xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ย้อนรอย “หลวงพ่ออลงกต วัดพระบาทน้ำพุ” คลี่ปม “หมอบี-เงินบริจาค” ให้สิ้นกระแสความ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ตอกย้ำวิกฤตศรัทธากรณีการเปิดรับบริจาคและนำเงินบริจาคไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ของ  “วัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี”  ซึ่งที่รู้จักโดยทั่วกันว่าสถานพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโรคเอดส์ โดยมีพระนักพัฒนา  “หลวงพ่ออลงกต” เป็นผู้ริเริ่ม หลังขยายผลจากกรณีการเปิดบัญชีรับบริจาคในนามวัดพระบาทน้ำพุของ  “หมอบี ทูตสื่อวิญญาณบี”  จุดประสงค์เชื่อมสะพานบุญแต่พบพิรุธเกี่ยวกับเงินบริจาคที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่า  “ผิดปกติ””

ไม่เพียงเท่านั้น ยังเกิดข้อวิพากษ์ต่อการดำเนินนงานของวัดพระบาทน้ำพุ ในฐานะสถานพยาบาลของผู้ป่วยโรคเอดส์ ทั้งประเด็นการหากำไรจากผู้ป่วยเอดส์ประคองอาการเพื่อเรียกรับเงินบริจาค เกิดคำถามวัดพระบาทน้ำพุยังมีความจำเป็นอยู่หรือไม่ ในยุคที่คนไทยเข้าถึงระบบสาธารณสุข มีสิทธิในหลักประกันสุขภาพ

กลายเป็นประเด็นร้อนแรงหลังมีการตรวจสอบกรณี  “หมอบี ทูตสื่อวิญญาณบี”  หรือ  “นายเสกสันน์ ทรัพย์สืบสกุล”  ผู้มีชื่อเสียงในด้านการสื่อสารกับวิญญาณ เปิดบัญชีภายใต้ชื่อ “ใจฟ้า อาทรประชานาถ” เพื่อรับบริจาคเป็นตัวกลางเชื่อมสะพานบุญไปยัง “วัดพระบาทน้ำพุ” ตำบลเขาสามยอด อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี แต่พบพิรุธเกี่ยวกับการนำเงินบริจาคไปใช้จ่ายส่วนตัว สร้างบ้านหรูมูลค่าหลายสิบล้านบาท หรือไม่ อย่างไร

ในส่วนของความคืบหน้าทางคดีนั้น พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รองผู้บังคับการปราบปราม เปิดเผยว่ามีการร้องเรียนให้กองปราบตรวจสอบตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา นำสู่การสอบปากคำพยานคนสนิทของ  นายเสกสันน์ ทรัพย์สืบสกุล  โดยทางตำรวจอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานทั้งเอกสารและบุคคลอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ พบความผิดปกติในบัญชีธนาคารชื่อ  “ใจฟ้า อาทรประชานาถ” ซึ่งเปิดตั้งแต่ปี 2562 มีเงินจำนวนมากไหลเข้าก่อนที่ “หมอบี” หรือ “นายเสกสันน์” จะให้คนสนิทเบิกออกมาเป็นเงินสดครั้งละหลัก 100,000 – 1,000,000 บาท เพื่อนำไปให้  “พระราชวิสุทธิประชานาถ” หรือ “หลวงพ่ออลงกต” เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ ตำบลเขาสามยอด อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี ซึ่งในแต่ละครั้งมียอดส่วนต่างที่หายไป โดยทางตำรวจมีข้อมูลและบุคคลที่เกี่ยวข้องชัดเจนแล้วแต่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียด

ในส่วนทรัพย์สินที่สังคมตั้งข้อสงสัยประเด็นความร่ำรวยผิดปกติของ “หมอบี” ซึ่งเจ้าตัวอ้างว่านำเงินจากการปราบผีและธุรกิจกงสีของครอบครัวไปซื้อนั้น พบว่าบ้านหรูซื้อเมื่อปี 2564 หลังจากเปิดรับบริจาคผ่านในนามวัดผ่านบัญชี “ใจฟ้า อาทรประชานาถ” ที่เปิดเมื่อปี 2562 อย่างไรก็ดี  นายกสานติ์ ปัญญาชัยรักษา  ทนายความของ หมอบี หรือ นายเสกสันน์ ระบุว่าลูกความยืนยันเจตนาดีในการรับบริจาคโดยรวบรวมเงินให้หลวงพ่ออลงกต

ประเด็นที่ถูกจับจ้อง “หมอบี ทูตสื่อวิญญาณบี” หรือ “นายเสกสันน์” ชี้แจงปมร้อนเงินบริจาควัดพระบาทน้ำพุ สรุปความว่าเงินทั้งหมดตนไม่ได้มอบให้วัดพระบาทน้ำพุ แต่มอบให้ “พระราชวิสุทธิประชานาถ” หรือ “หลวงพ่ออลงกต” เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุโดยตรงเป็นเงินสด โดยอ้างว่าเป็นดำริความต้องการของหลวงพ่ออลงกต

โดยทาง “หลวงพ่ออลงกต” เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ ชี้แจงว่าหมอบีก็รวบรวมเงินบริจาคมาถวายอาตมาเป็นเงินสดตั้งแต่แรก อาตมาขอยืนยันว่า ไม่ใช่ดำริหรือความคิดของอาตมา เป็นดำริของหมอบีตั้งแต่ต้น ซึ่งช่วงแรกไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะจำนวนเงินน้อย และอาตมาก็เคยเตือนหมอบีไปตั้งแต่ต้นแล้วว่า ให้ทำอย่างตรงไปตรงมา เพราะเป็นเงินทำบุญจากญาติโยม ต้องทำให้เป็นบุญจริงๆ

สำหรับจุดเริ่มต้นการเชื่อมสะพานบุญสู่ปมโกงเงินบริจาคนั้น หมอบีเข้ามาเป็นจิตอาสาของวัดวัดพระบาทน้ำพุ โดยเริ่มต้นจัดสัมมนา บรรยายธรรม มีการทำบุญปัจจัยอย่างต่อเนื่อง กระทั่ง ปี 2562 หมอบี ขออนุญาตเปิดบัญชีรับบริจาคเงินโดยใช้ชื่อตัวเอง อ้างว่าจะนำเงินที่ได้ไปสนับสนุนกิจกรรมของวัด ซึ่งหลวงพ่อให้แนวทางไว้ว่าขอให้ทำสิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์

ทั้งหมดนี้คือจุดเริ่มเรื่องนำสู่การตรวจสอบประเด็นการเปิดรับบริจาคและนำเงินบริจาคไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ของ “วัดพระบาทน้ำพุ” โดยมี “พระราชวิสุทธิประชานาถ” หรือ “หลวงพ่ออลงกต” ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ ตำบลเขาสามยอด อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี

 นายสุชาติ ตันเจริญ รัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้สำนักสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบสำนักพุทธศาสนาประจำจังหวัดที่ตั้งของวัดพระบาทน้ำพุ โดยความคืบหน้าล่าสุด  นายวีระ จำลอง ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนา จ.ลพบุรี ระบุว่าอยู่ระหว่างรอสรุปผลโดยเบื้องต้นมีการตรวจสอบการบริหารจัดการวัด การบริหารจัดการอาคารเสนาสนะ มูลนิธิที่เกี่ยวข้อง การดำเนินงานด้านสงเคราะห์ทั้งภายในและภายนอก บัญชีรายรับ-รายจ่าย รวมทั้งประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ นายเสกสันน์ หรือ หมอบี เปิดบัญชีชื่อตัวเองรับบริจาคเงินในนามของวัด

