ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - สม รังสี แกนนำนักการเมืองฝ่ายค้านกัมพูชาที่ลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ นับเป็นคู่แค้นตลอดกาลที่ ฮุน เซน ต้องทำลายให้สิ้นซาก ดังนั้น จึงไม่แปลกใจหาก สม รังสี จะโดนถอนสัญชาติกัมพูชาเป็นคนแรกเซ่นกฎหมายใหม่ของ ฮุน เซน หลังจากที่เขาโพสต์ชื่นชมทหารไทยยิงแม่น ส่วนทหารกัมพูชายิงมั่วใส่พลเรือนไทย
ขณะที่ ฮุน เซน และเครือข่าย ปั่นเฟกนิวส์ในเหตุการณ์ปะทะตามแนวตะเข็บชายแดนไทย-กัมพูชา ทางด้าน สม รังสี ซึ่งไปพบปะปราศรัยกับชาวกัมพูชาที่เมือง Chambéry ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2568 ได้กล่าวถึงการสู้รบระหว่างกองทัพไทยกับกองทัพกัมพูชา ตอนหนึ่งว่า ทหารกัมพูชายิงไม่ถูกเป้าหมาย เพราะใช้อาวุธไร้ประสิทธิภาพ ยิงไปโดนพลเรือนไทย ขณะที่ทหารไทยใช้เครื่องบิน F-16 ยิงใส่เป้าหมายอย่างแม่นยำ
ในวันเดียวกันนั้น สภาต่อต้านแห่งชาติกัมพูชา (THE CAMBODIA NATIONAL RESISTANCE COUNCIL - CNRC ) ที่นำโดย สม รังสี ยังออกแถลงการณ์ เรียกร้องให้รัฐบาลกัมพูชาตอบคำถามและให้ข้อมูลที่ถูกต้องต่อประชาชนชาวกัมพูชา ในประเด็นสำคัญคือ กองทัพกัมพูชาควบคุมพื้นที่ใดบ้างตั้งแต่เวลา 24.00 น.ของวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ซึ่งเป็นเวลาของการหยุดยิง และจำนวนผู้สู้รบแนวหน้าและพลเรือนชาวกัมพูชาที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งจำนวนครอบครัวชาวกัมพูชาที่พลัดถิ่นจากการสู้รบระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชา
นอกจากนั้น CNRC ยังเรียกร้องให้รัฐบาลกัมพูชา เปิดเผยจำนวนแรงงานชาวกัมพูชาที่เดินทางกลับจากประเทศไทยมายังกัมพูชา รัฐบาลต้องนำเสนอนโยบายที่มีความรับผิดชอบเกี่ยวกับการช่วยเหลือ การจ้างงาน และการบรรเทาภาระหนี้สินให้แก่แรงงานเหล่านี้
ความเคลื่อนไหวของ สม รังสี ทำให้ ฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีและประธานวุฒิสภา กัมพูชา โกรธจัด และโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ตอบโต้กลับในช่วงเช้าวันที่ 11 สิงหาคม 2568 โดยถามว่า นายสม รังสี เป็นคนหรือสัตว์ที่ไปยกย่องผู้รุกรานแต่ดูหมิ่นกัมพูชา
ขณะเดียวกัน สำนักข่าว Kampuchea Thmey Daily ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของ ฮุน มานา ลูกสาวของ ฮุน เซน รายงานข่าวอ้างความเห็นของ กง จมนอร์ นักศึกษาวิชากฎหมาย ที่ออกมาประณาม สม รังสี ว่าเป็นคนทรยศชาติสามชั่วโคตร เขาไม่ใช่คนเขมรเพราะได้ลืมชาติกำเนิดและดูหมิ่นประเทศของตนอย่างร้ายแรง คำพูดที่ สม รังสี ยกย่องทหารไทยว่ายิงอาวุธใส่ทหารกัมพูชาอย่างแม่นยำ และดูหมิ่นกองทัพกัมพูชาว่ายิงไม่รู้ทิศทาง จนกระสุนตกไปโดนเป้าหมายพลเรือนนั้นถูกประชาชนกัมพูชาประณามอย่างรุนแรง
