การประชุมสุดยอดนัดหยุดโลกที่อะแลสกา มีการประชาสัมพันธ์กันคึกคัก ทั้งค่ายสื่อของสหรัฐฯ, ยุโรปและรัสเซียอย่างอึกทึกครึกโครม...ส่วนหนึ่งเพราะทั้งโลกแสนเอือมระอากับสงครามยูเครนที่ดำเนินมานานถึง 3 ปีครึ่ง และมีคนตายกันเป็นล้านคน (จากทั้งสองประเทศคู่สงครามคือ ยูเครนและรัสเซีย)...อีกส่วนคือ สงครามนี้มีผลกระทบต่อราคาทั้งน้ำมัน, แก๊ส รวมทั้งอาหารคน, อาหารสัตว์และอาหารพืช (คือปุ๋ย) อย่างที่ทั่วโลกต้องตัวเกร็งมาแล้วเมื่อช่วงต้นสงคราม ในปี 2022...แม้ทั้งโลกจะได้มีการปรับตัวไปหาแหล่งผลิตที่อื่นๆ มาทดแทนแหล่งน้ำมันและอาหารจากทั้งสองประเทศนี้ แต่ถ้าเกิดสันติภาพระหว่างสองประเทศนี้ได้ ย่อมทำให้ราคาพลังงานและอาหารของโลกจะปรับตัวในทางที่ดีขึ้นแน่นอน
เป็นการเรียกประชุมแบบปุบปับคือ ในวันที่ 8 สิงหาคม เป็นวันครบรอบประกาศิตของจักรพรรดิทรัมป์ที่ได้กำหนดเส้นตายไว้ 10 วัน ให้รัสเซียต้องประกาศหยุดยิงชั่วคราว (Ceasefire) ถ้ารัสเซียไม่ยอมหยุดยิงในวันที่ 8 สิงหาคม (เดิมเส้นตายจะยาวถึง 50 วัน) จักรพรรดิจะลงโทษรัสเซีย โดยจะคิดกำแพงภาษีนำเข้าสหรัฐฯ จากลูกค้าน้ำมันสำคัญของรัสเซีย ได้แก่ อินเดีย (ทรัมป์ผ่อนปรนให้กับจีน ซึ่งเป็นลูกค้าน้ำมันรายใหญ่สุดของรัสเซีย) ที่โดนทรัมป์เคาะลงโทษไปอีก 25% รวมกับกำแพงภาษีทั่วไปสำหรับสินค้าจากอินเดีย ทั้งสิ้นเป็นอัตราสูงสุดคือ 50%
ทรัมป์เลือกลงโทษโดยตรงกับอินเดีย แทนลงโทษโดยตรงกับรัสเซีย เพื่อทำให้รายได้จากการขายน้ำมันดิบของรัสเซียตกต่ำลง แต่ยังเปิดทางเจรจากับรัสเซีย
ปรากฏว่า ในวันที่ 8 สิงหาคม ฝ่ายรัสเซียยังไม่มีทีท่ากุลีกุจอมาเจรจากับสหรัฐฯ แต่อย่างใด
นั่นแหละ ทำให้ทรัมป์ต้องรักษาหน้า โดยออกประกาศิตบีบรัสเซียว่า ให้มาประชุมด่วนสุดยอดเรื่องหยุดยิงชั่วคราวกับยูเครน...โดยกำหนดสถานที่อะแลสกา
หลายฝ่ายไม่ได้ตั้งความหวังว่า จะสามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงได้ โดยเฉพาะศาสตราจารย์คนดังเมียร์ไชเมอร์ (Mearsheimer) แห่งม.ชิคาโก ที่ฟันธงไปเลยว่า จะไม่มีข้อตกลงใดๆ เพราะเป็นการเชิญประชุมแบบปุบปับ โดยทีมงานของทรัมป์ที่ไม่ค่อยประสีประสาต่อการเจรจาต่อรองระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นรมต.ต่างประเทศมาร์โก รูบิโอ ที่ไม่เคยมีประสบการณ์เจรจาระหว่างประเทศมาก่อน ก็แค่เคยนั่งอยู่ในคณะกรรมาธิการต่างประเทศในระยะสั้นๆ เท่านั้น และเพื่อนตีกอล์ฟของทรัมป์คือ สตีฟ วิทคอฟฟ์ ที่มีตำแหน่งเป็นทูตพิเศษประจำตะวันออกกลาง แต่ก็รับงานที่ตนเองไม่เคยมีประสบการณ์ด้านการเจรจาระหว่างประเทศมาก่อน มิหนำซ้ำยังข้ามฟากมารับงานช้างเป็นตัวแทนของปธน.ทรัมป์ (ข้ามหัวรมต.ต่างประเทศรูบิโอ ด้วยซ้ำ) ไปเจรจากับปธน.ปูติน-ที่แสนเคี่ยวจัด-โดยวิสคอฟฟ์ได้เคยไปหาปูตินมาก่อนนี้ถึง 3 ครั้ง และไม่ปรากฏว่าประสบผลสำเร็จที่สามารถโน้มน้าวปูตินให้ยอมหยุดยิงชั่วคราวแต่ประการใด