กล่าวสำหรับ “วัดพระบาทน้ำพุ” ในฐานะสถานที่รักษาพักฟื้นให้ผู้ป่วยเอดส์ ยกระดับเป็นสถานชีวาภิบาล ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ผู้ป่วยติดเตียง และผู้สูงอายุ เฉพาะผู้ป่วยเอดส์ มีค่าใช้จ่ายในการดูแลอยู่ราวๆ เดือนนับล้านบาท ซึ่งเงินบริจาคของวัดมาจาก 3 ช่องทาง ได้แก่ 1.กิจนิมนต์ของหลวงพ่ออลงกต (เจ้าภาพถวายปัจจัย ซองทำบุญ) 2.คนมาทำบุญที่วัด แบบวอร์กอิน และ 3.บริจาค โอนเข้าบัญชีธนาคารของวัด ซึ่งปัจจุบันมีบัญชีสำหรับรับบริจาคเพียง 8 บัญชี และทุกบัญชีใช้ชื่อว่า “วัดพระบาทน้ำพุ”

โดยวัดพระบาทน้ำพุมียอดบริจาคเฉลี่ยตั้งแต่หลัก 10,000 ถึง 100,000 บาทต่อวัน นอกจากนี้ ทางวัดยังมีระบบรองรับทั้งการใช้บัตรอนุโมทนาและระบบ e-Donation ผ่าน QR Code ซึ่งผู้บริจาคสามารถขอใบลดหย่อนภาษีได้


เกี่ยวกับประเด็นคำถามการเปิดรับบริจาคและนำเงินบริจาคไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ของวัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี ที่ต้องตอบให้สังคมสิ้นข้อสงสัย เงินบริจาควัดพระบาทน้ำพุหายไปไหน โดยเฉพาะกรณีการเป็นองค์ประธานอุปถัมภ์ของ “หลวงพ่ออลงกต” สร้าง  ศูนย์ฝึกฟุตบอลเยาวชน “ใจฟ้าอคาเดมี จ.ลพบุรี” ซึ่งมีสนามฟุตบอลขนาดใหญ่ถึง 9 สนาม บนพื้นที่ 200 ไร่ ใช้หญ้าเกรดพรีเมียม ค่าดูแลเกือบ 1 แสนบาทต่อเดือน และเคยมีการเปิดให้เช่า ไม่ได้ให้ทุกคนเล่นฟรี ทำให้เกิดความสงสัยว่า มีการนำเงินบริจาคมาสร้างหรือไม่ หรือเส้นทางการเงินที่เอามาสร้างเป็นอย่างไร

ข้อมูลเบื้องต้นการยืนยันว่าได้เบิกเงินจากวัดประมาณสัปดาห์ละ 1 แสนบาท ดูแลนักฟุตบอลเยาวชน เกี่ยวกับเรื่องอาหาร โดยนักเตะเยาวชนที่ ใจฟ้า อะคาเดมี่ ได้ปลุกปั้นขึ้นมาเพิ่งจะไปคว้าแชมป์ที่ประเทศญี่ปุ่น

นอกจากนี้ ยังมีประเด็น “ที่ดิน 2,000 ไร่” หรือ “โครงการธรรมรักษ์นิเวศน์ 2” ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการของวัดพระบาทน้ำพุ ซึ่งมีเนื้อที่จริงประมาณ 800 ไร่ ตั้งอยู่ในตำบลดงดินแดง อำเภอหนองม่วง จังหวัดลพบุรี ได้นำเงินบริจาคไปซื้อไว้แต่เป็นชื่อของไวยาวัจกรคนเก่าที่เสียชีวิตไปแล้ว ทำให้ผู้ครอบครองที่ดินกลายเป็นลูกหลานของอดีตไวยาวัจกรคนดังกล่าว

รวมทั้งปมเงิน 2,700,000 บาท ที่หลวงพ่ออลงกตฝากไว้ที่ทายาทของอดีตไวยาวัจกร ที่ได้รับการเปิดเผยโดย “แพรรี่ - ไพรวัลย์ วรรณบุตร” หรือ “อดีตพระมหาไพรวัลย์”  

