xs
xsm
sm
md
lg

วิกฤตศรัทธาการเมืองไทย : เมื่อประชาชนเชื่อมั่นทหารแต่สิ้นหวังนักการเมือง (1) / Phichai Ratnatilaka Na Bhuket

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"

 ผลการสำรวจของนิด้าโพลในช่วงเดือนที่ผ่านมาล่าสุดเผยให้เห็นปรากฏการณ์ที่น่าขบคิดอย่างยิ่งต่ออนาคตการเมืองไทย ประชาชนจำนวนไม่น้อยยังคงเชื่อมั่นใน “ทหาร” โดยมองว่ากองทัพคือสถาบันที่มีบทบาทสำคัญในการปกป้องผลประโยชน์ชาติ แต่ในทางกลับกัน ความเชื่อมั่นต่อ “รัฐบาลและพรรคการเมือง” กลับอยู่ในระดับต่ำอย่างน่าตกใจ และสิ่งที่ยิ่งน่ากังวลคือผลการสำรวจที่ระบุว่า ประชาชนกว่า 41.9% "หมดหวัง" กับพรรคการเมือง และอีก 34.19% “ค่อนข้างหมดหวัง” นั่นหมายความว่าเกือบสามในสี่ของสังคมไทยไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ของการเมืองเลือกตั้ง


ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่เพียงข้อมูลทางสถิติธรรมดา หากแต่คือ “กระจกสะท้อนวิกฤตศรัทธาเชิงสถาบัน” ที่กำลังบอกเราว่า การเมืองไทยกำลังเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างที่ลึกและเรื้อรังยิ่งกว่าที่คิด และเป็นวิกฤตที่หากไม่ได้รับการแก้ไข อาจทำให้สังคมไทยติดอยู่ในวังวนเดิมที่  “เชื่อมั่นทหารแต่สิ้นหวังนักการเมือง” ไปอีกยาวนาน

การมองข้ามตัวเลขเหล่านี้ไป โดยคิดว่าเป็นเรื่องปกติหรือเป็นเพียงผลกระทบชั่วคราวจากความไม่แน่นอนทางการเมือง เป็นการวิเคราะห์ที่ผิวเผิน เพราะสิ่งที่เราเห็นคือรูปแบบที่ต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาโครงสร้างพื้นฐานของระบบการเมืองไทยที่ยังไม่สามารถสร้างความไว้วางใจในสถาบันการเมืองพลเรือนได้อย่างแท้จริง

รากฐานของความเชื่อมั่นต่อกองทัพ 

การที่ประชาชนยังคงมอบความไว้วางใจแก่กองทัพมีที่มาจากหลายมิติที่เชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน ทั้งเชิงวัฒนธรรม การเมือง จิตวิทยาสังคม และประวัติศาสตร์ที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

ประการแรก วัฒนธรรมการเมืองแบบรัฐอุปถัมภ์และความมั่นคงนิยม สังคมไทยได้รับการปลูกฝังมายาวนานให้เชื่อว่ากองทัพเป็น “ผู้ปกป้องชาติ” ที่ยิ่งใหญ่กว่าการเป็นเพียงหน่วยงานหนึ่งของรัฐ กองทัพถูกสร้างให้เป็น “ผู้พิทักษ์สุดท้าย” ของสถาบันสำคัญทั้งสาม คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ วาทกรรมนี้ถูกขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องตลอดหลายทศวรรษ ผ่านระบบการศึกษา สื่อมวลชน และพิธีกรรมทางสังคม จนทำให้ความทรงจำเชิงสังคมนี้ฝังแน่นในจิตสำนึกของผู้คนจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของเอกลักษณ์ชาติ

