ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - กรณี “นักเรียนทำร้ายครู” สังเวยปมไม่พอใจคะแนนสอบจาก 18 เต็ม 20 นับเป็นเหตุการณ์รุนแรงสะเทือนแวดวงการศึกษาของไทย อะไรคือเบื้องลึกภายใต้การแสดงพฤติกรรมรุนแรงก้าวร้าวของนักเรียน อีกทั้งยังเกิดคำถามถึงสิทธิสวัสดิภาพของครูผู้สอน หลังเผชิญเหตุการณ์รุนแรงสร้างบาดแผลทางใจ
หลังมีการเผยแพร่คลิปกล้องวงจรปิดจับภาพ "นักเรียนชาย” ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ทำร้ายร่างกาย น.ส.ภรณ์ทิพย์ (สงวนนามสกุล) ครูผู้สอนโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดอุทัยธานี ซึ่งมีประสบการณ์การสอนมานานกว่า 10 ปี เนื่องจากไม่พอใจที่ครูให้คะแนนสอบกลางภาค 18 คะแนนเต็ม 20 เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอย่างกว้างขวาง
ไล่เรียงเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น เมื่อ วันที่ 5 ส.ค. 2568 ที่ผ่านมา ขณะครูผู้สอนเตรียมไปประกาศผลสอบกลางภาคที่ห้องเรียน แต่ระหว่างทางก่อนเข้าห้องเรียน นักเรียนชาย ม.5 คนดังกล่าวได้เข้ามาถามครูว่า “ครูครับผมได้คะแนนสอบครูเท่าไหร่” ครูก็บอกไปว่า ได้ 18 คะแนน นักเรียนชายคนดังกล่าวก็ขอดูคะแนนครูก็ให้ดู
ในส่วนที่นักเรียนไม่ได้คะแนนเต็มเป็นส่วนที่ต้องแสดงวิธีทำ ซึ่งทำมา 2 บรรทัด มีเพียงคำตอบซึ่งถูกต้องแต่ไม่ได้มีการแสดงวิธีทำ ครูจึงไม่ได้ให้คะแนนเต็ม ซึ่งครูก็ได้อธิบายให้เขาฟังว่าทำไมถึงไม่ได้คะแนนเต็ม เพราะในโจทย์บอกให้แสดงวิธีทำแต่เขาไม่ได้แสดงวิธีทำในการหาคำตอบ
แต่นักเรียนก็ไม่ฟังการอธิบายของครู ครูจึงบอกว่า “งั้นไปฟังคุณครูท่านอื่นก็ได้ ว่าครูท่านอื่นจะให้คะแนนแบบครูไหม” จากนั้นเขาก็ไปถามครูท่านอื่นที่สอนวิชาคณิตศาสตร์เหมือนกัน ครูท่านอื่นก็อธิบายให้ฟังว่าทำไมถึงได้คะแนนแบบนี้ ครูเขาก็บอกว่าคะแนนก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของครูผู้สอนแต่ละท่านด้วย
นักเรียนชายคนดังกล่าวก็เดินกลับมาหาครู บอกว่า “ครูที่ไปถามให้คะแนนเท่านี้ ครูจะให้ผมเท่าไหร่” ครูก็บอกว่าครูให้เท่านี้แหละ ไม่ให้เพิ่ม เพราะถือว่าอยู่ที่ดุลพินิจของครูผู้สอนแต่ละท่าน และครูก็บอกเขาว่าให้เขาไปสงบสติอารมณ์ก่อนแล้วค่อยกลับมาคุยกับครูใหม่
พอครูบอกเขาแบบนั้น นักเรียนคนดังกล่าวก็เตะโต๊ะที่ครูนั่งตรวจข้อสอบ 1 ที แล้วเขาก็ออกจากห้องไปประมาณ 10 นาที แล้วก็กลับเข้ามาใหม่ มานั่งเก้าอี้ที่ห่างจากโต๊ะครูไป 2 ช่วงโต๊ะ แล้วก็พูดกับครูว่า “ครูต้องขอโทษผม” ครูก็เลยถามย้อนกลับไปว่า “ใครกันแน่ที่ต้องขอโทษ” ซึ่งนักเรียนชายคนดังกล่าวก็นั่งอยู่ที่โต๊ะสัก 2 - 3 นาที จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นมาทำร้ายร่างกายครูผู้สอนซึ่งเป็นผู้หญิง โดยต่อยเข้าที่ใบหน้าครูหลายครั้ง เตะและตีเข่าใส่ครู