ทั้งนี้  พระเจษฎา จิรัฏฐิโก พระลูกวัดธรรมรักษ์นิเวศ เผยว่าโครงการนี้เป็นดำริของหลวงพ่ออลงกต จัดทำมา 20 กว่าปีแล้ว เนื่องจากช่วงที่ก่อตั้งมีผู้ป่วยอยู่เยอะ ล้นธรรมรักษ์นิเวศน์ 1 (วัดพระบาทน้ำพุ) จึงต้องขยายมาโครงการนี้ ซึ่งภายในโครงการก็จะมีบ้านพักผู้ป่วย บ้านเด็กธรรมรักษ์ โรงเรียน มูลนิธิสิทธิเด็ก และโรงพยาบาล โดยโครงการนี้จะให้ผู้ที่ป่วยติดเชื้อ HIV ที่เป็นผู้ใหญ่แข็งแรงมาอาศัยอยู่และมีอาชีพทำกิน โดยมีทั้งงานทำความสะอาดภายในพื้น ทำสวน เกษตรอินทรีย์ ก็จะได้เงินเดือนจากมูลนิธิ ส่วนงานการเกษตร ก็นำไปขายให้โครงการ ลักษณะเป็นวิสาหกิจชุมชน ยืนยันว่ามีรายได้ นอกจากนี้ โครงการก็ยังรับเด็กที่มีเชื้อรวมถึงเด็กที่ได้รับผลกระทบจากผู้ติดเชื้อมาดูแลด้วย

ขณะนี้สปอร์ตไลท์สาดแสงไปที่ “วัดพระบาทน้ำพุ” ในฐานะสถานพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโรคเอดส์กำลังถูกตั้งคำถามในสังคม โดยเฉพาะหลังการเปิดเผยของ  นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์  แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคติดเชื้อ ออกมาโพสต์ย้อนรอยแฉปมร้อน "วัดพระบาทน้ำพุ" เคยเกิดเหตุการณ์พยาบาลถูกข่มขู่ถึงชีวิต ยาต้านไวรัสของผู้ป่วยหาย และถูกกรีดยางรถจักรยานยนต์ พร้อมตั้งข้อสังเกตอาจเกี่ยวกับเงินบริจาคเหตุผู้ป่วยเอดส์มีอาการดีขึ้นจนกระทบรายได้วัด

  อ.จตุรงค์ จงอาษา ที่นอกจากจะเป็นนักวิชาการอิสระด้านพระพุทธศาสนาแล้ว ในฐานะรองประธานมูลนิธิเอชไอวีเอเชีย ได้ตั้งคำถามถึงการดูแลผู้ป่วยเอชไอวีของวัดพระบาทน้ำพุไม่ได้ปรับตัวตามโลก ได้เงินบริจาคมากมายทำไมไม่สร้างโรงพยาบาลให้เป็นกิจลักษณะ อีกทั้ง เคยเกิดกรณีมูลนิธิเอชไอวีเอเชียติดต่อไปยังวัดพระบาทน้ำพุ ขอให้รับผู้ติดเชื้อที่เป็น LGBT คนหนึ่ง แต่ปรากฏว่า ทางวัดปฏิเสธที่จะรับผู้ติดเชื้อท่านนี้ไว้ ทั้งที่ทางมูลนิธิมีค่าใช้จ่ายให้ทางวัดไม่ได้ฝากดูแลฟรี โดยทางวัดทางวัดไม่ได้บอกเหตุผล

“10 - 20 ปีมาแล้วที่หลวงพ่ออลงกตมีเป้าประสงค์จะดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งก็มียุครุ่งเรืองที่เงินบริจาคหลั่งไหลมากมายพอที่จะสร้างโรงพยาบาลสำหรับดูแลผู้ติดเชื้อได้ แต่หลวงพ่ออลงกตก็ไม่สร้างโรงพยาบาลยังคงดูแลผู้ป่วยแบบเดิม” อ.จตุรงค์ จงอาษา นักวิชาการอิสระด้านพระพุทธศาสนา ระบุ