Kampuchea Thmey Daily ประณาม สม รังสี ว่าตลอดชีวิตทางการเมืองตั้งแต่วัยหนุ่มจนแก่ ไม่เคยทำสิ่งใดเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติเลย นอกจากการยุยง ปลุกปั่น และหาทางล้มผู้นำกัมพูชา หลายสิบปีก่อน สม รังสี เคยถูกตั้งฉายาหัวโจกม็อบที่นำผู้สนับสนุนออกมาชุมนุมประท้วง ก่อความรุนแรงมากมาย เขาเป็นนักการเมืองที่ทิ้งให้พรรคพวกที่ทำตามคำยุยงติดคุก ส่วนเขาหนีออกนอกประเทศและไม่สามารถกลับมาได้อีก เพราะทำผิดกฎหมายซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้ ฮุน เซน จะเคยให้อภัยสองครั้งก็ตาม
สื่อของ ฮุน มานา ชี้นำว่า สม รังสี ไม่สมควรเป็นชาวกัมพูชา กฎหมายว่าด้วยการเพิกถอนสัญชาติ จึงควรเร่งดำเนินการ และคนแรกที่ควรถูกใช้กฎหมายนี้ คือ สม รังสี เพราะการร่วมมือกับศัตรูรุกราน ไม่สมควรมีสัญชาติกัมพูชาอีกต่อไป
วัน สุคันธา ซึ่งเป็นบรรณาธิการข่าวและพิธีกรรายการโทรทัศน์ของ Kampuchea Thmey Daily ออกบทวิเคราะห์เรียกร้องให้ถอนสัญชาติกัมพูชาของ สม รังสี เพราะทรยศต่อประเทศชาติเช่นกัน
บทวิเคราะห์ของ วัน สุคันธา ยังสะท้อนให้เห็นว่า แม้ไทย-กัมพูชา จะมีข้อตกลงหยุดยิง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีสันติภาพโดยสมบูรณ์และไม่มีสงครามรุกรานอีกต่อไป ในเวลานี้กองทัพกัมพูชากำลังเตรียมพร้อมรับมืออย่างเข้มข้น โดยอ้างว่าเพราะกองทัพไทยยังคงหาข้ออ้างในการละเมิดในรูปแบบต่าง ๆ
อีกทั้งยังกล่าวหาว่าไทยต้องการทราบว่ากองทัพกัมพูชามีสถานภาพอย่างไร เพื่อวางแผนโจมตีกัมพูชาอีกครั้ง พร้อมเรียกร้องให้เพิกถอนสัญชาติกัมพูชากับ สม รังสี, คิม ซก, จาม จันนี, ซอน ดารา, ปัง โสกึน และนักเคลื่อนไหวฝ่ายค้านคนอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้โดยทันที
สม รังสี และบทบาททางการเมืองของเขาเป็นเช่นใดในยุคสมัยที่ ฮุน เซน เป็นใหญ่ในแผ่นดินกัมพูชาเพียงหนึ่งเดียว โดยผูกขาดอำนาจเผด็จการมาอย่างยาวนาน
สม รังสี เกิดเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2492 ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา บิดาคือ สม สารี อดีตรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลสมเด็จนโรดม สีหนุ ช่วงทศวรรษ 1950 สม รังสี ได้รับการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่ประเทศฝรั่งเศส จบปริญญาโทบริหารธุรกิจ (MBA) จากสถาบัน INSEAD ในปี 1980 และปริญญาด้านรัฐศาสตร์จาก Sciences Po กรุงปารีส
สม รังสี เคยทำงานในบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินในฝรั่งเศสก่อนจะหันเหเส้นทางชีวิตมาสู่ถนนการเมือง เขาถือสองสัญชาติ คือ กัมพูชา-ฝรั่งเศส และพำนักลี้ภัยอยู่ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในปัจจุบัน โดยภรรยาของเขา คือ ติอูลอง เซามูรา เป็นนักการเมืองฝ่ายค้านและเคยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกัมพูชาเช่นกัน