จนเพื่อนๆ ในห้องเกิดอาการหวาดกลัว แต่ก็พยายามเข้ามาช่วยห้ามจากนั้นก็มีคุณครูอีกท่านหนึ่งเข้ามาช่วย แต่นักเรียนชายคนดังกล่าวก็ยังใช้คำพูดหยาบคายด่าทอครูว่า “ไม่มีวุฒิภาวะความเป็นครู” ครูก็ได้ถามเขาว่า “ครูไม่เคยว่าอะไรเธอสักคำ ทำไมถึงทำกับครูแบบนี้” เขาก็ตอบกลับมาว่า “สมควรแล้ว ที่เขาทำกับครูแบบนี้”
หลังเกิดเหตุครูได้ไปรักษาอาการบาดเจ็บที่โรงพยาบาล ซึ่งมีการฟกช้ำที่ดวงตา หัวบวมทางด้านซ้าย ซี่โครงอักเสบ และได้ไปแจ้งความไว้แล้วที่ สภ.หนองฉาง เมื่อวันที่ 8 ส.ค. 2568 ก่อนตำรวจนัดสอบปากคำวันที่ 12 ส.ค. 2568 ซึ่งหลังเกิดเหตุทางผู้ปกครองของนักเรียนที่ก่อเหตุก็ได้ติดต่อเข้ามาขอโทษครูแทนลูกชาย
หลังเกิดเหตุ นายสมบูรณ์ ทิพย์รังศรี ผู้จัดการโรงเรียนอุทัยธรรมานุวัตรวิทยา อำเภอหนองฉาง จังหวัดอุทัยธานี ได้ออกมาเปิดเผยถึงแนวทางการแก้ปัญหากรณีดังกล่าว โดยระบุว่าทางโรงเรียนได้เข้าดูแลเยียวยาครูถูกทำร้ายมาตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ ครอบคลุมตั้งแต่การรักษาตัวในโรงพยาบาล จนกระทั่งกลับไปพักฟื้นที่บ้าน และจะดูแลต่อเนื่องจนกว่าคุณครูจะสามารถกลับมาสอนหนังสือได้ตามปกติ
ในส่วนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผู้ก่อเหตุ ทางโรงเรียนเห็นว่าว่านักเรียนได้แสดงความสำนึกผิดและได้เข้าไปขอโทษคุณครูขณะที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลหนองฉางแล้ว ขณะนี้ ทางโรงเรียนกำลังประสานงานกับผู้ปกครองของนักเรียน เพื่อดูแลสุขภาพจิตของเด็กอย่างใกล้ชิด โดยยังคงรักษาสถานภาพการเป็นนักเรียนไว้
แต่ในช่วงนี้จะให้นักเรียนเรียนหนังสือผ่านระบบออนไลน์ไปก่อน จนกว่าสถานการณ์จะกลับคืนสู่ปกติ หลังจากที่ทีมสหวิชาชีพได้สอบถามประเมินผล หรือผู้ปกครองอาจตัดสินใจเลือกนำเด็กไปเรียนในสถานศึกษาแห่งใหม่ ซึ่งทางโรงเรียนจะคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญ
ขณะเดียวกัน เกิดความเคลื่อนไหวจากบรรดาศิษย์เก่าของโรงเรียนเอกชนดังกล่าว ออกมาโพสต์เรียกร้องประเด็นการละเลยหน้าที่และความยุติธรรมของโรงเรียน เพิกเฉยต่อความผิดร้ายแรงของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผู้ก่อเหตุทำร้ายร่างกายครูจนได้รับบาดเจ็บ โดยกลับเลือกปกป้องและปล่อยให้ผู้กระทำผิดยังคงอยู่ในสถานศึกษา ทั้งที่การกระทำดังกล่าวถือเป็นการล่วงละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ทำลายความปลอดภัยในสถาบันการศึกษา และฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมายโดยตรง
ระบุว่า การตัดสินใจดังกล่าวของโรงเรียนไม่เพียงเป็นการทรยศต่อครูผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณอันตรายต่อสังคมว่า การทำร้ายครูไม่จำเป็นต้องได้รับโทษ ผลลัพธ์เช่นนี้คือการปลูกฝังวัฒนธรรมความรุนแรงในสถานศึกษา และทำให้กฎหมายกลายเป็นเพียงกระดาษไร้ค่า