ประการที่สอง การสร้างภาพลักษณ์และวาทกรรมความมั่นคงที่ผูกขาดความชอบธรรม นับตั้งแต่ยุคสงครามเย็นจนถึงปัจจุบัน กองทัพไทยประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการสถาปนาตนเองเป็น “สถาบันศักดิ์สิทธิ์” ที่ยากแก่การตั้งคำถามหรือวิพากษ์วิจารณ์ การอ้างถึงภัยคุกคามจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นการบุกรุกทางวัฒนธรรม ภัยคุกคามทางเศรษฐกิจ หรือการรุกล้ำอธิปไตย กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่กองทัพใช้สร้างความชอบธรรมในการดำรงบทบาททางการเมือง

วาทกรรมความมั่นคงนี้มีประสิทธิภาพเป็นพิเศษในสังคมที่มีความวิตกกังวลเรื่องเสถียรภาพ เมื่อใดที่เกิดความไม่แน่นอนทางการเมือง การอ้างถึง "ความมั่นคงของชาติ" จะกลายเป็นเหตุผลที่สามารถปิดปากการวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้บทบาทการแทรกแซงของกองทัพดูเป็น “ความจำเป็น” มากกว่า “การล่วงล้ำ”

นอกจากนี้ การจัดการสื่อและการศึกษายังช่วยให้กองทัพสามารถหล่อหลอมมุมมองของสาธารณะได้อย่างต่อเนื่อง การนำเสนอข่าวสารเกี่ยวกับกิจกรรมของกองทัพมักจะเน้นไปที่ภารกิจช่วยเหลือประชาชน การพัฒนาชายแดน และการปกป้องอธิปไตย ในขณะที่บทบาททางการเมืองและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของกองทัพจะถูกนำเสนอในลักษณะที่เจือจางลงหรือถูกปกปิด

ประการที่สาม ความล้มเหลวของรัฐบาลพลเรือนและการเปรียบเทียบเชิงสัมพันธ์ เมื่อรัฐบาลพลเรือนจำนวนมากถูกมองว่าทุจริต ไร้ประสิทธิภาพ หรือเอื้อผลประโยชน์ให้กับเครือข่ายพวกพ้อง ประชาชนบางส่วนจึงหันไปเปรียบเทียบกับกองทัพที่แม้จะมีส่วนพัวพันกับเครือข่ายผลประโยชน์เช่นกัน แต่ก็ไม่ถูกมองว่า “เป็นนักการเมืองเต็มตัว” ความรู้สึกเช่นนี้จึงทำให้กองทัพยังคงดู “น่าเชื่อถือกว่า” ในสายตาประชาชนบางกลุ่ม

การเปรียบเทียบนี้เกิดขึ้นจากการรับรู้เชิงสัมพันธ์มากกว่าการประเมินตามข้อเท็จจริง เมื่อนักการเมืองพลเรือนถูกเปิดเผยข้อมูลการทุจริตหรือการใช้อำนาจในทางที่ผิดผ่านสื่อมวลชนอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่กิจกรรมในทำนองเดียวกันของกองทัพไม่ค่อยได้รับการเปิดเผยหรือถูกนำเสนอในลักษณะที่แตกต่าง ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่ากองทัพ “สะอาดกว่า” นักการเมือง

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการที่ประชาชนมักจะจำได้ถึงคดีทุจริตของนักการเมือง เช่น คดีข้าวโครงการจำนำ การจัดซื้อจัดจ้างสาธารณะ หรือการใช้งบประมาณผิดประเภท แต่กลับไม่ค่อยทราบหรือไม่ให้ความสำคัญกับโครงการใหญ่ ๆ ของกองทัพที่อาจมีปัญหาความโปร่งใส เช่น การจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ การบริหารที่ดินของกองทัพ หรือการดำเนินธุรกิจของสถาบันการเงินในสังกัดกองทัพ

ประการที่สี่ ความคาดหวังในการแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ประชาชนยังคงเชื่อมั่นในกองทัพคือความคาดหวังที่ว่ากองทัพสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วและเด็ดขาด โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการประชาธิปไตยที่ซับซ้อนและใช้เวลานาน ความคิดแบบนี้สะท้อนถึงความไม่อดทนต่อกระบวนการประชาธิปไตยที่ต้องอาศัยการเจรจา การประนีประนอม และการสร้างฉันทามติ