สม รังสี บนเส้นทางการเมือง
สม รังสี เข้าสู่การเมืองกัมพูชาหลังยุคสงครามกลางเมือง โดยเข้าร่วมพรรคฟุนซินเปก ของเจ้านโรดม รณฤทธิ์ ในปี 2535 ต่อมาเมื่อกัมพูชาจัดการเลือกตั้งเสรีครั้งแรกในปี 2536 ภายใต้การสนับสนุนของสหประชาชาติ สม รังสี ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (และต่อมาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร) จากจังหวัดเสียมราฐ และได้รับแต่งตั้งเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและการเงิน ในรัฐบาลผสมระหว่างพรรคฟุนซินเปกกับพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP)
ในระหว่างดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี สม รังสี ได้วิพากษ์วิจารณ์กรณีทุจริตคอร์รัปชันภายในรัฐบาลอย่างเปิดเผย ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งภายในรัฐบาลผสม ต่อมาในเดือนตุลาคม ปี 2537 เขาถูกลงมติไม่ไว้วางใจและถูกปลดออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี
จากนั้น ในปี 2538 สม รังสี ถูกขับออกจากพรรคฟุนซินเปกด้วยเหตุผลทางการเมือง เหตุการณ์นี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ สม รังสี เปลี่ยนบทบาทจากนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลไปสู่การเป็นผู้นำฝ่ายค้านอย่างเต็มตัว
หลังออกจากพรรคฟุนซินเปก สม รังสี ก่อตั้งพรรคการเมืองของตนเองชื่อ พรรคชาติเขมร (KNP) ในปี 2538 ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น พรรคสม รังสี (Sam Rainsy Party - SRP) ก่อนการเลือกตั้งปี 2541 เพื่อแก้ปัญหาด้านการขึ้นทะเบียนพรรค
พรรคสม รังสี ได้กลายเป็นพรรคฝ่ายค้านหลักที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลฮุน เซน อย่างแข็งขัน โดยในการเลือกตั้งปี 2541 พรรคของเขาได้รับที่นั่ง 15 ที่นั่งในรัฐสภา และเพิ่มเป็นร้อยละ 22 ของคะแนนเสียงทั่วประเทศในการเลือกตั้งปี 2546 ทำให้พรรคสม รังสี กลายเป็นพรรคใหญ่อันดับสองรองจากพรรคประชาชนกัมพูชาของสมเด็จฮุน เซน
ตลอดช่วงปลายทศวรรษ 1990 และทศวรรษ 2000 บทบาทฝ่ายค้านของ สม รังสี ต้องเผชิญกับแรงกดดันและอุปสรรคมากมาย ทั้งจากเหตุการณ์ความรุนแรงและคดีความทางการเมือง
ตัวอย่างสำคัญคือ เหตุการณ์ลอบสังหารด้วยระเบิดมือ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2540 ขณะ สม รังสี นำการชุมนุมประท้วงรัฐบาลที่กรุงพนมเปญ มีผู้โยนระเบิดมือเข้าใส่ฝูงชน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 16 คน และบาดเจ็บประมาณ 120 คน แต่ สม รังสี รอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด เหตุการณ์นี้สร้างแรงสะเทือนและตอกย้ำภาพลักษณ์ของ สม รังสี ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านที่ตกเป็นเป้าทางการเมือง
