คนแคระบนบ่ายักษ์
ไชยันต์ ไชยพร
ตอนที่แล้วได้กล่าวถึงการปรับปรุงกลไกและระบบราชการที่บริหารปกครองราชอาณาจักรสวีเดน ในตอนนี้จะได้กล่าวถึง ด้าน การศาสนา กระบวนการยุติธรรมและการคลัง ภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสทธิราชย์สวีเดน
พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดทรงยึดมั่นในการพิทักษ์และส่งเสริมศาสนาที่ถูกต้องตามความเข้าพระทัยของพระองค์ ทั้งนี้ ด้วยความเชื่อที่ว่าความเสื่อมถอยของศาสนาเป็นบาปที่จะนำมาซึ่งการลงโทษของพระผู้เป็นเจ้าต่อราชอาณาจักร อันเป็นความเชื่อที่ที่ปรึกษาของพระองค์บางคน เช่น Wachtmeister ก็เห็นเช่นเดียวกัน
ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงมีนโยบายส่งเสริมกิจกรรมทางศาสนาอย่างเคร่งครัด กฎหมายศาสนจักรจะต้องถูกบังคับใช้ทุกตัวอักษร นักบวชคนใดที่ไม่มีความรู้ความสามารถได้มาตรฐานจะต้องถูกไล่ออก อภิชนทุกคนจะต้องเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาอย่างสม่ำเสมอและอภิชนไม่อาจละเว้นพิธีล้างบาปในสาธารณะได้
นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงผลักดันให้มีการปรับแก้ตัวบททางศาสนา แต่ยินยอมให้ฐานันดรนักบวชเป็นฝ่ายดำเนินการในทางเทคนิค การใช้พระราชอำนาจของพระองค์ในการควบคุมองค์กรทางศาสนาทำให้ฝ่ายศาสนจักรกลายเป็นเครื่องมือในการปกครอง ซึ่งแน่นอนว่าเป็นการลดทอนมิติทางจิตวิญญาณของคริสต์ศาสนา และอาจกล่าวได้ว่าได้มีการเผยแพร่และรับ แนวคิดศาสนธรรมแบบเยอรมัน (German Pietism) เข้ามาในสวีเดนในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษ อันเป็นปฏิกิริยาสะท้อนต่อคริสต์ศาสนาแบบพิธีกรรมในรัชสมัยของพระองค์
หน้าที่หลักประการต่อมาของพระองค์ คือการให้ความยุติธรรมต่อพสกนิกรทุกคน แน่นอนว่าในบริบทดังกล่าวไม่ได้หมายถึงความเสมอเท่าเทียมระหว่างปัจเจกบุคคล แต่หมายถึงการรักษาระเบียบทางสังคมที่เป็นลำดับชั้นตามฐานันดร และรักษาเสถียรภาพขององคาพยพทางการเมืองของราชอาณาจักร
พระองค์ทรงเคร่งครัดในเรื่องลำดับชั้นทางสังคม ทรงยืนยันให้ข้าราชการทุกคนปฏิบัติตนตามลำดับชั้นของตำแหน่งหน้าที่ที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงสถาปนาขึ้น และไม่ยอมให้เกิดการท้าทายสิทธิอำนาจที่เป็นลำดับชั้นในสังคม แต่ในขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงยึดมั่นที่จะให้ความยุติธรรมต่อสามัญชนที่เผชิญกับการใช้ความรุนแรงและความอยุติธรรมจากชนชั้นสูง พระองค์ทรงเร่งให้ผู้ว่าการจังหวัดแก้ไขปัญหาการปฏิบัติมิชอบ
ในปี ค.ศ.1682 พระองค์ทรงมีเอกสารเวียนให้ปกป้องสิทธิในทรัพย์สินของชาวนาและปกป้องชาวนาจากการใช้ความรุนแรงและความอยุติธรรมทั้งปวง โดยพระองค์ทรงให้มีการอ่านประกาศเอกสารดังกล่าวในโบสถ์ทุกแห่งอีกด้วย ทรงรับรองว่าชาวนาทุกคนเป็นพสกนิกรเช่นเดียวกับคนอื่นๆ และมีสิทธิทางกฎหมายที่พระองค์จะต้องทรงปกป้องรักษา โดยพระองค์ทรงสนับสนุนให้มีการร้องทุกข์โดยตรงแก่พระองค์