ในสังคมที่เผชิญปัญหาเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองที่ซับซ้อน ความต้องการ “ผู้นำที่เข้มแข็ง” ที่สามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วจึงเป็นสิ่งที่หลายคนปรารถนา และกองทัพก็ถูกมองว่าเป็นสถาบันที่มีลักษณะดังกล่าว แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว การแก้ไขปัญหาโครงสร้างของสังคมต้องอาศัยเวลาและกระบวนการที่ยาวนาน ไม่ใช่การสั่งการแบบทหาร

 ทำไมพรรคการเมืองถึงถูกมองว่าไร้ความหวัง

ในทางตรงกันข้ามกับกองทัพ พรรคการเมืองกลับตกอยู่ในสถานะที่ประชาชนมองว่าไร้อนาคตและไม่น่าเชื่อถือ ผลการสำรวจสะท้อนชัดเจนว่าความศรัทธาที่เคยมีต่อพรรคการเมืองได้ค่อย ๆ สลายหายไปอย่างต่อเนื่อง เหตุผลสำคัญที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้มีหลายประการที่เชื่อมโยงกัน

ประการแรก ภาพจำของการคอร์รัปชันและผลประโยชน์ทับซ้อน การเมืองไทยถูกสร้างให้มีภาพจำที่ว่า “นักการเมือง = คอร์รัปชัน” ไม่ว่าข้อกล่าวหานี้จะเป็นความจริงทั้งหมดหรือไม่ แต่การรับรู้เชิงสังคมได้ถูกตอกย้ำผ่านสื่อมวลชน การรายงานข่าว และประสบการณ์จริงที่ประชาชนเผชิญในชีวิตประจำวัน ทำให้เกิดความรู้สึกที่ว่าพรรคการเมืองเป็นพื้นที่ของผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าการขับเคลื่อนเพื่อประโยชน์สาธารณะ

คดีคอร์รัปชันขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นในอดีต เช่น คดีข้าวโครงการจำนำ คดีจีทูจี หรือคดีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ ได้ทิ้งรอยแผลเป็นในความทรงจำของประชาชน ทำให้การมองพรรคการเมืองในแง่ลบกลายเป็นเรื่องปกติ แม้ว่าจะมีพรรคการเมืองและนักการเมืองที่ทำงานอย่างซื่อสัตย์ แต่พวกเขาก็ต้องแบกรับภาพลักษณ์ที่เสียหายนี้ไปด้วย

นอกจากนี้ ระบบการเมืองที่อนุญาตให้มีการเชื่อมโยงระหว่างธุรกิจและการเมืองอย่างใกล้ชิด ทำให้เกิดความสงสัยในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างต่อเนื่อง การที่นักการเมืองหลายคนมีฐานะร่ำรวยหรือมีธุรกิจส่วนตัว ทำให้ประชาชนตั้งคำถามว่าพวกเขาเข้ามาทำการเมืองเพื่อประโยชน์ส่วนรวมจริงหรือเพื่อขยายอิทธิพลทางธุรกิจ

ประการที่สอง การเมืองแบบดีลลับและพันธมิตรผลประโยชน์ที่มืดมัว พรรคการเมืองในไทยจำนวนไม่น้อยถูกมองว่าเป็น “เครื่องมือของกลุ่มทุนและชนชั้นนำ” มากกว่าการเป็นผู้แทนของประชาชนอย่างแท้จริง การต่อรองหลังฉาก การจับมือกันแบ่งเค้กทางเศรษฐกิจและอำนาจ การสลับขั้วพันธมิตรตามผลประโยชน์ ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าตนเองเป็นเพียงผู้ชมในเกมอำนาจ ไม่ใช่ผู้มีสิทธิมีเสียงที่แท้จริง