นอกจากนี้ สม รังสี ยังเผชิญกับคดีความหลายครั้งที่นำไปสู่การลี้ภัยชั่วคราวในต่างประเทศ เช่น ปี 2548 เขาถูกฟ้องหมิ่นประมาทจากการวิจารณ์ผู้นำรัฐบาล และถูกศาลตัดสินลงโทษจำคุก 18 เดือน เป็นการตัดสินคดีแบบลับหลัง พร้อมทั้งสั่งปรับเป็นเงิน ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานอภัยโทษในเดือนกุมภาพันธ์ 2549 ทำให้เขาสามารถเดินทางกลับกัมพูชาได้ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2549
อีกเหตุการณ์ คือ ปี 2552 สม รังสี ประท้วงกรณีปัญหาเขตแดนไทย–กัมพูชา (บริเวณชายแดนติดเวียดนาม) และถูกกล่าวหาดำเนินคดีเกี่ยวกับการทำลายหลักเขตแดน ส่งผลให้เขาต้องลี้ภัยออกนอกประเทศอีกครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงการจับกุมในช่วงปี 2552–2553 คดีนี้ มีการตัดสินโทษลับหลังในปี 2553
ต่อมา ฝ่ายค้านมีการรวมพลังให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น โดยในปี 2555 ขณะที่ สม รังสี ยังลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ เขาประกาศจับมือกับนักการเมืองฝ่ายค้านคนสำคัญคือ เกิม โสกา (Kem Sokha) ผู้ก่อตั้ง พรรคสิทธิมนุษยชน (HRP) เพื่อควบรวมพรรคเป็น พรรคสงเคราะห์ชาติ (Cambodia National Rescue Party - CNRP) มี สม รังสี เป็นหัวหน้าพรรค และ เกิม โสกา ดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค การก่อตั้ง CNRP ทำให้ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลมีเอกภาพและกำลังมากขึ้น ซึ่งส่งผลต่อการเลือกตั้งปี 2556
ในการเลือกตั้ง กรกฎาคม 2556 CNRP ประสบความสำเร็จอย่างมีนัยสำคัญ โดยได้รับที่นั่ง 55 ที่นั่งจากทั้งหมด 123 ที่นั่ง ในรัฐสภา แม้ยังคงน้อยกว่าพรรค CPP ที่ครองเสียงข้างมาก แต่คะแนนนิยมของ CNRP ถือว่าเพิ่มขึ้นมากที่สุดเท่าที่ฝ่ายค้านกัมพูชาเคยทำได้
ช่วงก่อนการเลือกตั้งครั้งนั้น สม รังสี สามารถเดินทางกลับกัมพูชาได้หลังจากได้รับพระราชทานอภัยโทษอีกครั้ง ตามคำร้องขอของนายกรัฐมนตรี ฮุน เซน เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2556 เพียงไม่กี่วันก่อนวันเลือกตั้ง การกลับมาของเขาทำให้กลุ่มผู้สนับสนุนฮือฮาและสร้างความหวังแก่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาล
อย่างไรก็ดี หลังการเลือกตั้ง 2556 สม รังสี และ CNRP ได้ประท้วงผลการเลือกตั้งโดยอ้างว่ามีการทุจริตและความไม่โปร่งใสเกิดขึ้น พวกเขาปฏิเสธที่จะเข้าสภาและคว่ำบาตรการประชุมรัฐสภาเป็นเวลาหลายเดือน ก่อให้เกิดวิกฤตการเมืองยืดเยื้อจนกระทั่งวันที่ 22 กรกฎาคม 2557 ทั้ง CPP และ CNRP สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันในการแบ่งอำนาจบางส่วน และฝ่ายค้านยอมเข้าสภาในที่สุด