มีหลักฐานชี้ว่าชาวนาก็สามารถใช้สิทธิร้องทุกข์ได้อย่างเต็มที่และได้รับการตอบรับจากรัฐบาล แต่หากการร้องทุกข์เป็นการดูหมิ่นสิทธิอำนาจตามกฎหมาย ผู้ร้องทุกข์ก็จะได้รับการลงโทษแทน
นอกจากนี้ สวีเดนยังมีชุมชนชนบทที่มีสิทธิเสรีภาพตามประเพณีโบราณที่ค่อนข้างครบถ้วนที่หลงเหลือมาถึงยุคสมัยใหม่อีกด้วย
การปฏิรูปด้านการเงินและการคลังในรัชสมัยของพระองค์เริ่มเห็นผลชัดเจนในการประชุมสภาฐานันดรปี ค.ศ.1693 งบประมาณเกินดุลเริ่มถูกนำมาใช้ในปี ค.ศ.1692 โดยพระองค์ทรงให้แบ่งเงินจำนวน 145,000 เหรียญ (dsm) ไว้เป็นเงินสำรองในท้องพระคลัง และจากนั้นทรงสะสมเงินสำรองลับภายในประสาทกรุงสต๊อกโฮล์ม
ทั้งนี้ เอกสารของสำนักงบประมาณระบุว่าราชอาณาจักรเริ่มมีงบประมาณเกินดุลตั้งแต่ปี ค.ศ.1686 และเมื่อถึงปลายรัชสมัย มีงบสำรองคิดเป็นปริมาณหนึ่งในสามของรายจ่ายประจำปี และรายได้ที่มีได้ถูกนำไปใช้กับการส่งกองกำลังเข้าสนับสนุนพันธมิตร ซ่อมแซมปราสาทต่าง ๆ และสะสางหนี้สินของสถาบันพระมหากษัตริย์ นอกจากนี้ ยังมีการตั้งหน่วยงานตรวจสอบบัญชีขึ้นในปี ค.ศ.1696 อีกด้วย
การปรับปรุงโครงสร้างทางการเงินของราชอาณาจักรที่เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระองค์เป็นการใช้หลักการและนโยบายเก่า ไม่ได้มีนวัตกรรมใดใหม่ แม้ว่านักวิชาการในปัจจุบันอาจวิพากษ์วิจารณ์ถึงความแข็งทื่อของโครงสร้างการเงินในสมัยดังกล่าว แต่หากพิจารณาสภาพบริบทในสมัยนั้น พระองค์ทรงประสบความสำเร็จในการจัดการรายได้ของราชอาณาจักรทั้งที่เป็นตัวเงินและที่เป็นสิ่งของ สามารถสั่งสมงบสำรองไว้ใช้สำหรับกิจการอื่น และในบริบทดังกล่าว พระองค์ก็ไม่ได้ทรงมีตัวเลือกอื่นที่มั่นคงในการลงทุนรายได้ที่มีอยู่เพื่อสร้างกำไรเพิ่มเติม
แม้แต่ ธนาคารแห่งชาติ ซึ่งเริ่มต้นจากการเป็น ธนาคารแห่งฐานันดรทั้งสี่ (Estates’ Bank) ซึ่งเป็นธนาคารแห่งเดียวของสวีเดนที่ดำเนินการโดยเหล่าฐานันดร ยังมีจำนวนเงินจำนวนมากจนต้องปฏิเสธรับฝากเงินเพิ่มเติม
ไม่มีราชอาณาจักรอื่นอีกแล้วที่มีสถานะทางการเงินมั่นคงเท่ากับสวีเดน (ทั้งนี้ไม่นับรวมอังกฤษหรือเนเธอร์แลนด์ที่มีระบบการเงินการคลังคนละระบบ)
นโยบายที่สมควรวิพากษ์วิจารณ์คือการผลักดันนโยบายการเวนคืนของพระองค์อย่างเต็มที่และต่อเนื่องจนสิ้นสุดรัชสมัย นโยบายดังกล่าวนี้สร้างความไม่พอใจให้แก่ฐานันดรอภิชน ทั้งยังเป็นการบั่นทอนสิทธิในทรัพย์สินอันเป็นการขัดขวางการเติบโตทางเศรษฐกิจและทำลายความน่าเชื่อถือของราชอาณาจักรก็ตาม ปัญหาทั้งหมดนี้สะท้อนผ่านคำร้องที่ฐานันดรอภิชนทูลเกล้าฯ ถวายแก่พระเจ้าชาร์ลสที่สิบสอง พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ที่มีพระชนมายุเพียง 15 พรรษา