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการที่พรรคการเมืองที่เคยแข่งขันกันอย่างดุเดือดในช่วงเลือกตั้ง กลับสามารถมาร่วมรัฐบาลด้วยกันได้อย่างง่ายดาย โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างทางอุดมการณ์หรือนโยบายที่เคยประกาศไว้ การเปลี่ยนแปลงจุดยืนทางการเมืองของพรรคและนักการเมืองตามสถานการณ์ ทำให้ประชาชนเห็นว่าการเมืองเป็นเพียงเกมของผลประโยชน์ ไม่ใช่การต่อสู้เพื่อหลักการหรืออุดมการณ์

การขาดความโปร่งใสในกระบวนการตัดสินใจภายในพรรค การไม่เปิดเผยแหล่งที่มาของเงินทุนในการทำงานทางการเมือง และการไม่มีกลไกให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินงานของพรรค ทำให้เกิดความสงสัยและไม่ไว้วางใจในระบบพรรคการเมือง

ประการที่สาม ความล้มเหลวในการสื่อสารอนาคตและวิสัยทัศน์ที่จับต้องได้ สิ่งที่พรรคการเมืองไทยจำนวนมากไม่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพคือ "การเสนอวิสัยทัศน์แห่งความหวัง" ที่ชัดเจน สมเหตุสมผล และจับต้องได้ การเมืองจึงกลายเป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การแจกสิ่งของ การให้เงินช่วยเหลือเฉพาะกาล มากกว่าการนำสังคมไปสู่อนาคตที่ดีกว่าอย่างยั่งยืน

นโยบายของพรรคการเมืองหลายพรรคมักจะขาดความต่อเนื่องและความลึกซึ้งในการวิเคราะห์ปัญหา การนำเสนอนโยบายที่ดูดี “บนกระดาษ” แต่ไม่สามารถดำเนินการได้จริงในภาคปฏิบัติ ทำให้ประชาชนเสียความไว้วางใจในความสามารถของพรรคการเมืองในการแก้ไขปัญหาจริง ๆ

ตัวอย่างเช่น นโยบายที่ได้รับความนิยมในช่วงหาเสียง เช่น การแจกเงินให้ประชาชน การลดราคาน้ำมัน การแจกแท็บเล็ต มักจะเป็นนโยบายระยะสั้นที่ไม่ได้แก้ไขปัญหาโครงสร้างของเศรษฐกิจหรือสังคม เมื่อประชาชนไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงหลังจากเลือกตั้ง ความผิดหวังจึงเกิดขึ้นตามมา

ประการที่สี่ ความล้มเหลวในการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน พรรคการเมืองไทยส่วนใหญ่ยังคงดำเนินงานแบบ “บนลงล่าง” โดยไม่เปิดพื้นที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายหรือการตัดสินใจที่สำคัญอย่างแท้จริง ประชาชนมีบทบาทเพียงเป็น “ผู้เลือกตั้ง” ในวันเลือกตั้ง แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีช่องทางในการติดตาม ตรวจสอบ หรือมีส่วนร่วมในการดำเนินงานของพรรคและรัฐบาล

การขาดกลไกรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างจริงจัง การไม่มีระบบการรายงานผลการดำเนินงานที่โปร่งใส และการไม่ตอบสนองต่อข้อเสนอแนะหรือข้อร้องเรียนของประชาชน ทำให้เกิดความรู้สึกว่าเสียงของประชาชนไม่มีความหมาย และการเลือกตั้งก็เป็นเพียงพิธีกรรมที่ไม่ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง

 วิกฤตของสถาบันการเมืองพลเรือนและอันตรายต่อประชาธิปไตย

เมื่อพรรคการเมืองสูญเสียศรัทธาจากประชาชน แต่กองทัพยังคงได้รับการไว้วางใจในระดับสูง เรากำลังเผชิญสิ่งที่อาจเรียกได้ว่า “การกลับหัวกลับหางของหลักประชาธิปไตย” ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่อันตรายต่อการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยในระยะยาว ดังนี้