นอกจากนี้ ยังมีคำถามจากอินฟลูเอนเซอร์ดังเพจ  “ตุ๊ดส์review” และ “หมอแล็บแพนด้า” เกี่ยวกับการดำเนินกิจการของวัดในฐานะสถานดูแลผู้ป่วยเอดส์ ประเด็นการพัฒนาด้านสิทธิประโยชน์ในหลักประกันสุขภาพ ครอบคลุมเรื่อง HIV แค่ไหน? และวัดพระบาทน้ำพุ ยังมีความจำเป็นอยู่หรือไม่?

“เมื่อก่อนเราจะเข้าใจได้เลยว่าภาพของโรคน่ากลัวมากๆ แล้วมันยังไม่มีทางรักษาที่ดีพอ ยาต้านไวรัสยังไม่มีประสิทธิภาพ วัดพระบาทน้ำพุ กลายเป็นสถานที่รอความตาย ในวาระสุดท้ายของชีวิต ก็ทำให้เราเห็นภาพนอนป่วยติดเตียงรอความช่วยเหลือ จากประชาชน แต่ผ่านไป 10-20 ปีมานี้ ยาต้านไวรัส HIV เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงมาก”

ทั้งนี้ การเข้าถึงการรักษาง่ายขึ้นมาก มีทั้งคลินิกสุขภาพ สถานพยาบาล และโรงพยาบาลประจำอำเภอ ให้การ support ดูแล โดยสามารถเข้าร่วมสิทธิรักษาฟรี บัตรทอง และเข้าตรวจได้ทุกโรงพยาบาล มีโอกาสกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ และไม่มีความรุนแรงของอาการ ไม่แพร่เชื้อ ไม่จบที่นอนติดเตียง

โดยเพจดังระบุว่า ระบบสาธารณสุขสามารถดูแลผู้ป่วยได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แน่นอนว่า จำนวนผู้ป่วยติดเตียงย่อมลดลง และแทบไม่มีผู้ป่วยหนัก จึงไม่ได้มีความจำเป็นต้องเอาผู้ป่วยไปนอนรวมกัน รอรับเงินบริจาคเหมือนสมัยก่อนอีกแล้ว

กล่าวสำหรับ “พระราชวิสุทธิประชานาถ” หรือ “หลวงพ่ออลงกต” เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ เป็นพระนักพัฒนาผู้ริเริ่มก่อตั้ง  “มูลนิธิธรรมรักษ์”  เพื่อรับรักษาและฟักฟื้นผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยโรคเอดส์ในปี 2535 ดำเนินการต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมี 2 ภารกิจหลัก 1. การรับดูแลรักษาผู้ติดเชื้อ และผู้ป่วยโรคเอดส์ทั่วไปจากทั่วประเทศ และ 2. การรับอุปการะเด็กกำพร้าที่พ่อแม่ผู้ปกครองเสียชีวิตจากโรคเอดส์

 ข้อมูลเบื้องต้นทางมูลนิธิฯ มีค่าใช้จ่ายประมาณ 4 ล้านบาทต่อเดือน ตัวเลขมีผู้ป่วยและผู้รับอุปการะอยู่ที่ประมาณ 2,000 คน ในส่วนของค่าใช้จ่ายแบ่งเป็นค่าอาหาร ค่ายารักษาโรค ค่าบริหารจัดการภายใน และค่าเผาศพ ทั้งนี้ ปัจจุบันได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลไทยเดือนละ 100,000 บาท และเปิดรับบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธา ส่วนยาต้านไวรัสเอดส์ด้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ 

กรณี “วัดพระบาทน้ำพุ” ที่มีชื่อเสียงด้านการช่วยเหลือผู้ป่วยเอดส์ กำลังก่อวิกฤติศรัทธาในสังคมไทยอีกครั้ง โดยเฉพาะความไม่โปร่งใสในการบริหารเงินบริจาค และการนำเงินบริจาคไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ เป็นประเด็นใหญ่ที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบ


 อย่างไรก็ดี ประเด็นของการบริหารจัดการเงินบริจาคและรายได้ของวัด ทางการมีการความพยายามพัฒนาอย่างต่อเนื่อง  อ.ณดา จันทร์สม  จากสถาบันบัณฑิตพัฒนศาสตร์ ผู้บุกเบิกการศึกษาเรื่องการเงินวัด เปิดเผยในงานเสวนาเรื่อง  “ระบบธรรมาภิบาลวัด : จะสร้างได้อย่างไร?”  โดยระบุว่าตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา ทางมหาเถรสมาคมเริ่มขยับ มีการออกมติมหาเถรสมาคมครั้งที่ 18/2558 เรื่องการจัดทำรายงานการเงินของวัด (บัญชีรายรับ-รายจ่าย) และจำนวนวัดที่มีฐานข้อมูลศาสนสมบัติ เพื่อให้วัดนำส่งบัญชีรายรับรายจ่ายให้ทางสำนักพุทธฯ ปรากฎว่าส่งน้อยมากมีเพียงแค่หลักร้อย

ต่อมา ปี 2564 ได้มีการออกกฎกระทรวงว่าด้วยการดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติของวัด เพื่อมาแทนที่กฎกระทรวงเก่าเมื่อปี 2511 มีวัตถุประสงค์เพื่อวางแนวทางการบริหารทรัพย์สินวัดให้มีมาตรฐานซึ่งจะมีรายละเอียด เช่น จะต้องมีการลงทะเบียนทรัพย์สินวัด แจ้งการใช้ประโยชน์ที่ดินวัดกับสำนักพุทธฯ และให้มหาเถรอนุมัติ และห้ามวัดถือครองเงินสดเกิน 100,000 บาท หรือต้องเอาไปฝากธนาคาร เพราะกลัวนำเงินไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง และให้มีการจัดทำบัญชีวัดทุกปี ฯลฯ ทว่า ข้อกำหนดเหล่านี้ไม่ได้แก้ไขปัญหาพื้นฐาน เช่น การจัดทำบัญชีเบิกจ่ายอาจจะไม่มีการบันทึกรายการจริงได้ เกิดปัญหาข้อกำหนดปฏิบัติใช้ยาก

เมื่อเร็วๆ นี้ มีมติมหาเถรสมาคม ที่ 495/2568 เรื่อง แนวปฏิบัติการเปิดบัญชีเงินฝากธนาคาร การเบิกถอนเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคารของวัด และแนวทางการจัดทำบัญชีรายรับ บัญชีรายจ่าย รายงานเงินคงเหลือของวัด หรือระบบบัญชีมาตรฐานของวัด

อาทิ กำหนดแนวปฏิบัติในการเปิดบัญชีเงินฝากธนาคาร การเบิกถอนเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคาร และการเก็บรักษาบัญชีเงินฝากธนาคารของวัด จัดทำบัญชีรายรับ บัญชีรายจ่ายของวัด และรายงานเงินคงเหลือของวัดหรือ ระบบบัญชีมาตรฐานของวัด กำหนดให้วัดทุกวัดพิจารณาใช้ระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) มาใช้สำหรับรองรับข้อมูลการรับบริจาคตามความเหมาะสมของวัด ฯลฯ

การจัดการรายได้ของวัดเกี่ยวข้องกับเงินจำนวนมากกลายเป็นปรากฏการณ์ปัญหาที่หลายพยายามเข้ามาร่วมแก้ไขสร้างกลไกในการตรวจสอบวัด เป็นหนึ่งในครื่องมือกอบกู้วิกฤศรัทธาของพุทธศาสนิกชน

สุดท้าย กรณีการเปิดรับบริจาคและนำเงินบริจาคไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ของ “วัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี” หรือไม่ อย่างไร ต้องหาคำตอบให้สังคมสิ้นสงสัย.


กำลังโหลดความคิดเห็น