xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

โกกั้ง (17) การเผชิญหน้ากับจีน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ในปี 2015 ชาวโกกั้งต้องอพยพออกจากพื้นที่หลังเกิดการปะทะกับรัฐบาลทหารพม่า -- Agence France-Presse/Ye Aung Thu.
ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล

 การที่ชาวโกกั้งจำนวนหลายหมื่นหนีภัยการสู้รบเข้าไปยังพื้นที่ของจีนนั้น เป็นเรื่องที่จีนไม่เคยพานพบมาก่อนตั้งแต่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ใน ค.ศ.1949 เรื่อยมา จะมีก็แต่ชาวจีนที่อพยพออกจากแผ่นดินใหญ่ด้วยความกลัวระบอบคอมมิวนิสต์ ดังนั้น การที่ชาวโกกั้งหนีภัยเข้ามาจึงถือเป็นเรื่องใหม่ 


เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ.2009 โดยที่ก่อนหน้านั้นหนึ่งเดือนจีนต้องเผชิญกับการจลาจลที่ซินเจียง จนมีชาวอุยกูร์และชาวจีนเสียชีวิตในจากเหตุนี้หลายร้อยคน ในที่นี้จะขอกล่าวถึงจลาจลดังกล่าวแต่โดยสังเขป

ที่มาของจลาจลครั้งนั้นเริ่มจากการกุข่าวลงเว็บไซต์ของชาวจีนคนหนึ่งในกว่างตง โดยกุว่าคนงานชาวอุยกูร์ซินเจียงที่มาใช้แรงงานในมณฑลนี้ข่มขืนหญิงชาวจีนไป 2 คน เมื่อข่าวกุชิ้นนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ก็ทำให้คนงานชาวจีนในบริเวณนั้นไม่พอใจ และได้ยกพวกบุกเข้าไปทำร้ายคนงานชาวอุยกูร์ซินเจียงถึงที่พักในไซต์งานจนเสียชีวิตไป 2 คน

ข่าวนี้ได้แพร่ไปถึงอุรุมชีที่เป็นเมืองเอกของซินเจียงอย่างรวดเร็ว ทำให้ชาวอุยกูร์ที่นั้นไม่พอใจและก่อการชุมนุมประท้วงรัฐบาลท้องถิ่นขึ้น โดยผู้ประท้วงเห็นว่า รัฐบาลจีนไม่ได้เร่งรัดพิจารณาคดีดังกล่าว

แต่จะด้วยอารมณ์ในขณะนั้นหรือด้วยพื้นความไม่พอใจชาวจีนที่สะสมมานานก็ตาม ในที่สุดกลุ่มผู้ประท้วงก็ยกพวกเข้าทำร้ายชาวจีนที่อยู่ในอุรุมชี วันต่อมาชาวจีนในเมืองนี้ก็รวมตัวกันหลายร้อยคนเข้าทำร้ายชาวอุยกูร์เป็นการเอาคืนบ้าง

ผลก็คือ กว่าที่กองกำลังตำรวจติดอาวุธจะเข้ามาระงับเหตุด้วยความเด็ดขาด ก็ปรากฏว่า ทั้งชาวอุยกูร์และชาวจีนต่างก็เสียชีวิตไปนับร้อยคน และตราบจนถึงเดือนธันวาคมปีเดียวกัน ศาลที่พิจารณาคดีการปะทะกันทางเชื้อชาติในครั้งนี้ ก็ได้ตัดสินลงโทษประหารชีวิตทั้งชาวอุยกูร์และชาวจีนไป 17 คน โดยมีชาวจีน 1 คนที่ถูกประหาร ที่เหลือนอกนั้นอีกนับสิบถูกตัดสินจำคุก

จะเห็นได้ว่า จลาจลในซินเจียงครั้งนั้นสะท้อนให้เห็นถึงความจงเกลียดจงชังทางเชื้อชาติจนน่าวิตก แต่พอจบจากปัญหานี้จีนก็ต้องเผชิญกับผู้อพยพชาวโกกั้ง ที่แม้จะมีชื่อว่า โกกั้ง แต่จีนก็รู้ดีว่าคนเหล่านี้ล้วนมีภูมิหลังเป็นชนชาติจีนทั้งสิ้น ไม่เหมือนกับชาวอุยกูร์ที่เป็นคนละชาติพันธุ์ จีนจึงต้องแก้ปัญหานี้บนข้อเท็จจริงที่ดูไปแล้วค่อนข้างอิหลักอิเหลื่อ