เวลาจะมีการจัดประชุมสุดยอดของผู้นำ มักมีการตระเตรียมรายละเอียดมากมายก่อนการประชุม โดยเมื่อผู้นำมาพบกันก็แค่มาทำพิธีลงนามตามที่คณะทำงาน (ในระดับรมต.ต้องทำงานหนักโดยการประชุมกันมาก่อน)
เมื่อโฆษกทำเนียบขาว ถูกซักถามหนักข้อจากสื่อว่า การประชุมสุดยอดครั้งนี้ จะนำไปสู่การลงนาม (หยุดยิงชั่วคราว) ใช่หรือไม่ ทางโฆษกกลับตอบว่า...เป็นการประชุมแบบ “Listening Exercise” คือ ทรัมป์จะไปฟังเสียงดูท่าทีของปูตินก่อนว่า จะเดินหน้าไปสู่ “การหยุดยิง” ต่อได้หรือไม่...ก็เป็นคำตอบอยู่ในตัวว่า โลกอย่าได้ตั้งความหวังใดๆ จากการประชุมสุดยอดครั้งนี้...อีกนัยหนึ่ง ทรัมป์พยายามจัดการกับระดับความคาดหวังจากทุกๆ ฝ่ายว่า คงไม่สามารถลงนามข้อตกลง “หยุดยิง” ได้
ทั้งๆ ที่จักรพรรดิทรัมป์ ได้ออกประกาศิตว่า ปูตินจะต้อง “หยุดยิง” ให้ได้ จะเป็นการหยุดยิง 30 วัน แล้วค่อยเจรจาไปสู่หยุดยิงถาวร นั่นคือ ข้อตกลงสันติภาพ (Peace Agreement)…โดยทรัมป์คาดโทษเรื่องกำแพงภาษีสูงลิบถึง 100% สำหรับลูกค้าของรัสเซีย ถ้าปูตินไม่ยอมหยุดยิงชั่วคราว
ฉากใหญ่โตปูพรมแดงมาพบกันระหว่างทรัมป์และปูติน ปรากฏว่า ปูตินไม่ยอมลดราวาศอกเลยแม้แต่น้อย เพราะเวทีสนามรบที่ยูเครนนี้ รัสเซียเป็นต่ออย่างมาก และแม้ว่าการขายน้ำมันของรัสเซีย ปรากฏว่า ลูกค้าใหญ่ทั้งจีนและอินเดีย ก็ไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว
โต๊ะอาหารที่จัดเตรียมไว้รับประทานระหว่างปูตินและทรัมป์ก็ถูกเมิน (เหมือนตอนที่ปธน.เซเลนสกี ถูกตะคอกและขับไสไล่ส่งออกจากทำเนียบขาว เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ จนแม้แต่โต๊ะอาหารกลางวันที่เตรียมเอาไว้ ก็ต้องรอเก้อเช่นกัน)
หลังพบกันราว 3 ชม.มีการจัดแถลงร่วมภายใต้ป้ายหลังฉากว่า “Pursuing Peace” หรือ “ไล่ล่าใฝ่หาสันติภาพ” โดยเป็นการแถลงสั้นๆ จากทั้งสองผู้นำ...ที่แปลกคือ ปธน.ทรัมป์เจ้าภาพและเจ้าของสถานที่กลับเปิดทางให้ปูตินแขกรับเชิญ เป็นฝ่ายแถลงก่อน
ซึ่งปูตินก็เปิดฉากเยินยอทรัมป์ (เป็นที่ถูกอกถูกใจทรัมป์อย่างยิ่ง) ว่า การบุกยูเครนเมื่อ 3 ปีก่อนนั้น ไม่น่าเกิดขึ้น ถ้าทรัมป์เป็นปธน.สหรัฐฯ ขณะนั้น
ทรัมป์แถลงสั้นมากพอๆ กับรักษาการนายกฯ ของไทยไปแถลงที่ KL (ทำสัญญาหยุดยิงชั่วคราว)