ข้อตกลงนี้รวมถึงการแต่งตั้ง เกิม โสกา เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง และจัดตั้งตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านอย่างเป็นทางการ โดยสม รังสี ได้รับการยอมรับให้ดำรงตำแหน่ง ผู้นำฝ่ายค้านในสภา คนแรกของกัมพูชาในต้นปี 2558 เหตุการณ์นี้นับเป็นความคืบหน้าเชิงสัญลักษณ์ที่ให้ฝ่ายค้านมีบทบาทในระบบรัฐสภามากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความปรองดองดังกล่าวอยู่ได้ไม่นาน ในช่วงปลายปี 2558 รัฐบาลฮุน เซน ได้ยกระดับแรงกดดันต่อ สม รังสี อีกครั้ง โดยในเดือนพฤศจิกายน 2558 มีการเพิกถอนพระราชทานอภัยโทษที่เคยให้ไว้แก่ สม รังสี ในคดีหมิ่นประมาทอดีตรัฐมนตรีฮอร์ นัมฮง ทำให้สถานะทางกฎหมายของเขากลับมาเป็นผู้ต้องโทษตามคำพิพากษาเดิม
นอกจากนี้ สมาชิกสภาจากพรรค CPP ยังได้ร่วมกันลงมติขับ สม รังสี ออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2558 โดยเอกฉันท์ ท่ามกลางหลายคดีความที่ถูกยื่นฟ้องเขาในขณะนั้น สม รังสี จึงตัดสินใจเดินทางออกนอกประเทศอีกครั้งในปี 2558 และดำรงสถานะผู้ลี้ภัยทางการเมืองเรื่อยมา
ช่วงต้นปี 2560 รัฐบาลของสมเด็จฮุน เซน ได้ผ่านแก้ไขกฎหมายห้ามผู้ที่ต้องคำพิพากษาคดีอาญาเป็นผู้นำพรรคการเมือง ส่งผลให้ สม รังสี ซึ่งมีคดีติดตัวอยู่ไม่มีสิทธิ์ตามกฎหมายในการเป็นหัวหน้าพรรคอีกต่อไป ในเดือนกุมภาพันธ์ 2560 สม รังสีประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค CNRP และถอนตัวออกจากพรรค เพื่อป้องกันไม่ให้พรรคถูกยุบตามกฎหมายใหม่ที่ว่านั้น แต่ถึงอย่างไร รัฐบาลกัมพูชาก็ยังเดินหน้าดำเนินการอย่างแข็งกร้าวกับฝ่ายค้านอยู่ดี
ในเดือนกันยายน 2560 เกิม โสกา หัวหน้าพรรค CNRP คนใหม่ถูกจับกุมตัวในข้อหากบฏ และสองเดือนต่อมา ศาลสูงกัมพูชาได้มีคำสั่งยุบพรรค CNRP ในเดือนพฤศจิกายน 2560 พร้อมสั่งเพิกถอนสิทธิ์ทางการเมืองของนักการเมืองฝ่ายค้านกว่า 100 คนเป็นเวลา 5 ปี ซึ่งถือเป็นการทำลายล้างพรรคฝ่ายค้านหลักอย่างสิ้นเชิง เหตุการณ์นี้ส่งผลให้สม รังสี และแกนนำฝ่ายค้านคนอื่น ๆ ต้องลี้ภัยอยู่นอกประเทศต่อไป และเวทีการเมืองกัมพูชาเข้าสู่ยุคพรรครัฐบาลพรรคเดียวมาตั้งแต่ตอนนั้น
หลังการยุบพรรค CNRP สม รังสี ยังคงใช้ชีวิตในฐานะผู้นำฝ่ายค้านพลัดถิ่นอยู่ต่างแดน เขาได้ก่อตั้งขบวนการใหม่ชื่อ “ขบวนการกู้ชาติกัมพูชา” (Cambodia National Rescue Movement - CNRM) เพื่อรวมตัวผู้สนับสนุนประชาธิปไตยกัมพูชาในต่างประเทศ และผลักดันแรงกดดันระหว่างประเทศต่อรัฐบาลฮุน เซน โดยตลอดช่วงปี 2018–2019 สม รังสี เดินสายพบปะผู้สนับสนุนในยุโรป อเมริกา และเอเชีย พร้อมทั้งเรียกร้องให้นานาชาติช่วยฟื้นฟูประชาธิปไตยในกัมพูชา