กล่าวคือ นอกจากชาวโกกั้งจะมีภูมิหลังเป็นชาวจีนแล้ว ความจริงยังมีอีกว่า จีนกับพม่ามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมากกว่าอีกหลายประเทศที่สัมพันธ์กับพม่า เพราะเวลานั้นพม่ายังอยู่ในช่วงที่ถูกชาติตะวันตกคว่ำบาตร อันเนื่องมาจากระบอบเผด็จการทหารที่มาจากการยึดอำนาจรัฐประหาร

สิ่งที่จีนทำในขณะนั้นก็คือ ตำหนิการแก้ปัญหาของพม่าที่ทำให้จีนเดือดร้อน โดยที่มิได้เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยหรือมีส่วนได้เสียด้วย และได้เรียกร้องให้รัฐบาลพม่าแก้ปัญหานี้ให้ยุติโดยเร็ว พร้อมกันนั้นก็ยังขอให้รัฐบาลพม่าใส่ใจในสวัสดิภาพของชาวจีนในพม่าอีกด้วย

รัฐบาลพม่าตอบรับข้อเรียกร้องของจีนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังจากนั้นการเผชิญหน้าก็ค่อยๆ ลดความตึงเครียดลง และไม่นานต่อมาผู้อพยพชาวโกกั้งก็ค่อยๆ ทยอยกันกลับไปยังถิ่นฐานของตัวเอง แม้จะยังมีบางส่วนที่ยังคงหวาดกลัวกับเหตุการณ์ดังกล่าว จนต้องขออาศัยอยู่ในเขตแดนของจีนอีกระยะหนึ่งก็ตาม

ภายหลังเมื่อเหตุการณ์สงบลงแล้ว พม่ากับโกกั้งได้มีการเจรจากันอีกครั้ง ผลการเจรจาทำให้ทั้งสองต้องหันมาประนีประนอมกัน โดยพม่ายอมรับที่จะให้โกกั้งปกครองตนเองเช่นเดิมต่อไป และให้การรับรอง เผิงเจียเซิง  เป็นผู้นำที่เป็นทางการของโกกั้ง และตั้งให้เขาได้เป็นสมาชิกรัฐสภาในฐานะตัวแทนที่ชอบธรรมของโกกั้ง

โกกั้งจึงอยู่ร่วมกับพม่าอย่างสงบนับแต่นั้นมาอีกครั้งหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม แม้ความสงบจะกลับมาอีกครั้ง แต่ที่มิอาจเปลี่ยนแปลงได้เลยก็คือ ความจริงที่ว่าโกกั้งมีภูมิหลังกับอัตลักษณ์ที่ตรงข้ามกับพม่าโดยสิ้นเชิง ในขณะที่ระบอบทหารในพม่าก็ไม่เต็มใจหรือพอใจในอิสระของโกกั้ง ความตึงเครียดจึงยังคงมีอยู่ตลอดเวลา จนในที่สุดทั้งสองก็ปะทะกันด้วยกำลังอีกครั้งเมื่อต้นปี ค.ศ.2015

ทหารพม่าเดินลาดตระเวนในเมืองเล่าก์ก่าย โดยประธานาธิบดีเต็งเส่งประกาศว่าจะไม่ยอมเสียดินแดนแม้เพียงตารางนิ้วเดียวในการต่อสู้กับกลุ่มกบฎชาติพันธุ์.-- Agence France-Presse/Ye Aung Thu.
 การปะทะกันคราวนี้ทำให้ชาวโกกั้งต้องอพยพไปยังชายแดนจีนอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้จำนวนผู้อพยพสูงถึง 40,000-50,000 คน การปะทะกันครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 30 ราย ที่สำคัญ ฝ่ายโกกั้งซึ่งเสียเปรียบด้านกำลังพลเป็นพื้นเดิมอยู่แล้ว ยังได้ระดมพลด้วยการเกณฑ์เอาเด็กมาเป็นทหาร จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ขององค์การระหว่างประเทศ ในขณะเดียวกันก็ยังต้องให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมแก่โกกั้งพร้อมกันไปด้วย 