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ไม่ผิดหวังว่า ไม่มีอะไรคืบหน้า หรือมีแต่ Status Quo เพราะที่ทรัมป์ได้คาดหมายและข่มขู่เอาไว้ กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นสักอย่าง ดังนี้
1. No Ceasefire ทั้งๆ ที่เป็นเป้าหมายที่แข็งขันมากจากฝ่ายนาโต, สหภาพยุโรป และเซเลนสกี แต่ปูตินไม่ยอมเด็ดขาด…และเขากลับสามารถหว่านล้อมให้ทรัมป์กลับหลังหัน 180 องศา โอนเอียงมาทางปูตินว่า ไม่มีความจำเป็นต้องมีการหยุดยิงชั่วคราวแต่ประการใด สู้เจรจาไปรบกันไป โดยเฉพาะรายละเอียดไปสู่ข้อตกลงสันติภาพ (ถาวร) ดีกว่า
2. No Peace (Agreement) คือ ยังรบกันฆ่ากันต่อไป และเปลี่ยนเป้าหมายมาเจรจาให้ลงตัวให้ได้เพื่อลงนามในข้อตกลงสันติภาพ (ถาวร) ซึ่งก็ไม่รู้จะเกิดขึ้นอีกยาวนานขนาดไหน
3. No (more) Tariffs ซึ่งเป็นการบีบคั้นจากจักรพรรดิทรัมป์เพื่อให้รัสเซียยอมทำข้อตกลงหยุดยิง (ชั่วคราว) โดยไปกดดันลูกค้าน้ำมัน (และแก๊ส) สำคัญของรัสเซีย ว่าจะขึ้นกำแพงภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ด้วยอัตราที่สูงลิบถึง 100% (เห็นขู่ตอนต้นว่าจะสูงถึง 200% ทีเดียว)…ไม่มีใครได้ยินทรัมป์พูดถึงอีกเลย (นอกจากปีเตอร์ นาวาโร-ที่ปรึกษาการค้าประจำทำเนียบขาว ที่ออกมาเพ้อเจ้อในวันจันทร์หลังซัมมิตที่อะแลสกา ว่าอินเดียคอยรอการลงโทษนี้ในอีก 2-3 อาทิตย์ข้างหน้า!!!)
เมื่อเกิดสามไม่ที่อะแลสกา ทำเอาจักรพรรดิทรัมป์รีบไปออกรายการที่สถานีฟอกซ์ กับพิธีกรชอน แฮนนิตี ที่เดิมคะแนนนิยมต่ำสุดของสถานี แต่เมื่อพลิกมาเล็งจัดสัมภาษณ์ทรัมป์ก็ฉุดคะแนนนิยมของรายการจนมาเป็นอันดับหนึ่งของสถานีจนได้
ทรัมป์ไปให้คะแนนซัมมิตที่อะแลสกาแบบดีเลิศ และว่าจะรีบสานต่อเพื่อจัดประชุม 3 ฝ่าย (ปูติน-เซเลนสกี-ทรัมป์) ในอีกไม่นาน...และรีบจัดประชุมที่ทำเนียบขาวกับเซเลนสกี้ในวันจันทร์ทันที เพื่อเค้นให้เซเลนสกี้ยอมเสียดินแดนบางส่วน ด้านสหรัฐฯ และยุโรปจะให้หลักประกันความมั่นคงแก่การดำรงอยู่ของยูเครนที่จะไม่โดนรัสเซียบุกเข้ามาล้ำอธิปไตยอีก
ด้านที่ปรึกษาสตีฟ วิทคอฟฟ์ ก็รีบออกมาเปิดเผยในค่ำวันอาทิตย์กู้หน้าปธน.ทรัมป์ว่า จะมีสูตรประกันความมั่นคงแก่ยูเครน โดยดัดแปลงกฎมาตราที่ 5 ของนาโตมาใช้ และยูเครนจะต้องไม่เข้าเป็นสมาชิกของนาโต
ยังไม่มีรายละเอียดของกรอบการเจรจาข้อตกลงสันติภาพแต่อย่างใด ซึ่งเป็นวิธีการทำงานของทรัมป์ ที่พร้อมลื่นไหลเปลี่ยนแปลงได้ทุกนาที ชวนให้ทุกๆ ฝ่ายต้องอดใจรออย่างระทึกว่า ในท้ายที่สุดจะมีข้อตกลงสันติภาพในรูปแบบหน้าตาเป็นอย่างไร? และจะเสร็จสิ้นเมื่อใด?