฝากธนาคาร การเบิกถอนเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคารของวัด และแนวทางการจัดทำบัญชีรายรับ บัญชีรายจ่าย รายงานเงินคงเหลือของวัด หรือระบบบัญชีมาตรฐานของวัด
อาทิ กำหนดแนวปฏิบัติในการเปิดบัญชีเงินฝากธนาคาร การเบิกถอนเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคาร และการเก็บรักษาบัญชีเงินฝากธนาคารของวัด จัดทำบัญชีรายรับ บัญชีรายจ่ายของวัด และรายงานเงินคงเหลือของวัดหรือ ระบบบัญชีมาตรฐานของวัด กำหนดให้วัดทุกวัดพิจารณาใช้ระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) มาใช้สำหรับรองรับข้อมูลการรับบริจาคตามความเหมาะสมของวัด เป็นต้น
กล่าวสำหรับ ระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ e-Donation ของ กรมสรรรพากร ที่ระบุชัดถึงการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการบริจาคให้แก่วัดวาอาราม ต้องใช้ระบบ e-Donation เท่านั้น และไม่สามารถนำใบอนุโมทนาบัตรแบบกระดาษมาหักลดหย่อนภาษีฯ ได้ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2569 เป็นต้นไป
การเปลี่ยนผ่านจาก “ใบอนุโมทนาบัตร” สู่ระบบบริจาค “e-Donation” นับเป็นหนึ่งในแนวทางสังคายนาปัญหาการเงินภายในวัด ทั้งยังจัดการเรื่องลดหย่อนภาษีอำนวยความสะดวกแก่ผู้บริจาค เป็นกลไกสร้างความโปร่งใสกอบกู้วิกฤตศรัทธาพุทธศาสนิกชนในยุคดิจิทัล