1.ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 “ผู้ใดทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
2. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 6 และมาตรา 22 เน้นให้สถานศึกษาสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย และปลูกฝังระเบียบวินัยแก่ผู้เรียน
2.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ. 2548 ข้อ 6 ระบุชัดว่าการกระทำความผิดร้ายแรง เช่น การทำร้ายร่างกายจนเกิดอันตราย ควรได้รับโทษ “ไล่ออกจากสถานศึกษา”
ดังนั้น จึงขอเรียกร้อง ให้หน่วยงานต้นสังกัด กระทรวงศึกษาธิการ และสาธารณชน เข้าตรวจสอบการกระทำของผู้บริหารโรงเรียนอย่างเร่งด่วน และดำเนินมาตรการเพื่อคืนความยุติธรรมแก่ผู้เสียหาย พร้อมยุติวัฒนธรรมการปกป้องผู้กระทำผิดในสถานศึกษา
“การนิ่งเฉยต่อความรุนแรง คือการสมรู้ร่วมคิดกับความอยุติธรรม และสังคมไทยต้องไม่ยอมให้โรงเรียนใดกลายเป็นพื้นที่ที่ความรุนแรงถูกทำให้เป็นเรื่องปกติ #ศิษเก่า #TW01 #ลูกเทาเหลืองไม่เอาความรุนแรง”
ขณะที่ ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ออกมาระบุว่าความรุนแรงต่อบุคลากรทางการศึกษาเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นในทุกกรณี โดยการแก้ไขปัญหานี้ไม่ใช่การชี้ว่าฝ่ายใดผิดแล้วลงโทษ แต่จำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบด้านว่าพฤติกรรมเช่นนี้เกิดจากสาเหตุใด กระทรวงฯ จะประสานให้มีการสอบสวนข้อเท็จจริงโดยละเอียด เพื่อค้นหาสาเหตุเชิงลึก ไม่ว่าจะเป็นภาวะความเครียด ความกดดันจากผลการเรียน หรือภาวะอื่นๆ ที่อาจเกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางระบบประสาท โดยระบุว่าต้องมีนักจิตวิทยาเข้าไปดูแลเพื่อป้องกันผลกระทบทางจิตใจต่อผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้ถูกเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์อย่างกว้างขวาง
ประการสำคัญทุกฝ่ายควรร่วมกันออกแบบระบบการเรียน การประเมินผล และการดูแลสุขภาพจิตให้ครอบคลุม เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยในโรงเรียน โดยมีโจทย์สำคัญ 3 ประเด็นที่ต้องนำมาพิจารณาทบทวน
1. ระบบการสอบและการวัดประเมินผล - หากระบบการเรียนการสอนสร้างแรงกดดันจนทำให้เด็กใช้ความรุนแรง แสดงว่าเราจำเป็นต้องทบทวนว่ากำลังสร้างทรัพยากรมนุษย์แบบใดสู่สังคม การวัดประเมิน ทดสอบแบบ one’s size fit all ใช้ไม้บรรทัดเดียวกับเด็กทุกคน การเอาปลาไปแข่งปีนต้นไม้ เอานกไปว่ายน้ำอาจจะต้องเปลี่ยน