ส่วนจีนนั้นแน่นอนว่า ย่อมไม่พอใจกับเหตุการณ์ครั้งนี้อีกเช่นเคย และยังคงตำหนิพม่าดังครั้งก่อน โดยคราวนี้รัฐบาลพม่าได้ขอโทษรัฐบาลจีนต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วเหตุการณ์ก็สงบลงอีกครั้งไม่ต่างจากครั้งก่อน

เรื่องราวของโกกั้งนับแต่สงครามเย็นสิ้นสุดลงยังคงวนเวียนเป็นความขัดแย้งสามเส้า ที่ประกอบไปด้วยโกกั้ง พม่า และจีน แต่โดยพื้นฐานแล้วปัญหามักจบลงที่โกกั้งยังคงอิสระอยู่เช่นเคย และนั่นดูจะเป็นสิ่งที่โกกั้งปรารถนามากที่สุด

 เพราะความอิสระดังกล่าวสามารถทำให้โกกั้งทำอะไรก็ได้โดยที่ไม่ถูกตรวจสอบ ซึ่งเชื่อกันว่า โกกั้งยังคงลักลอบผลิตยาเสพติด และยาเสพติดที่ผลิตนั้นก็มีหลากหลาย แต่ที่แพร่หลายมากที่สุดก็คือ ยาบ้าและเฮโรอีน 

กล่าวอีกอย่าง โกกั้งผลิตยาเสพติดที่มีราคาซื้อขายที่ถูกที่สุดอย่างยาบ้า กับที่มีราคาสูงที่สุดอย่างเฮโรอีน โดยลูกค้าที่มีฐานะด้อยก็เสพยาบ้า ลูกค้าที่มีฐานะดีก็เสพเฮโรอีน เรียกได้ว่าเข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่ม

การผลิตยาเสพติดย่อมเป็นไปอย่างลับๆ และสร้างรายได้ให้แก่โกกั้งอย่างมหาศาล แต่เพื่อให้ภาพลักษณ์ของตนดูดี โกกั้งก็สร้างรายได้จากธุรกิจที่ชาวโลกยอมรับและถูกกฎหมายไปด้วย โดยรายได้หลักจะมาจากธุรกิจอบายมุขเป็นหลัก โดยเฉพาะบ่อนกาสิโน

โกกั้งเปิดบ่อนกาสิโนโดยมีลูกค้าชาวจีนเป็นหลัก และสร้างรายได้ให้แก่โกกั้งอย่างเป็นกอบเป็นกำ แต่แล้วด้วยความที่อยู่ในโลกมืดของอบายมุขมาช้านาน พอโลกเข้าสู่ยุคดิจิทัลได้ไม่นาน โกกั้งก็บังเกิดความคิดที่จะสร้างรายได้ผ่านขบวนการที่เรียกว่า  แก๊งคอลเซ็นเตอร์ 

 โกกั้งไม่ได้เป็นผู้ริเริ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ด้วยตนเอง และผู้นำขบวนการหลอกลวงระดับโลกนี้ก็คือ อาชญากรชาวจีน อาชญากรกลุ่มนี้เคยปฏิบัติการชั่วเช่นนี้ในจีนมาก่อน จนเมื่อจีนทำการปราบปรามอย่างเด็ดขาดด้วยมาตรการทางกฎหมาย อาชญากรกลุ่มนี้จึงพากันมาลงหลักปักฐานในถิ่นโกกั้ง ซึ่งเป็นฐานที่มั่นที่ไว้ใจได้ 

เพราะไม่ว่าจะอย่างไร อาชญากรรมของตนก็ได้รับการรับรองและคุ้มครองโดยโกกั้งอยู่แล้ว


กำลังโหลดความคิดเห็น