ประการแรก ความขัดแย้งกับหลักการประชาธิปไตยพื้นฐาน ในระบอบประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง สถาบันการเมืองพลเรือน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล สภาผู้แทนราษฎร หรือพรรคการเมือง ควรได้รับความไว้วางใจสูงสุดจากประชาชน เพราะพวกเขาคือผู้แทนที่ได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนผ่านกระบวนการประชาธิปไตย ในขณะที่กองทัพควรถอยกลับไปสู่บทบาทผู้พิทักษ์ความมั่นคงตามกรอบหน้าที่ที่ชัดเจนและจำกัด ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลพลเรือน

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในไทยกลับเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม ความไม่เชื่อมั่นในพรรคการเมืองกลับยิ่งตอกย้ำและสร้าง “ความชอบธรรม” ให้กับบทบาทของกองทัพในการยืนอยู่เหนือการเมือง หรือแม้กระทั่งการเข้าแทรกแซงการเมืองเมื่อเห็นว่า "จำเป็น" นี่คือวงจรอันตรายที่ทำให้ความหวังและการคาดหวังของสังคมถูกฝากไว้กับสถาบันที่ไม่ต้องผ่านการตรวจสอบจากประชาชนโดยตรง

ประการที่สอง การขาดความชอบธรรมของสถาบันการเมือง ปรากฏการณ์นี้สะท้อนถึง “วิกฤตความชอบธรรม” ของสถาบันการเมืองพลเรือน เมื่อประชาชนไม่เชื่อมั่นในสถาบันการเมืองที่ควรจะเป็นแกนหลักของระบอบประชาธิปไตย การดำเนินงานของระบบการเมืองจะขาดประสิทธิภาพ และที่สำคัญคือขาดการสนับสนุนจากประชาชน

ความไม่ชอบธรรมนี้นำไปสู่ปัญหาหลายประการ ทั้งการลดลงของการมีส่วนร่วมทางการเมือง การเพิ่มขึ้นของการต่อต้านนโยบายรัฐ และที่อันตรายที่สุดคือการเปิดโอกาสให้กับกลุ่มที่ไม่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามามีอำนาจในการตัดสินใจทางการเมือง

ประการที่สาม ผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศ วิกฤตความเชื่อมั่นนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อระบบการเมืองเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการพัฒนาประเทศในมิติต่าง ๆ ด้วย เมื่อรัฐบาลขาดความชอบธรรมและการสนับสนุนจากประชาชน การขับเคลื่อนนโยบายสำคัญ ๆ จะมีอุปสรรค การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมจะไม่สามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ การที่สังคมขาดความไว้วางใจในสถาบันการเมือง ยังส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ การจัดอันดับความเสี่ยงทางการเมืองของประเทศ และภาพลักษณ์ของประเทศในสายตานานาชาติ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในยุคโลกาภิวัตน์

ประการที่สี่ การเสื่อมสลายของวัฒนธรรมประชาธิปไตย หากมองในระยะยาว วิกฤตนี้อาจนำไปสู่การเสื่อมสลายของวัฒนธรรมประชาธิปไตยในสังคมไทย เมื่อประชาชนไม่เห็นคุณค่าของสถาบันการเมืองประชาธิปไตย พวกเขาจะหันไปหาทางเลือกอื่น ๆ ที่อาจไม่เป็นประชาธิปไตย เช่น การปกครองแบบเผด็จการ การปกครองโดยคณะทหาร หรือการปกครองโดยกลุ่มชนชั้นนำที่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง

หากไม่ต้องการให้สังคมไทยติดอยู่ในวังวน “เชื่อมั่นทหารแต่สิ้นหวังนักการเมือง” ทางออกจำเป็นต้องมุ่งไปที่การฟื้นฟูศรัทธาของประชาชนต่อการเมืองพลเรือนอย่างจริงจัง ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วนและการดำเนินการในหลายมิติพร้อมกัน

(อ่านต่อสัปดาห์หน้า)


กำลังโหลดความคิดเห็น