2. การดูแลสุขภาพจิตของนักเรียน - ระบบการศึกษาของเราอาจยังละเลยเรื่องนี้อย่างมาก นักเรียนบางคนใช้ความรุนแรงกับผู้อื่น บางคนใช้ความรุนแรงกับตนเอง ซึ่งสะท้อนการขาดทักษะในการรับรู้และจัดการอารมณ์ของตนเอง (Mental Health Literacy) จนสะท้อนตัวเลขอย่างชัดเจนโดยกรมสุขภาพจิต ว่าเด็กและเยาวชนมีสภาวะซึมเซาและวิตกกังวลเพิ่มสูงขึ้น และการฆ่าตัวตายในเด็กกลายเป็น สาหตุของการเสียชีวิตอันดับที่ 3 ในสาเหตุการตายของเด็กและเยาวชน ปัญหานี้ไม่ได้เกิดเฉพาะกับนักเรียน ครูบางคนก็ประสบเช่นเดียวกันเราจึกเห๋นความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากครูไม่น้อย เราควรทำให้การสร้างทักษะด้านนี้อยู่ในระบบการศึกษาอย่างจริงจัง รวมถึงการนำแม้ทางกระทรวงศึกษาจะ มีการดำเนินโครงการ school health hero และOBEC CARE เพื่อช่วยเหลือบรรเทาเบื้องต้น แต่ความร่วมมือก็ยังไม่ได้กว้างขว้าง ดังนั้นการพิจารณา ความช่วยเหลือของทีมสหวิชาชีพไม่ว่าจะเป็นนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์เข้าสู่ระบบการศึกษาอย่างครบวงจร จึงควรเกิดขึ้นในส่วนนี้หรือไม่
และ 3. ประเด็นการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) - การเผยแพร่คลิปเหตุการณ์อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสภาพจิตใจของทั้งครูและนักเรียน และยังเสี่ยงต่อการผลิตซ้ำความรุนแรงในสังคม สื่อและประชาชนควรตระหนักและเคารพสิทธิความเป็นส่วนตัวของผู้เกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นสร้างความเสทือนใจในแวดวงการศึกษาอย่างมาก ศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตีกุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่น กล่าวว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนปัญหาการศึกษาไทยที่มุ่งเน้นเกรดจนเด็กขาดทักษะชีวิตและการควบคุมอารมณ์
สอดคล้องกับแบบสำรวจของ ร็อกเกต มีเดีย แล็บซึ่งทำการสำรวจข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อสุขภาพจิต ทั้งความเครียด วิตกกังวลในกลุ่มนักเรียนมัธยมศึกษา (ม.1-6) และ ปวช. (1-3) จากผู้ตอบแบบสอบถามทั้งสิ้น 3,516 คน แบ่งเป็นเพศหญิง 1,935 คน หรือคิดเป็น 55.03% เพศชาย 1,323 คน หรือคิดเป็น 37.63% ตามด้วย LGBTQ+ 184 คน
โดยกลุ่มวัยรุ่นผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า “เครียดเรื่องการเรียนมากที่สุด จำนวน 1,809 คน คิดเป็น 51.45%” รองลงมา คือ เรื่องรูปร่าง-หน้าตา-บุคลิก 349 คน คิดเป็น 9.93%, ครอบครัว 344 คน คิดเป็น 9.78%, การเงิน 343 คน คิดเป็น 9.76%, ความรัก 217 คน คิดเป็น 6.17%, เพื่อน 170 คน คิดเป็น 4.84% เป็นต้น
ขณะที่ นายสมพงษ์ จิตระดับนักวิชาการทางการศึกษา มองว่ากรณีที่ครูถูกนักเรียนทำร้ายส่วนหนึ่งเกิดจากระบบการศึกษาที่ยังใช้การนับคะแนนอยู่ ตัวโครงสร้างและหลักสูตรของไทยเรื่องการวัดผลเป็นสิ่งที่นำหน้าความรู้ความสามารถ เด็กนักเรียน ผู้ปกครองให้ความสำคัญกับคะแนนเป็นหลัก ซึ่งเด็กจะต้องพยายามแข่งขันเพื่อทำยังไงก็ได้ให้คะแนนดีที่สุดเพื่อรับผลตอบแทนจากผู้ปกครอง จนบางครั้งก็เกิดคำถามจากผู้ปกครองว่า ทำไมได้คะแนนแค่นี้ หรือครั้งไหนที่ทำคะแนนได้ดีก็จะได้รับรางวัล ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้การวัดและประเมินผลถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง
ผศ.ดร.พงษ์ภิญโญ แม้นโกศลคณบดีวิทยาลัยครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ วิพากษ์ ในมุมของการศึกษาเป็นสัญญาณเตือนถึงรากปัญหาที่ซ่อนอยู่ ทั้งด้านค่านิยมการเรียนรู้ ความสัมพันธ์ครูกับนักเรียน และการปลูกฝังทักษะชีวิตของเยาวชน เหตุการณ์ลักษณะนี้ต้องได้รับการวิเคราะห์อย่างรอบด้านเพื่อทำความเข้าใจสาเหตุเชิงลึก และหาแนวทางแก้ไขป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำในอนาคต
“จากข้อมูลข่าว ครูผู้สอนอธิบายว่าให้คะแนนไม่เต็มเพราะนักเรียนไม่ได้แสดงวิธีทำ แม้คำตอบจะถูกต้อง แต่นักเรียนไม่พอใจคำอธิบายนี้จึงลงมือทำร้ายครูในห้องเรียนทันที ประวัติพฤติกรรมยังชี้ว่าผู้ก่อเหตุเคยทำร้ายทั้งเพื่อนและพ่อมาก่อน แสดงให้เห็นว่าปัญหาไม่ใช่เพียงเหตุการณ์เฉพาะหน้า แต่เกี่ยวพันกับรูปแบบการจัดการอารมณ์ที่ไม่เหมาะสม สะท้อนให้เห็นว่าทักษะชีวิตที่สำคัญนี้ขาดหายไป การควบคุมอารมณ์และการยืดหยุ่นทางจิตใจ (Resilience) ไม่ได้ถูกฝึกอย่างเป็นระบบ
“อีกประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณาคือ ค่านิยมในระบบการศึกษาไทยที่มักวัดคุณค่าของผู้เรียนด้วย คะแนน” คะแนนสอบจึงถูกมองเป็นตัวแทนทั้งความสามารถและคุณค่าของตัวตน ส่งผลให้ผู้เรียนตั้งเป้าหมายสูงสุดที่การได้คะแนนเต็ม แทนที่จะมุ่งเน้นการพัฒนาความรู้และทักษะอย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้น ในบางกรณีพบว่ามีแรงกดดันจากครอบครัวที่มีความคาดหวังสูง อาจทำให้ผู้เรียนเชื่อมโยงผลคะแนนเข้ากับการได้รับการยอมรับหรือความรักจากพ่อแม่ เมื่อคะแนนที่ได้ต่ำกว่าที่คาดหวัง จึงถูกตีความว่าเป็น “ความล้มเหลว” ที่ยอมรับไม่ได้ และมองความผิดพลาดเล็กน้อยเป็นปัญหาใหญ่เกินจริง”
ดังนั้น ควรจะมีการทบทวนเรื่องของการวัดผลและหลักสูตรทั้งหมด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับครูต้องออกมาขับเคลื่อนในการดูแลวิชาชีพครูให้มีความเหมาะสมมากกว่านี้
ผศ.ดร.พงษ์ภิญโญ เปิดเผยสาเหตุเหตุสำคัญอีกประการที่ทำให้เกิดความรุนแรงในห้องเรียนคือ ความสัมพันธ์ของครูกับนักเรียน ครูกับนักเรียนบางครั้งก็สื่อสารและสร้างความเข้าใจกันได้ไม่ดีพอ หากครูสื่อสารเรื่องเกณฑ์การให้คะแนนไม่ชัดเจน หรือขาดพื้นที่ให้ผู้เรียนแสดงความเห็นอย่างปลอดภัย นักเรียนก็จะรู้สึกว่าครูไม่ยุติธรรมหรือไม่รับฟัง ความไม่พอใจเล็กน้อยอาจลุกลามบานปลายเป็นความขัดแย้งรุนแรงดังที่เกิดขึ้นได้
เหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนชัดว่า การศึกษาของไทยต้องสอนมากกว่าเนื้อหาวิชาเพียงอย่างเดียว และต้องให้ความสำคัญกับกระบวนการเรียนรู้ มากกว่าตัวเลขคะแนนสอบ เช่น ในการสอนคณิตศาสตร์ ครูควรประเมินทั้งความเข้าใจ และกระบวนการแก้ปัญหาของผู้เรียน ไม่ใช่เพียงคำตอบสุดท้าย พร้อมให้คุณค่ากับความหลากหลายของวิธีคิด เพื่อพัฒนา Mathematical Reasoning และ Problem Solving ซึ่งถือเป็นหัวใจของการเรียนการสอนคณิตศาสตร์อย่างแท้จริง แล้วพวกเราที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะแก้ปัญหาและป้องกันอย่างไรในแต่ละมิติ
มิตินักเรียนจำเป็นต้องได้รับการปลูกฝัง “ทักษะชีวิต” ที่ช่วยให้สามารถควบคุมอารมณ์และจัดการความผิดหวังได้อย่างสร้างสรรค์ การฝึกสติ และการฝึกยอมรับความล้มเหลวถือเป็นเครื่องมือสำคัญ เพราะมีงานวิจัยยืนยันว่าสามารถลดพฤติกรรมก้าวร้าวและช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาตนเองจากประสบการณ์ที่ผ่านมา
มิติครูนอกจากการสอนเนื้อหาแล้ว ครูต้องมีบทบาทในการสื่อสารเกณฑ์การประเมินอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ ใช้การสื่อสารเชิงบวก (Positive Communication) และการฟังอย่างตั้งใจ (Active Listening) เพื่อสร้างความไว้วางใจในห้องเรียน พร้อมส่งเสริม Growth Mindset ให้ผู้เรียนเห็นว่าการพัฒนาตนเองและความพยายามสำคัญกว่าคะแนนที่ได้รับ
มิติโรงเรียน ควรจัดให้มีระบบให้คำปรึกษาเชิงจิตวิทยาที่เข้าถึงได้ง่ายสำหรับทั้งครูและนักเรียน รวมถึงพัฒนาระบบการประเมินที่หลากหลายเพื่อลดแรงกดดันจากการสอบเพียงอย่างเดียว และจัดนโยบายความปลอดภัยในสถานศึกษาให้เป็นรูปธรรม พร้อมระบบรายงานเหตุรุนแรงที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
มิติระบบการศึกษาภาครัฐและหน่วยงานกำหนดนโยบายต้องสร้างกรอบมาตรฐานที่ชัดเจน สนับสนุนการพัฒนาหลักสูตรที่เน้นกระบวนการคิดและทักษะชีวิต ควบคู่ไปกับการประเมินคุณภาพโรงเรียนในมิติความปลอดภัยทางกายและทางใจ ไม่ใช่เพียงผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการ เพื่อให้ทุกฝ่ายร่วมกันสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ปลอดภัย ส่งเสริมศักยภาพ และพัฒนาผู้เรียนให้พร้อมสำหรับชีวิตในโลกความจริง
“บทเรียนจากเหตุการณ์นี้ คือกระจกสะท้อนสังคมการศึกษาไทยที่ยังเน้นผลลัพธ์มากกว่ากระบวนการเรียนรู้ และละเลยการปลูกฝังทักษะชีวิตให้เยาวชน หากเรายังไม่เปลี่ยนแปลงทั้งในครอบครัว โรงเรียน และระบบนโยบาย เหตุการณ์เช่นนี้อาจเกิดขึ้นซ้ำ และบั่นทอนความปลอดภัย ความไว้วางใจ และความเป็นมนุษย์ในรั้วโรงเรียน”คณบดีวิทยาลัยครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ระบุ
หลังจากหน่วยงานภาคการศึกษาถอดบทเรียนสถานการณ์ที่เกิดขึ้น คงต้องติดดามว่าจะสร้างความเปลี่ยนในระบบการศึกษาอย่างไรหรือไม่ หรืออย่างน้อยๆ จะมีแนวทางอย่างไรในการป้องกันให้ไม่เกิดซ้ำรอยขึ้นในสถานศึกษา