เอกสารดังกล่าวระบุถึงความทุกข์ร้อนของเหล่าอภิชนที่ต้องสูญเสียสถานะและความเป็นอยู่ เอกสารคำร้องนั้นกล่าวชัดเจนว่า “ความไม่แน่นอนและความไม่มั่นคงในทรัพย์สินของเหล่าอภิชนขัดขวางการค้า ความเชื่อมั่น และเครดิตทั้งหมด” และยืนยันว่า พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดไม่ทรงเห็นผลกระทบของนโยบายดังกล่าวต่อสภาพเศรษฐกิจสังคมในภาพรวม แม้ว่าพระองค์ทรงพยายามจะแสดงท่าทีว่าการดำเนินนโนบายการเวนคืนจะสิ้นสุดลงโดยเร็ว แต่วาระการประชุมสภาฐานันดรในปี ค.ศ.1693 ชี้ให้เห็นว่ากระบวนการเวนคืน จะดำเนินต่อไปไม่สิ้นสุด กระบวนการดังกล่าวดำเนินไปโดยปราศจากความเหมาะสมและหลักฐานทางกฎหมายและเป็นเพียงการใช้อำนาจตามอำเภอใจเท่านั้น
ดังตัวอย่างในกรณีของ Oxenstierna ที่พระองค์ทรงมีพระราชหัตถเลขาสัญญาว่าจะยกเว้นการริบทรัพย์สินให้ทั้งหมดโดยปราศจากหลักประกันอื่นใดก็สะท้อนไปในทางเดียวกัน เมื่อทรัพย์สินที่สามารถเข้าสู่กระบวนการเวนคืนของเหล่าอภิชนลดลงเรื่อย ๆ โดยจะเริ่มมีการสรรหาเกณฑ์ทรัพย์สินประเภทใหม่เพิ่มเติมอยู่เรื่อย ๆ ทั้งยังหันไปหาทรัพย์สินของฐานันดรอื่น ๆ อีกด้วย ซึ่งนอกจากจะเป็นเป้าพระราชประสงค์ของพระองค์แล้ว เจ้าหน้าที่ที่ดำเนินการการเวนคืน ก็ดูจะมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องด้วย ดังกรณีการเรียกคืนทรัพย์สินในเขต Färentuna ที่ต่อมาพบว่าเจ้าที่ดินใหม่ในพื้นที่กลับกลายเป็นเจ้าหน้าที่ในกระทรวงการคลังไม่ว่าจะเป็น Gyllenborg, Peter Franc หรือ Erik Lovisin และ Elias Adelstierna
ฉะนั้น กระบวนการการเวนคืนจึงกลายเป็นกระบวนสืบเนื่องไปเรื่อย ๆ และเปลี่ยนแปลงจากนโยบายที่เป็นเหตุเป็นผลจนแทบไม่ต่างจากการขูดรีดทรัพย์สิน และท้ายที่สุด นโยบายการเวนคืนได้กลายเป็นเป้าหมายในตัวเอง หาใช่เครื่องมือที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างเสถียรภาพทางการเงินให้แก่ราชอาณาจักรอีกต่อไป
กิจการอีกประการที่ พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดทรงให้ความสำคัญคือการปฏิรูปทางทหารที่เริ่มให้ผลประจักษ์ในช่วงปลายรัชสมัย พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปตามจังหวัดต่าง ๆ เพื่อตรวจกำลังพลท้องถิ่น พระองค์ตรวจสอบการติดสินใจทางการทหารไม่ว่าจะเป็นการเลื่อนชั้นยศ การแต่งตั้งตำแหน่งทางทหาร หรือแม้แต่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งดูจะเป็นบุคลิกลักษณะส่วนพระองค์ที่ไม่จัดลำดับความสำคัญของกิจการต่าง ๆ ได้ ประกอบกับพระราชประสงค์ในการรับทราบเรื่องทุกอย่างและมีพระราชอำนาจครอบคลุมทุกภาคส่วน
การด้านการแต่งตั้งตำแหน่งทางทหารนั้นพระองค์ทรงไว้วางพระราชหฤทัยก็แต่เพียง Nils Bielke เท่านั้น การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างสำคัญคือความพยายามแทนที่กองกำลังทหารรับจ้างมาด้วยกองกำลังชาวสวีดิชโดยกำเนิด พร้อมกันนี้คือการปฏิรูปกองทัพให้เป็นทหารอาชีพที่มีการเลื่อนชั้นยศตามความอาวุโส ลูกหลานอภิชนไม่อาจได้สิทธิพิเศษในการเลื่อนขั้น แต่เหล่าอภิชนใหม่กลับสร้างฐานอำนาจตัวเองด้วยการสนับสนุนให้ลูกหลานของตนเข้ารับราชการทหาร
(โปรดติดตามตอนต่อไป)