ความพยายามที่โดดเด่น คือการที่สม รังสี ประกาศว่าจะเดินทางกลับกัมพูชาให้ได้ในวันชาติ (วันที่ 9 พฤศจิกายน) ปี 2562 เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ทางการเมืองในประเทศ แต่รัฐบาลกัมพูชาได้ตอบโต้ด้วยการขัดขวางทุกวิถีทาง รวมถึงการสั่งสายการบินต่าง ๆ ห้ามไม่ให้เขาโดยสารเที่ยวบินมายังกัมพูชา มิฉะนั้นจะมี “ผลร้ายแรง” ต่อสายการบินนั้น ๆ และประสานงานกับรัฐบาลไทยไม่ให้เขาเดินทางข้ามแดนเข้ากัมพูชา เมื่อถึงกำหนดวันเดินทาง สม รังสี ถูกปฏิเสธไม่ให้ขึ้นเครื่องจากปารีสไปกรุงเทพฯ ทำให้แผนการกลับประเทศต้องล้มเหลวลงในที่สุด
เขายังคงลี้ภัยอยู่ที่ฝรั่งเศสและประกาศว่าจะหาโอกาสกลับมาต่อสู้ในประเทศต่อไป
นับตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ทางการกัมพูชาได้ดำเนินคดีลับหลังหลายคดีกับสม รังสี และแกนนำฝ่ายค้านคนอื่น ๆ โดยตั้งข้อหาร้ายแรงอย่างเช่น พยายามโค่นล้มรัฐบาล และข้อหา กบฏ ส่งผลให้ศาลตัดสินจำคุก สม รังสี หลายคดีรวมโทษเป็นเวลากว่า 47 ปี
และล่าสุดในเดือนตุลาคม 2565 ศาลกัมพูชาตัดสินลงโทษจำคุกตลอดชีวิตแก่สม รังสี ในข้อหาสมคบคิดแบ่งแยกดินแดน จากกรณีการกล่าวสนับสนุนสิทธิชนกลุ่มน้อยเมื่อปี 2556 โทษจำคุกตลอดชีวิตและคำสั่งห้ามเล่นการเมืองตลอดชีวิตนี้มีลักษณะเป็นเชิงสัญลักษณ์ เพราะ สม รังสี อยู่ต่างประเทศและรัฐบาลก็ป้องกันไม่ให้เขากลับมาเผชิญการไต่สวน
คดีเหล่านี้ถูกมองว่าเป็น “มหกรรมทางกฎหมาย” ที่รัฐบาลฮุน เซน ใช้เพื่อสร้างภาพสม รังสีให้เป็นศัตรูแผ่นดินและทำลายความน่าเชื่อถือของเขาในสายตาสาธารณชน
จวบจนถึงปัจจุบัน สม รังสี ยังคงพำนักลี้ภัยในประเทศฝรั่งเศส และถูกตัดขาดจากการเมืองภายในประเทศโดยสิ้นเชิง เขามีสถานะเป็นนักโทษทางการเมืองในสายตารัฐบาลกัมพูชา โดยถูกตัดสิทธิ์เลือกตั้งและดำรงตำแหน่งทางการเมืองทุกระดับ
ในสายตาของ สม รังสี เขามองการปกครองกัมพูชาภายใต้การนำของ ฮุน เซน และการส่งอำนาจต่อให้ ฮุน มาเนต บุตรชายคนโต ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เมื่อเดือนสิงหาคม 2566 ว่า การเปลี่ยนผู้นำครั้งนั้นเป็นแต่เพียงการสืบทอดอำนาจภายในตระกูล มิได้เปลี่ยนแปลงเชิงประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนกรกฎาคม 2566 ซึ่งพรรคประชาชนกัมพูชาของฮุน เซน กวาดที่นั่งเกือบทั้งหมด เป็นแต่เพียงการเลือกตั้งจอมปลอม
สม รังสี ชี้ว่า รัฐบาลฮุน เซน ได้บ่อนทำลายสถาบันประชาธิปไตยและใช้กฎหมายเล่นงานฝ่ายตรงข้ามจนทุกวันนี้กัมพูชาเป็นเผด็จการเต็มรูปแบบ และมองว่าการสืบทอดอำนาจทางการเมืองของตระกูลฮุน เป็นการเมืองแบบศักดินาและวงศาคณาญาติ ส่วนการยกตำแหน่งให้ฮุน มาเนต ก็เพื่อรับประกันว่าครอบครัวฮุน จะคงอำนาจและความปลอดภัยของ ฮุน เซน ต่อไป